เช้าวันถัดมา ผมก็ต้องมาเจอกับพายุร้ายของพี่เขตอีกแล้ว....เพราะพี่เขาหงุดหงิดอย่างไร้สาเหตุ เขาไม่ว่าจิกกัดอะไรผมหรอก แต่มองตาขว้างและจ้องผมตาไม่กะพริบ จนผมทนไม่ไหวต้องเลิกคิ้วเชิงถามพี่เขาว่าผมทำอะไรให้
“เห็นหน้าแล้วหงุดหงิด เกะกะลูกตา” นั่นคือเหตุผลของเขา
“โอเค... ตอนแรกผมจะมาคุยกับพี่เรื่องคอนโดนั่น ไว้พี่หายบ้าเราค่อยคุยก็แล้วกัน”
“ล้อเล่น” เมื่อผมทำท่าจะเดินหนี เพราะเห็นว่าพี่เขากำลังอารมณ์เสีย พี่เขตก็คว้าแขนผมไว้ก่อน
“.....”
“เมื่อกี้พูดเล่น” คำพูดกลับกลอกของพี่เขา ทำเอาผมได้แต่มองหน้าอย่างเอือม ๆ ช่วงนี้พี่เขตแปลกไปจริง ๆ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังคงเส้นคงวาในความปากร้ายอยู่ดี เมื่อพี่เขาว่าเช่นนั้นผมก็เอากระดาษที่ร่างไว้เมื่อคืนให้พี่เขาดู
“นี่อะไร”
“ก็กระดาษไง ผมเขียนข้อตกลงของเราไว้หมดแล้ว ถ้าอยากอยู่ร่วมกันอย่างสันติอะนะ” หลังผมว่าเช่นนั้นพี่เขตก็ขมวดคิ้ว หยิบกระดาษขึ้นไปอ่านใกล้ ๆ ในกระดาษใบนั้นไม่ได้มีอะไรสำคัญมาก มีแค่ข้อตกลงสามข้อที่ผมคิดได้และคิดว่านั่นน่าจะเพียงพอแล้ว หากพี่เขาไม่แผลงฤทธิ์ไปมากกว่านี้
“ข้อสามนี่อะไร ทำไม่ได้หรอก นอนเตียงเดียวกันจะไม่ถูกเนื้อต้องตัวกันได้ไง” เป็นอย่างที่ผมคิด หลังจากที่เขตอ่านข้อตกลงครบทั้งสามข้อก็โวยวายใหญ่ ซึ่งผมก็ได้เตรียมคำตอบสำหรับเรื่องนี้ไว้แล้ว
“ใครบอกจะนอนเตียงเดียวกัน คอนโดมีสองห้องนอนก็แยกคนละห้องสิครับ”
“อะไรนะ....”
“ก็ตามนี้ครับ มีตั้งสองห้องนอน จะมานอนเตียงเดียวกันให้อึดอัดใจทำไม”ผมว่า จริง ๆ ตอนที่แม่ตองตัดสินใจจะซื้อคอนโดนี้ ผมเองก็ไม่ได้ไปดูด้วย แต่ก็แอบถามแม่มาแล้ว คอนโดนี้มีสองห้องนอน สองห้องน้ำ แบบนี้ผมค่อยสบายใจขึ้นมาหน่อย
“จริง ๆ ข้อตกลง ข้อที่สามพี่เขตไม่น่าจะต้องเป็นห่วงนะครับ เพราะอยู่นี่เราก็นอนแยกห้องกันอยู่แล้ว สิ่งที่พี่เขตควรห่วงตัวเองในข้อแรกเลย จะทำได้ไหม” ผมว่าแล้วใช้เมจิกสีแดงขีดเส้นใต้ข้อความนั้นอย่างเน้นย้ำ ใจความสำคัญคือห้ามพี่เขตพูดคำหยาบ พูดไม่เพราะหรือห้ามใช้คำที่คนในบ้านเขาไม่ใช้กันและที่สำคัญห้ามพูดทำร้ายจิตใจผมด้วย
เรื่องนี้เป็นปัญหาใหญ่สำหรับเรา ถึงเขาไม่ได้ใช้กำลัง แต่ก็ชอบใช้วาจาทำร้ายผมอยู่เรื่อย ปล่อยครั้งที่ผมแอบเสียความรู้สึกกับคำพูดพี่เขา ไม่ว่าการกระทำนั้นจะตั้งใจหรือไม่ก็ตาม หน้าพี่เขตดูเจื่อนไป เมื่อผมเน้นย้ำข้อแรกที่เขาควรปฏิบัติต่อผม จริง ๆ ไม่ต้องรับผมเป็นน้องชายก็ได้นะ ผมยอมรับได้ แต่อย่าใช้คำพูดทำร้ายผมก็พอ
สีหน้าพี่เขตดูเจื่อนจนผมเริ่มรู้สึกผิดขึ้นมา บางทีพี่เขาอาจจะสำนึกผิดก็ได้ เพราะก่อนหน้านั้นคำขอโทษจากปากพี่เขา ยังตราตรึงอยู่ในความทรงจำผมอยู่เลย
“ก็ไม่ได้อยากมีน้องชายนี่” เขาเถียงเสียงแผ่ว
“....”
