บท 2

4233 Words
02 เช้าแห่งการไปโรงเรียนของผมก็กลับมาเยือนอีกครั้ง คราวนี้ไม่มีเสียงตะโกนโวยวาย เร่งเร้าให้ผมตื่นไปเตรียมอาหารเช้าให้พี่เขา เพราะแม่ตองอยู่บ้าน ผมทำกิจวัตรของตัวเองเช่นทุกวัน อาบน้ำ แต่งตัว จัดตารางเรียนแค่สามนาทีแล้วก็เดินลงมาข้างล่าง ทานอาหารเช้าและเตรียมไปโรงเรียน “แม่ตองอรุณสวัสดิ์ครับ” “มาแล้วเหรอ กินข้าวเร็วลูก เดี๋ยวสาย” แม่ตองที่กำลังตักข้าวแบ่งให้สมาชิกทุกคนในบ้านพยักหน้าให้กับผม เชิงบอกให้รีบกินข้าวเช้า เดี๋ยวจะสาย ที่นั่งทานข้าวเรายังเป็นเหมือนเดิม พี่เขตยังนั่งตรงข้ามผมเหมือนเดิม วันนี้เขายกหนังสือพิมพ์ขึ้นมาอ่าน จนมองไม่เห็นหน้าเขา นอกจากนิ้วยาว ๆ ดูเหมือนนักธุรกิจแถวหน้าของประเทศอะไรแบบนั้น ซึ่งก็ดีเหมือนกันผมก็ไม่ค่อยอยากเห็นหน้าพี่เขา ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไรที่ความกลัวเมื่อต้องเผชิญหน้ากับพี่เขาแปรเปลี่ยนเป็นอารมณ์อื่น ผมอยากให้เราสองคน ต่างคนต่างอยู่มากที่สุด อาจเพราะสองสามวันที่ผ่านมาผมเหนื่อยกับพี่เขามากและผมก็เริ่มรู้ตัวว่าต่อให้พยายามทำตัวดี ๆ กับพี่เขามากแค่ไหน ยังไงเสียพี่เขตก็คงปากร้ายกับผมอยู่เรื่อยไป “ทานข้าวให้เยอะ ๆ นะคราม” “ครับ แม่ตอง” “แหม่...เสียงอ่อนเชียว” ต่อให้ไม่ต้องเห็นหน้ากัน พี่เขาก็พร้อมกระแหนะกระแหนผมอยู่ทุกครั้งไป ต่อให้ได้ยินแค่เสียงก็ตาม แม่ตองได้แต่สบตาผมอย่างปลง ๆ อย่าได้สนใจพี่เขา ซึ่งผมก็ทำตาม ไม่ตอบโต้ ทำเหมือนเมื่อกี้เป็นเสียงเสียงลมพัดผ่าน “ก็เขตชอบพูดกับน้องแบบนี้ แล้วแม่จะเชื่อใจเราได้ยังไง” ผมมองหน้าสองแม่ลูกอย่างงุนงง พวกเขาคุยอะไรกันแล้วเกี่ยวอะไรกับผม? “...ก็ได้” พี่เขตพูด “เอาล่ะคราม แม่กับพี่เขตได้ปรึกษากันแล้วนะ” แม่ตองพูดกับผม “ครับ?” “แม่จะให้เราย้ายไปอยู่คอนโดนั้น แถว ๆ โรงเรียนเราที่แม่บอกว่าเคยผ่อนทิ้งไว้น่ะ จะได้ไม่ต้องเดินทางไกล ยิ่งช่วงนี้เราเรียนพิเศษหนักด้วย กว่าจะมาถึงที่นี่ก็ค่ำแล้ว เดี๋ยวจะป่วยเอา” “.....” “แต่แม่จะให้พี่เขตย้ายไปอยู่ด้วยกัน ให้ดูแลกันสองพี่น้อง อยู่คอนโดมันก็ใกล้กับบริษัทมากกว่าอยู่บ้าน” “อะไรนะครับ!” ผมทวนถาม ประโยคแรกพอเข้าใจได้ แต่ประโยคของแม่ แม่ตองคิดดีแล้วหรือที่จะให้เราสองคนอยู่ด้วยกันเพียงสองคน ลำพังแค่อยู่ในบ้าน มีพ่อแม่คอยห้ามปรามอยู่ เขาก็ยังหาเรื่องผมอยู่ร่ำไป “พี่เขตเขาสัญญาแล้วว่าจะไม่พูดจาร้าย ๆ หรือหาเรื่องเราอีก” ดูเหมือนแม่ตองจะรู้ว่าผมกำลังกังวลเรื่องอะไรอยู่ เธอจึงพูดประโยคถัดมา “พี่เขาสัญญาแล้ว” คราวนี้ผมเลื่อนสายตามองไปทางพี่เขตแทน อีกฝ่ายก็กำลังนั่งจ้องหน้าผมอยู่ก่อนแล้ว