“แล้วจะย้ายไปตอนไหน”
“ก็ตอนพี่ให้คำสัญญากับผมแล้ว” ผมว่า
ถ้าพี่เขายอมรับข้อตกลงที่ผมขอได้ เรื่องอื่นก็ไม่มีปัญหา ผมพร้อมจะย้ายไปอยู่แล้ว ดีเสียอีก ย้ายไปอยู่คอนโดจะได้ไม่ต้องเหนื่อยเช่นทุกวันนี้ ที่ผมลีลาไม่อยากจะย้ายไปทุกวันนี้ก็เพราะพี่เขตนั่นแหละทำให้ผมไม่ค่อยอยากย้ายไปคอนโด
“ก—ก็ได้ งั้นตามนี้”
“โอเคครับ งั้นก็ช่วยจำข้อตกลงของเราให้ดีด้วยนะครับ”
[คิดดีแล้วใช่ไหมที่จะย้ายไปอยู่กับพี่เขตน่ะ]
“ถ้าพี่เขตทำตามข้อสัญญาที่เราขอไปได้ ก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรแล้วนะ”
[งั้นก็ดีแล้วล่ะ....ขยับมาอยู่ใกล้โรงเรียนหน่อย จะได้ไม่ต้องเหนื่อย]
“หลิวว่าพี่เขตจะทำตามข้อตกลงที่เราขอไปได้ไหม” ผมถามต้นหลิวผ่านทางโทรศัพท์ แอบไม่มั่นใจในตอนพี่เขตนิดหนึ่ง ไม่คิดว่าพี่เขาจะทำได้ แต่พี่เขาก็ตกปากรับคำมาแล้ว จึงแอบไม่มั่นใจเท่าไรนัก
[เราไม่ใช่พี่เขาจะรู้ได้ไงเล่า แต่ถ้ารับปากมาขนาดนี้แล้วก็คงมั่นใจอยู่ในระดับหนึ่งแหละ ไม่งั้นเสียฟอร์มหมด ครามเป็นคนบอกเองไม่ใช่เหรอว่าพี่เขตน่ะ ฟอร์มจัด]
“ใช่ ฮ่า ๆ” ท้ายประโยคผมถึงกับกลั้วหัวเราะออกมา จำไม่ได้ว่าเล่าให้ต้นหลิวฟังตอนไหนแต่พี่เขตเขาเป็นแบบนั้นจริง ๆ
[ถ้าตกลงจะย้ายมาอยู่คอนโดกับพี่เขาแล้ว ก็ขอให้อยู่ด้วยกันนาน ๆ แล้วกัน มีอะไรก็อดทนไว้]
“เดี๋ยวนะต้นหลิว ทำไมคำพูดดูแปลก เราแค่ย้ายไปอยู่คอนโดกับพี่เขตนะ ไม่ใช่จะแต่งงานกับพี่เขา”
[ก็ใช่ไง ครามนั่นแหละคิดอะไร?]
“ก็คิดว่า....อ๊าก พี่เขต!!” ผมปล่อยโทรศัพท์ให้ตกลงสู่พื้นด้วยความตกใจ เพราะผมไม่ได้ปิดประตูไว้ พี่เขตจึงแอบย่องเข้ามาในห้องนอนของผม แล้วเอาหูแนบโทรศัพท์เพื่อฟังผมคุยกับต้นหลิว พอหันหน้ามาก็เจอะกับหน้าพี่เขาเข้าอย่างจัง ใจผมร่วงไปถึงตาตุ่ม พี่เขาย่องเงียบน่ากลัวยิ่งกว่าผีเสียอีก
“เข้ามาทำไมเนี่ย!” ผมโวยวายใหญ่ ใจหายใจคว่ำผม ถ้าเมื่อกี้ผมหัวใจวายขึ้นมาจะทำยังไง เล่นอะไรไม่รู้เรื่อง!
“นินทาฉันอยู่เหรอ” พี่เขตว่าเสียงเข้ม เขาผละไปยืนดี ๆ กระแฮ่มเสียงเพื่อตั้งหลักแล้วเอามือไขว้หลังอย่างวางมาด
“ผมไม่ได้นินทาสักหน่อย.. แต่ตอนนี้พี่กำลังบุกรุกความเป็นส่วนตัวผมอยู่นะ” ผมว่า พยายามโบ้ยความผิดให้เป็นของพี่เขา คนอะไรไม่รู้ย่องมาแบบไม่ให้ซุ่มให้เสียง มิหนำยังมาฟังคนอื่นคุยกันอีก ใช้ได้ที่ไหนกัน ผมผิดเองที่เปิดประตูทิ้งไว้แล้วคุยโทรศัพท์กับต้นหลิวโดยลืมไปว่าห้องนอนพี่เขตอยู่ตรงข้ามกับห้องผม
“อย่ามาทำเป็นไขสือ เมื่อกี้ฉันก็ได้นายคุยกับใครก็ไม่รู้แล้วพูดถึงฉันอยู่!” พี่เขตว่าอย่างไม่ยอม
“ผมเปล่า ก็แค่พูดถึงเฉย ๆ ไม่ได้นินทาสักหน่อย”
“ฉันไม่เชื่อ...จะฟ้องแม่แน่”
“.....”
“ฉันจะฟ้องแม่ว่านายนินทาแล้วก็จะฟ้องแม่ว่านายมีแฟน!” พี่เขตว่าเหมือนเด็ก ๆ ทำเอาผมถึงปวดหัว แฟนที่ไหนกัน ต้นหลิวเป็นเพื่อนผม ไม่ทันที่จะได้อธิบาย พี่เขาก็แหกปากทำตัวเหมือนเด็ก ๆ วิ่งแจ้นลงไปฟ้องแม่ตองถึงในครัว
“แม่! ไอ้ครามมีแฟน”
“เรื่องแค่นี้เอง”
“แต่ครามมีแฟนนะแม่ มีแฟน!” หลังพี่เขตวิ่งแจ้นลงไปฟ้องแม่ตองถึงในครัว ผมก็เดินตามลงมาติด ๆ แล้วมายืนแอบฟังอยู่หน้าประตูครัว พี่เขาพยายามทำเรื่องการมีแฟนของผมให้เป็นเรื่องใหญ่ คอขาดบาดตาย เป็นความผิดร้ายแรง พยายามเอาเหตุผลเข้าสู้ เพื่อให้แม่ตองตำหนิผม ทว่าแม่ตองกลับไม่เห็นด้วย
“น้องไม่ใช่เด็กแล้วนะ ถ้ามีแฟนก็ไม่ใช่เรื่องแปลกนี่”
“แต่มันไม่ควร” พี่เขายังเถียงต่อ แต่ดูไม่สู้เหมือนในตอนแรกแล้ว
“แล้วอะไรที่เขตว่าไม่ควรล่ะ” แม่ตองถามกลับ
“ไม่ควรมีแฟน”
“นั่นไม่ใช่เหตุผลที่ดีเลยนะเขต ตอนแรกมีแฟนคนแรก แม่ก็ไม่เคยห้ามนี่ เราจะไปถามน้องทำไม”
“มันไม่เหมือนกัน”
“แล้วอะไรล่ะที่ไม่เหมือนกัน? ตอนเขตมีแฟนคนแรกก็อายุประมาณนี้ไม่ใช่เหรอ”
“สรุปแม่จะเข้าข้างครามแล้วใช่ไหม” พอพี่เขตเริ่มให้คำตอบแม่ตองไม่ได้ เขาก็เริ่มพูดด้วยน้ำเสียงตัดพ้อแทน ถึงผมจะแอบมองพี่เขาจากด้านหลัง แต่ก็เดาได้เลยว่าสายตาตอนนี้ของพี่เขาต้องเต็มไปด้วยความตัดพ้อ เรียกคะแนนความสงสารจากแม่ตองแน่ ๆ
“แม่ไม่ได้เข้าข้าง แม่ก็รอฟังเหตุผลจากปากเขตอยู่นี่ไง อายุเราไม่ใช่เด็ก ๆ แล้วนะลูก” แม่พูดอย่างไม่จริงจังนัก มิหนำซ้ำยังหัวเราะให้กับท่าทีเด็ก ๆ ของลูกชายคนโตอีก นั่นทำให้พี่เขตหน้างอ ต้องยอมถอยทัพ กลับออกมาตั้งหลักไปหาเหตุผลดี ๆ ไปกล่าวอ้างกับแม่
“...!!” ผมถึงกับชะงักไปครู่หนึ่ง เมื่อพี่เขตหันมาเจอะผมที่กำลังยืนแอบฟังอยู่พอดี เราต่างฝ่ายต่างชะงัก แต่ถึงอย่างนั้นพี่เขตก็ได้สติก่อน
เขาชักสีหน้าใส่ผมเหมือนอย่างเคยแล้วเดินผ่านไป มิวายเอาไหล่มากระแทกผมให้แม่ตองผู้อยู่ในเหตุการณ์ส่ายหน้ากับพฤติกรรมเด็ก ๆ ของพี่เขา
“อย่าถือสาพี่เขตเขานะลูก”
“ไม่อยู่แล้วครับ”
ไหน ๆ ก็ได้ลงมาที่ห้องครัวแล้ว ผมจึงช่วยแม่ตองทำขนมเสียเลย วันนี้แม่ตองทำเค้กกล้วยหอมซึ่งเป็นขนมโปรดทั้งผมและพี่เขตด้วย ทำให้ผมรู้สึกตื่นเต้นเป็นพิเศษ ตอนลงมาแม่ตองก็ทำการผสมวัตถุดิบต่าง ๆ เรียบร้อยแล้ว จึงเป็นหน้าที่ผมที่จะต้องหยอดขนมลงแม่พิมพ์และนำไปนึ่ง
“แม่ตองครับ เรื่องคอนโดผมตัดสินใจแล้วนะครับ” ระหว่างที่รอให้ขนมสุก ผมก็เปิดปากคุยกับแม่ตอง เพราะคิดว่าเธอยังไม่รู้เรื่องที่ผมเจรจากับพี่เขตเมื่อตอนเช้า
“ว่าไงลูก ตัดสินใจได้แล้วเหรอ”
“ได้แล้วครับ คุยเรื่องนี้กับพี่เขตเรียบร้อยแล้ว เราตกลงกันได้แล้วครับ”
“แสดงว่าเรายอมย้ายไปแล้วใช่ไหมลูก? ดีจัง...แล้วจะย้ายไปตอนไหน” แม่ตองถามด้วยน้ำเสียงดีใจ
“ผมคิดว่าคงเสาร์หน้าแหละครับ ช่วงวันหยุดนี้คงไม่ทัน”
“เอาแค่เสื้อผ้ากับพวกหนังสือ เอกสารการเรียนไปก็พอนะลูก ที่นั่นมันก็ของใช้อยู่ ขาดเหลืออะไรค่อยไปซื้อเพิ่มทีหลัง”
“ได้ครับ ไม่มีปัญหา”
“ดีแล้ว...ย้ายไปจะได้ไม่ต้องเหนื่อย ไปอยู่กับพี่เขต เขาจะได้ช่วยดูแลเราด้วย”
“แหะ ๆ ผมก็หวังว่าอย่างนั้นครับ” ผมได้แต่ส่งยิ้มเห่ย ๆ ให้แม่ตอง แอบแย้งในใจว่าพี่เขตน่ะเหรอจะช่วยดูแลผม คอยหาเรื่องผมตลอดน่ะสิไม่ว่า
หลังจากนึ่งขนมเสร็จ กลิ่นหอม สีเข้มตามที่แม่ตองพอใจ ผมก็ขอแม่ตองชิ้นหนึ่งเอาขึ้นมากินในห้องนอน ผมเก็บโทรศัพท์ที่เผลอทำตกจนมันไถลไปอยู่ใต้เตียงมาปัดฝุ่น ดีที่ติดฟิลม์กระจก ไม่งั้นหน้าจอโทรศัพท์ผมได้ร้าวละเอียดของจริงแน่ เพราะแค่ฟิลม์กันกระแทกก็ยังเป็นรอยร้าวอย่างเห็นได้ชัดแล้ว ตอนนั้นผมตกใจพี่เขตจริง ๆ
ถึงโทรศัพท์จะไม่เป็นไร แต่ผมก็ต้องเสียตังไปเปลี่ยนฟิลม์ใหม่อยู่ดี พี่เขตนะพี่เขต อยู่ดี ๆ ก็หาเรื่องเสียตังให้ผม ผมควรจะโกรธพี่เขา
หลังจากพักผ่อน อ่านหนังสือทำนั่นนี่ภายในห้องนอนสี่เหลี่ยมเล็ก ๆ ของตัวเองจนพอใจแล้ว ก็ได้เวลาที่จะลงไปทานข้าวเย็นเสียที ในวันเสาร์ อาทิตย์บ้านเรามักจะทานข้าวมื้อเย็นตอนห้า หกโมงเย็น ส่วนในวันปกติก็เกือบทุ่มกว่า เพราะผมกลับบ้านมาช้า
เมื่อผมลงมาข้างล่าง แม่ตองก็ตั้งโต๊ะอาหารเสร็จแล้วและทุกคนก็อยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา สายตาแรกที่หันมามองผมก็คือพี่เขต อีกฝ่ายตวัดสายตามามองผมอย่างไม่เป็นมิตรอีกเช่นเคย
“ลงมาพอดีเลย มากินข้าวกันเร็วลูก” พ่อศักดิ์เรียกผม
“ครับ”
“กินข้าวเยอะ ๆ นะลูก จะได้มีแรงอ่านหนังสือ”
“ทำไมทีผมแม่ไม่เห็นพูดแบบนี้เลย”
“เอ๋เขต....แค่นี้ก็งอแงจะเอาเหมือนน้องเขาเหรอลูก” แม่ตองถามพี่เขต นั่นทำเอาผมหลุดยิ้ม รู้หรอกว่าพี่เขตไม่ได้อยากได้อย่างที่ว่า เขาก็แค่อยากเปรียบเทียบ จริง ๆ อยากหาเรื่องผมก็เท่านั้น
“ยิ้มไร ห้ามยิ้ม” พี่เขตหันมาทำตาดุใส่ผม เมื่อเห็นว่าผมหลุดยิ้มออกมา ผมรีบพยักหน้ารับ พยายามกลั้นรอยยิ้มของตัวเองอย่างถึงที่สุด แต่มันช่างยากเหลือเกิน
“เออ เขตวันจันทร์ เดี๋ยวเข้าบริษัทพร้อมกับพ่อเลยนะ” พ่อศักดิ์ชวนพี่เขตคุยเรื่องงาน
“ได้ครับ”
บทสนทนาต่อจากนั้นคือการพูดคุยเกี่ยวธุรกิจของทางบ้าน ซึ่งผมก็ไม่ค่อยรู้เรื่องเท่าไรนัก แต่พอคุยกันเรื่องนี้พี่เขตไม่เหมือนเด็กขี้อิจฉาอีกต่อไป อีกฝ่ายดูจริงจังตามประสาบัณทิตเพิ่งจบใหม่ไฟแรง แอบปฏิเสธไม่ได้ว่าพี่เขตเวลาจริงจังดูเท่มาก ๆ
“พ่อคิดว่าจะให้คนของเรา ไปเปิดร้านที่ห้างนั้น ทำผลิตภัณฑ์เป็นของฝาก เพราะพวกกลุ่มทัวร์เขามักจะไปให้นักท่องเที่ยวช็อปที่นั่น ส่วนใหญ่เป็นพวกคนจีน น่าจะขยายตลาดให้คนรู้จักสินค้าของเรามากขึ้นนะ”
“ห้างนั้นน่ะเหรอครับ เขตเห็นด้วยนะครับ แต่ยังไงเราก็ต้องดูผลเสียอยู่ดี ถึงกลุ่มนักท่องเที่ยวจะแวะเวียนไปที่นั่นบ่อยก็จริง แต่ตัวห้างก็เข้าถึงได้ยากและค่าเช่าก็แรงพอสมควร บางทีหากเราต้องการขยายฐานชื่อเสียงของสินค้า ควรไปเปิดในแหล่งนักท่องเที่ยวรวมตัวกันเยอะ ๆ เช่นพัทยา จะมีแหล่งท่องเที่ยวเช่นพวกตลาดน้ำสี่ภาคน่าจะโอเคกว่านะครับ”
“อืม ก็เป็นความคิดที่ดีนะ งั้นวันจันทร์เดี๋ยวเราค่อยประชุมเรื่องนี้แล้วกัน” ผมได้แต่อ้าปากค้าง มองดูพี่เขตในโหมดเป็นการเป็นงานคุยกับพ่อ พี่เขตดูเท่ ดูเก่ง มารู้ตัวว่าตัวเองกำลังเผลอจ้องหน้าพี่เขตอยู่ก็ตอนที่พี่เขาเลื่อนสายตามามองผมแล้วยิ้มล้อ
“เป็นไง เท่ล่ะสิ” พี่เขาว่าอย่างภาคภูมิ นั่นทำเอาผมถึงกับหุบปากฉับ
“ผมยังไม่ได้พูดอะไรเลย พี่เขตอย่าขี้ตู่” ผมว่าพร้อมกับตักกุ้งทอดกระเทียมมาใส่จานข้าวตัวเอง ก้มหน้างุดรีบกินทันที ไม่เงยหน้าขึ้นไปมองพี่เขาอีก ใครจะยอมรับว่ามองพี่เขาเท่ ผมชื่นชมพี่เขตมาตลอดก็จริง แต่ถ้าขืนยอมรับไปพี่เขาก็คงได้ใจ
หลังจากทานข้าวเสร็จ พี่เขาไม่ได้ขึ้นไปบนห้องเลยเหมือนอย่างเคย แต่กลับช่วยผมเก็บโต๊ะอาหาร ซึ่งเป็นสิ่งหนึ่งที่ผมแอบแปลกใจ เมื่อแม่ตองเห็นพวกเรากำลังช่วยกันเก็บโต๊ะ แม่เลยปล่อยให้เป็นหน้าที่ของเราสองคนเสียเลย เพราะคนอยู่กันเยอะแล้ว
พอเราได้อยู่ด้วยกันเพียงลำพัง ปฏิเสธไม่ได้ว่ามันดูน่าอึดอัด แม้ปกติเราเจอหน้ากันทีไรก็มักจะรับฝีปากกันทุกครั้ง
“จริง ๆ ก็ไม่ได้อยากรู้เรื่องหรอกนะ....” พี่เขตเป็นฝ่ายเปิดปากพูดก่อน ผมที่กำลังเก็บจานข้าวถึงกับชะงัก รอฟังว่าพี่เขาจะพูดอะไร
“แต่คนที่คุยด้วยอะ...แฟนจริงเหรอ” คำถามของพี่เขตทำเอาผมถึงกับนิ่งไป ไม่คิดว่าพี่เขตจะถามเรื่องนี้ แต่ถ้าพี่เขาอยากรู้นัก ผมก็จะตอบให้ก็ได้
“ไม่จริงครับ ต้นหลิวเป็นเพื่อนผม” ผมตอบตามความจริง ไม่อยากให้พี่เขตเข้าใจอะไรผิด ๆ เหมือนกัน ต้นหลิวเป็นเพื่อนผม เพื่อนแบบร้อยเปอร์เซ็นต์ หากเราพัฒนาความสัมพันธ์เป็นแบบอื่น คงกระอักกระอ่วนน่าดู
“โกหกปะเนี่ย” พี่เขตหรี่ตามองผมอย่างจับผิด
“แล้วถ้าพี่เขตไม่เชื่อจะมาถามผมทำไมล่ะครับ ในเมื่อพี่เขตเองก็มีคำตอบในใจอยู่แล้ว” ผมถามกลับเสียงซื่อ ดูเหมือนพี่เขาจะให้ความสำคัญกับเรื่องของผมเหลือเกิน
“.....”
“อีกอย่าง...ตั้งแต่เมื่อไรครับที่พี่เขตสนใจเรื่องของผมเนี่ย” ผมถามอย่างที่ใจนึก
ร้อยวันพันปีพี่เขตไม่เคยสนใจเรื่องของผมเลย อันที่จริงตั้งแต่ที่พี่เขตกลับมาอยู่ที่นี่ ก็มีพฤติกรรมแปลกไปจากเดิมหลายอย่าง อย่างที่เคยบอกปกติเราไม่ค่อยสุงสิงกันเท่าไรนัก ตามประสาความสัมพันธ์ไม่ค่อยลงรอยตั้งแต่ต้น แต่พอเขาทำแบบนี้ ผมเองตั้งรับไม่ทันเหมือนกัน
“ก็บอกตั้งแต่แรกแล้วไงว่าไม่ได้อยากรู้”
“แล้วพี่เขตถามผมทำไมล่ะ”
“ก็เพื่อนฝากถาม”
“ครับ?”
“ก็ตามนั้น ไม่ต้องถามด้วยว่าใคร ไม่บอกแน่”
คำพูดเองเออเองของพี่เขต ทำเอาผมถึงกับงุนงงไปหมด ไม่เข้าใจว่าพี่เขาต้องการสื่ออะไรกันแน่ ไหนจะบอกว่าเพื่อนฝากถามอีก แอบสงสัยว่าเพื่อนพี่เขตรู้สึกผมด้วยเหรอ? แล้วทำไมต้องฝากถามเรื่องนี้ล่ะ? ยิ่งสงสัยมากเท่าไร ผมก็ยิ่งปวดหัวมากเท่านั้น สุดท้ายจึงตัดสินใจเลิกคิดไปเลยน่าจะดีกว่า
หลังจากผมตอบคำถามพี่เขาจนครบจนพี่เขาหายข้องใจแล้ว จู่ ๆ พี่เขตก็เดินหนีขึ้นไปบนห้อง ทิ้งให้ผมล้างจานคนเดียว ผมได้แต่มองตามหลังอย่างระอา อุตส่าห์ทำเป็นมาทำดีด้วย สุดท้ายก็หวังผล
หลังเก็บโต๊ะเสร็จผมก็ขึ้นมาบนห้อง นอนเล่นเกมแก้เบื่อ วันหยุดเสาร์ อาทิตย์ก็สบายจริง ๆ สบายจนผมไม่มีอะไรทำแล้ว ได้แต่นอนเล่นเกมโง่ ๆ อยู่บนเตียง ไม่มีอารมณ์อ่านหนังสืออีก หลังจากเล่นเกมจนเบื่อ ผมก็เล่นโซเชียลต่อ เข้าไปอ่านกลุ่มห้องบ้างเผื่อมีอะไรสำคัญ
ขณะที่ผมกำลังเช็กหน้าไทม์ไลน์ตัวเองอยู่นั้น นิ้วที่กำลังเตรียมเลื่อนผ่าน ๆ ก็ชะงักไป เมื่อเพจสังคมคนดังประจำโรงเรียนได้ลงรูปศิษย์เก่าเอาไว้ เพจนี้เอาไว้ลงคนดัง คนหน้าตาดี มีผลงาน ทั้งยังเรียนอยู่และจบไปแล้ว คนไลก์เพจเกินครึ่งแสน ผมจ้องรูปนั้นนานนับนาที เพื่อยืนยันว่าตัวเองไม่ได้ตาฝาดไปจริง ๆ พี่เขตอยู่ในรูป! เขากำลังถ่ายรูปรวมกับกลุ่มเพื่อนเขา
เดาว่าคนดูแลเพจคงเอารูปนี้มาจากหนึ่งในเพื่อนของพี่เขาและน่าจะถูกถ่ายไม่นานมานี้ สังเกตได้จากทรงผม อืม...อาจเป็นตอนที่พี่เขาออกไปทานข้าวกับเพื่อนก็ได้
ผมส่ายหัวให้กับตัวเองเมื่อได้สติ พี่เขตถ่ายกับใคร ลงเพจไหน ถ่ายนานหรือยัง ไม่เห็นจะเกี่ยวกับผมซะหน่อย ท้ายที่สุดผมก็กดไลก์รูปนั้นและเลื่อนผ่านไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ฝั่งคนที่หนีขึ้นห้องมาก่อน กำลังนอนเช็กโทรศัพท์อย่างคนว่างงาน การแจ้งเตือนของแอปพลิเคชัน สื่อโซเชียลดังขึ้นเป็นระยะ ๆ จนเขตทนความรำคาญไม่ไหว ต้องเปิดเข้าไปดูว่ามันมีอะไรกันแน่ ทำไมถึงดังไม่หยุดขนาดนี้ เขาเช็กดูการแจ้งเตือนของตัวเอง ก่อนจะพบว่ามีกลุ่มเพื่อนติดแท็กแซวใต้รูปภาพของใครก็ไม่รู้
คิ้วเข้มถึงกับขมวดด้วยความแปลกใจ ดูเหมือนตอนนี้สื่อโซเชียลของเขากำลังถูกให้ความสนใจ จนมันร้อนระอุไปหมด เหมือนเขาไปทำเรื่องร้ายแรงเอาไว้
ในที่สุดความข้องใจก็กระจ่างแจ้ง ที่มีคนไม่รู้จักเข้ามาขอเพิ่มเพื่อนมากกว่าปกติ ไหนจะกลุ่มเพื่อนที่ติดแท็กแซวกันอย่างสนุกปาก เป็นเพราะเพจที่เขาไม่รู้จักเอารูปเขาและกลุ่มเพื่อนไปลง บอกชื่อเล่นเสร็จสรรพ มิหนำซ้ำยังชี้เป้าชื่อผู้ใช้งานอีก
เขตได้แต่อ่านข้อความของพวกเพื่อน ๆ อย่างเงียบ ๆ โดยไม่คิดจะตอบโต้ เพราะตอนนี้กำลังอารมณ์ดีจากเรื่องเมื่อครู่อยู่ ไม่มีเพื่อนคนไหนรู้จักครามสักคน มีแค่เขานี่แหละที่อยากรู้เรื่องของน้อง แต่ก็ไม่มีความกล้าพอที่จะเอ่ยปากถามตรง ๆ
หลังจากอ่านข้อความของเหล่าเพื่อน ๆ ที่เข้ามาแสดงความคิดเห็นอย่างสนุกสนานจนครบแล้ว เขตก็ไล่ดูว่ามีใครกดไลก์บ้าง มันแสดงเพียงแค่ส่วนหนึ่งจากคนกดไลก์ทั้งหมดสี่ห้าพัน เขากดเข้าไปเพื่อที่จะดูว่าไม่มีใครที่เขารู้จักเลยสักคน ส่วนใหญ่ก็เป็นรุ่นน้องที่อยู่ไม่ทันกัน เขาเรียนจบไป พวกนี้เพิ่งเข้ามอต้นอะไรเถือกนั้น
นิ้วยาวเลื่อนผ่านไปอย่างไม่คิดอะไร ก่อนจะชะงัก จ้องหน้าจอใกล้ ๆ มองบัญชีผู้ใช้รายหนึ่งอีกครั้งเพื่อให้หายข้องใจ เขามองภาพโปรโฟล์นั้น ดูคุ้นตาเหมือนคนอยู่บ้านเดียวกัน พยายามสังเกตดี ๆ ว่าใช่คนที่คิดไหมหรือเขาคิดไปเอง
“ใช่แน่เหรอวะ” เขตไม่รีรอ เขารีบคลิกเข้าไปบัญชีผู้ใช้รายนั้นทันที
ใช่แล้ว....นี่มันเฟซบุ๊กของคราม!
ร้อยวันพันปีไม่เคยคิดจะกดขอเพิ่มเพื่อนครามสักครั้ง แต่ตอนนี้เขตส่งคำขอเป็นเพื่อนแบบไม่ต้องคิดเลยด้วยซ้ำ เพราะน้องมันล็อกทุกอย่างหมดเลย ดูได้แค่เพื่อนในเฟซบุ๊ก เขาเองก็อยากรู้ว่าครามลงอะไรบ้างในสื่อโซเชียล
ด้วยความปากไม่ดีตั้งแต่ไหนแต่ไร ไหนจะไม่อยากได้น้องชายเข้ามาเพิ่มในครอบครัวอีก ทำให้เราทั้งคู่เป็นปรปักษ์กันโดยปริยาย ซึ่งอาจมีแค่เขาคนเดียวที่มองน้องมันเป็นศัตรูมาโดยตลอด... ใครจะทำใจได้ ตอนแรกก็เป็นลูกเพื่อนแม่ ต่อมากลายเป็นน้องชาย ไม่มีทาง!
ผมกำลังจะหลับคาโทรศัพท์อยู่แล้วเชียวแต่ต้องตาตื่นอีกครั้ง เพราะพี่เขต! ผมจ้องชื่อผู้ใช้ที่เป็นภาษาอังกฤษนานเกือบสองนาที เพื่อยืนยันกับตัวเองว่าไม่ได้ตาฝาดไป พี่เขตส่งคำขอเป็นเพื่อนผมในเฟซบุ๊ก ทั้ง ๆ ที่ร้อยวันพันปี เขาไม่เคยคิดจะส่งคำขอมาและผมก็ไม่คิดส่งไป มันต้องเป็นตอนที่ผมกดไลก์รูปในเพจนั่นแน่ ๆ แล้วพี่เขามาเจอพอดี
ผมได้แต่กลืนน้ำลายลงคออย่างวิตก เกิดความลังเลว่าควรรับหรือไม่รับดี จริง ๆ ในเฟซบุ๊กผมก็ไม่มีความลับอะไรหรอก แต่ไม่อยากอยู่ในสายตาพี่เขา ผมตบตีกับตัวเองอยู่หลายตลบ จนได้คำตอบในใจแล้วว่าจะทำยังไงดี
ผมหลับตาปี๋กดลบคำขอเป็นเพื่อนจากพี่เขตอย่างเด็ดขาด ต่างคนต่างอยู่ก็ดีแล้ว แต่พี่เขตกลับไม่คิดอย่างนั้น พี่เขากำลังก้าวเข้ามา รุกล้ำความเป็นส่วนตัวผมอย่างช้า ๆ ล้ำเส้นที่เราขีดเอาตั้งแต่แรก แค่เจอหน้ากันในบ้านก็ไม่พอหรือไง ยังจะตามมาเป็นเพื่อนในสื่อโซเชียลอีก
ทว่าพอผมกดลบคำขอพี่เขาไป พี่เขาก็กดส่งเข้ามาใหม่แบบไม่ต้องพักหายใจหายคอ พอผมเห็น ผมก็กดลบคำขอนั้นอีกอย่างไม่ลังเล คนเขาไม่ได้อยากเป็นเพื่อนด้วย ยังจะดันทุรังอีก พี่เขตนี่เหลือทน
ปัง! ปัง!
“ครามเปิดประตู!”
“....!!” ฉิบหาย! ผมถึงกับกระเด็นตัวขึ้นจากเตียงด้วยความตกใจ พี่เขตมาบุกถึงหน้าห้องผมแล้ว คงไม่พ้นเรื่องเมื่อกี้แน่นอน ผมได้แต่หันซ้ายหันขวา เอาไงดี วิ่งเข้าห้องน้ำทำเป็นอาบน้ำแล้วบอกว่าไม่ได้ยินเสียงพี่เขาดีไหม
“คราม! ฉันรู้ว่านายได้ยินฉัน อย่าให้โมโหนะ” พี่เขตพูดต่อ เขากดเสียงเข้มเพื่อกดดันผม
“.....”
“หนึ่ง...”
“.....”
“สอง....”
“ครับ ๆ! แป๊บหนึ่ง” สุดท้ายผมก็ทำได้แค่ขานรับออกไปอย่างจนปัญหา เดินไหล่ตกไปหน้าห้อง ยอมเปิดประตูโผล่แค่หน้าออกไปมองพี่เขตที่กำลังยืนกอดอกหน้านิ่ง
“มีอะไรหรือเปล่าครับ” ผมถามพี่เขา กะพริบตาปริบ ๆ อย่างใสซื่อ
“กดรับเดี๋ยวนี้” พี่เขาว่าเสียงห้วน
“กดรับ? กดรับอะไรครับ” ผมทำหน้างง ทั้ง ๆ ที่รู้อยู่แล้วว่าคืออะไร ผมเดาผิดสักที่ไหนว่าพี่เขาจะมาบุกห้องผมเพราะเรื่องนี้แน่ ๆ
“อ๋อเหรอ...ถ้าไม่รู้ก็เอาโทรศัพท์มา จะจัดการเอง”
“ท—โทรศัพท์ชาร์ตแบตอยู่ครับ ตอนนี้คงไม่สะดวก ไว้วันพรุ่ง...พี่เขต!” ผมร้องเสียงหลง เมื่อพี่เขาไม่คิดจะฟังอะไรเลย กลับอาศัยความตัวใหญ่กว่าแทรกตัวเข้ามาอยู่ในห้องนอนผมได้สำเร็จ
“โทรศัพท์อยู่ไหน”
“พี่เขตนี่มันห้องนอนผม พี่กำลังบุกรุกความเป็นส่วนตัวผมอยู่นะ” ผมโวยวายดึงแขนพี่เขาให้กลับไปห้องตัวเองซะ
“โทรศัพท์อยู่ไหน เอามา” พี่เขากดเสียงเข้มถามผมอีกแล้ว ปกติฟังแค่เสียงก็ขนลุกอยู่แล้ว คราวนี้มาทั้งสายตาและท่าทาง ผมเองก็แอบหวั่นใจกับพี่เขาอยู่ไม่น้อย
“เฮ้อ...อยู่ข้างหมอน” สุดท้ายก็เป็นผมอีกครั้งที่ต้องยอมพี่เขา
“ก็เท่านั้น” พี่เขตว่าสั้น ๆ ก่อนจะเดินไปหยิบโทรศัพท์ผม ถือวิสาสะสไลด์หน้าจอที่ผมไม่ได้ตั้งรหัสตั้งแต่ ทำอะไรตามใจตัวเองจนเสร็จสรรพ ให้ผมได้แต่ยืนมองพี่เขาตาปริบ ๆ ทำได้แค่ต่อว่ากันในใจ
“แค่นี้ก็สิ้นเรื่อง แค่รับเป็นเพื่อนจะตายหรือไงแล้วทำไมหน้าจอแตก”
“ถามได้ ก็เพราะพี่นั่นแหละ”
“....” เขาสบตาผมอย่างงง ๆ
“ก็เมื่อตอนเช้านั่นไง”
“อ๋อ...งั้นอย่าลืมเอาไปเปลี่ยนด้วย”
“รู้แล้ว ตัวเองเป็นต้นเหตุยังจะมาสั่งคนอื่นอีก” ผมแอบบ่นให้หลังพี่เขาเบา ๆ แต่พี่เขาหูดีเกินไป พี่เขตหันมามองผมตาเขียวปั๊ด แต่ก็ไม่ได้ต่อว่าอะไร นอกจากจะพูดเรื่องเมื่อกี้ต่อ พอได้ฟังแล้วดูน่ากลัวกว่าตอนถูกด่าเสียอีก
“ถ้านายลบฉัน นายตายแน่”
“เผด็จการ”
“ใช่ ยอมรับ”