พี่เขายักคิ้วให้อย่างกวนประสาท ผมเดาว่านี่ต้องเป็นแผนร้ายของพี่เขาแน่ หากเราอยู่ด้วยกันเพียงลำพัง เขาจะได้จัดการผมสะดวกขึ้น “ว่าไงลูก โอเคไหม” แม่ตองถามผมด้วยท่าทีลำบากใจ นั่นทำเอาผมถึงกับพูดไม่ออก ผมรู้ดีว่าแม่ตองเป็นหวังดีกับผม ผมเองก็ไม่อยากปฏิเสธความหวังดีจากผู้ใหญ่เช่นกัน “ก็อยากย้ายไปอยู่นะครับ แต่ผมไม่ไว้ใจพี่เขต” ผมพูดตามตรง “บางทีพี่เขาอาจจะสัญญาแม่ตอง แต่ไม่ยอมทำตามก็ได้” “นี่ เห็นฉันเป็นคนยังไง” พี่เขาถามผมราวกับตัวเองถูกใส่ร้าย “ก็เห็นว่าพี่เขตชอบหาเรื่องผมอะ” “ไอ้เตี้ย!” “เอาล่ะ พอ ๆ พ่ออยากให้ครามไปนอนคิดก่อนนะ พรุ่งนี้ค่อยมาให้คำตอบเราก็ได้” คราวนี้พ่อศักด์พูดขึ้นมาบ้าง หลังเงียบมานานสองนาน “....ก็ได้ครับ” สุดท้ายผมก็ต้องพยักหน้ารับ แม้จะมีคำตอบชัดเจนในใจแล้วว่าเป็นตายร้ายดียังไง ก็จะไม่มีวันยอมย้ายไปอยู่คอนโดเพื่ออยู่กับพี่เขาเพียงลำพังเด็ดขาด “อ้าว อิ่มแล้วเหรอลูก” แม่ตองถามเมื่อผมจัดการรวบช้อนแล้ว “ครับ” “งั้นเขตไปส่งน้องไป จะได้แวะเข้าบริษัทเลย” เมื่อแม่ตองพูดเช่นนั้น ผมถึงกับหันมองหน้าพี่เขาอัตโนมัติ พี่เขตยิ้มมุมปากเหมือนตัวร้าย ดูเหมือนเกือบจะรอดพ้น แต่ถ้าพี่เขาไปส่งผมวันนี้ ผมต้องโดนพี่เขาลงโทษ ข้อหาพูดจาให้ร้ายพี่เขาทั้ง ๆ ที่มันเป็นความจริงแน่ “ต่อหน้าแม่ละพูดจ้อ ขี้ฟ้อง พออยู่ด้วยกันสองคนแล้วเงียบเป็นเป่าสากเลยนะ ปากเก่งแค่ต่อหน้าแม่” “....” “ฉันพูดด้วยไม่ได้ยินเหรอ หูหนวกหรือไง” “ก็ผมไม่อยากคุยด้วย...ไม่ชอบหน้ากันก็ต่างคนต่างอยู่สิครับ” ผมอุตส่าห์ทำเป็นไม่สนใจแล้วเชียว แต่พี่เขตก็ยังหาเรื่องกันอยู่ได้ พอไม่พูดด้วย ทำเมินก็ว่าหูหนวก ตาบอด ไม่รู้จะกวนประสาทกันไปถึงไหน “ทำไมถึงต้องต่างคนต่างอยู่ ถ้าทำแบบนั้นชีวิตนายก็มีความสุขสิ” “พี่เขตชอบทำตัวเหมือนเด็ก” “อย่าว่าเรียกฉันว่าพี่” พี่เขาพูดประโยคเดิม แบบตอนเมื่อวานเป๊ะ “แล้วทำไมพี่ชอบยุ่งกับผมอะ ชอบผมหรือไง” ผมถามออกไปอย่างที่ใจคิด แทนที่จะต่างคนต่างอยู่ แต่ชอบเข้ามาหาเรื่องผมอยู่เรื่อย “.....” “เงียบทำไมอะ ชอบผมเหรอ” ผมถามกลับบ้าง “จะบ้าเหรอ! ถูกด่าจนสมองกลับแล้วหรือไง” “พี่เขตนั่นแหละบ้า” เราไม่ได้พูดอะไรต่อหลังจากนั้น แต่ผมก็แอบแปลกใจนิดหน่อยที่พี่เขตไม่โต้ตอบอะไรกลับมา มันดูไม่สมกับการเป็นเขาเลย นั่นไม่ใช่เรื่องที่ผมต้องใส่ใจ เมื่อรถมาจอดเทียบฟุตบาทแล้ว ผมก็คว้ากระเป๋านักเรียนพร้อมจะลงจากรถทันที วันนี้พี่เขาจะมีหน้าที่แค่มาส่งผม เพราะช่วงเลิกเรียนผมจะเลิกไปเรียนกวดวิชากับเพื่อนต่อเลย ผมไหว้เขาอย่างเช่นทุกวัน พี่เขาไม่ได้พูดจา อันที่จริงไม่แม้แต่มองหน้าผมด้วยซ้ำ เมื่อผมพ้นจากตัวรถไปแล้ว เขาเหยียบคันเร่งพุ่งไปด้านหน้าอย่างเร็ว “อะไรของเขา” หลังจากเลิกเรียนผมก็ไปเรียนกวดวิชาต่อกับต้นหลิวตามปกติ กว่าจะกลับมาถึงบ้านก็เกือบสามทุ่ม โชคดีที่แม่ตองทำกับข้าวไว้เผื่อ ทำให้ผมไม่ต้องหิวโซหรือกินขนมแก้หิวพอให้พ้นมื้อ “เจ้าเขตนี่เก่งจริง สมกับลูกพ่อ” ในขณะที่ผมนั่งกินข้าวอยู่ พ่อศักดิ์ที่กำลังนั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่หน้าจอโทรทัศน์ก็จับหัวเข่าตัวเองอย่างได้ใจ นั่นทำให้ผมสงสัยอย่างเลี่ยงไม่ได้ “เมื่อวานหลังพี่ไปส่งเรา พี่เขตเขาเลยไปร่วมงานเปิดตัวผลิตภัณฑ์ของคนรู้จักนะ นักข่าวเขาก็เลยเอารูปพี่เขาไปลงพวกคอลัมน์นักธุรกิจ” เป็นแม่ตองที่แม่ตองไขความข้องใจให้กับผม “อ๋อครับ” “นั่นแหละ แค่ลูกชายได้ออกสื่อ พ่อเขาก็ภูมิใจแล้ว ไม่มีอะไรหรอก” หลังจากกินข้าวเสร็จ ผมก็เก็บจาน รับผิดชอบในส่วนของตัวเอง พ่อศักดิ์กับแม่ตองเข้าห้องนอนแล้ว ผมจึงมีหน้าที่ตรวจตราเช็กประตูว่าลงกลอนหรือยัง ปิดไฟเตรียมขึ้นห้องนอนเป็นคนสุดท้าย ระหว่างที่กำลังเช็กอยู่ความเรียบร้อยอยู่นั้น ผมก็เหลือบไปเห็นหนังสือพิมพ์ฉบับนั้นวางไว้บนโต๊ะโทรศัพท์ ผมหยิบมันขึ้นมาดู พลิกหาหน้าคอลัมน์นักธุรกิจอย่างที่แม่ตองให้ข้อมูล ก่อนจะเจอภาพี่เขตยืนยิ้มแฉ่งให้กับกล้องพร้อมกับนักธุรกิจสามสี่คนที่ผมไม่รู้จัก ไม่ใช่แค่เป็นการลงรูปปกติ แต่มีหนึ่งย่อหน้าที่กล่าวถึงพี่เขาด้วย ย่อหน้านั้น เนื้อหามีประมาณว่าเตรียมจับตาดูว่าธุรกิจของครอบครัวเราจะเติบโตไปทางไหนและคาดการณ์ว่าพ่อศักดิ์เตรียมวางมือจากธุรกิจผลิตภัณฑ์ออแกนิคและให้พี่เขตขึ้นมาดำรงแทน เพียงแต่ว่าตอนนี้ให้ลูกชายเก็บประสบการณ์ก่อนก็เท่านั้น “เหนื่อยจังโว้ยยยย” หลังขึ้นห้องมา ผมก็ทิ้งตัวนอนแผ่หลาอยู่บนเตียง เกิดอาการเตียงดูดขึ้นมากะทันหัน ขี้เกียจลุกไปอาบน้ำ อยากจะเข้านอนแล้ว โชคดีที่วันนี้ไม่มีการบ้าน ไม่งั้นผมต้องเกลียดวันนี้มากแน่ ๆ ผมพยายามถ่างตาไม่ให้ตัวเองง่วงโดยการเล่นโทรศัพท์ ดูนั่นเช็กนี่ไปเรื่อย ตั้งใจว่าหายเหนื่อยแล้วจะได้ลุกไปอาบน้ำเสียที หลังจากอาบน้ำเสร็จ ผมก็ไม่รีรอที่จะกระโดดขึ้นเตียง เพราะอยากนอนเต็มแก่ เปลือกตาผมปิดสนิททันทีที่หัวถึงหมอน ผมสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ พลังงานที่สูญเสียไปในวันนี้ ทำให้ผมต้องรีบชาร์ตพลังตัวเอง พรุ่งนี้ผมยังต้องไปโรงเรียน ไหนยังต้องแบ่งพลังงานไว้รบรากับพี่เขตอีก ในขณะที่ผมกำลังกึ่งหลับกึ่งตื่นอยู่นั้น ผมได้ยินเสียงเปิดประตูห้อง แต่เปลือกตาที่หนักอึ้ง ทำให้ผมเลือกที่จะฟังเสียง ไม่อยากรับรู้อะไรทั้งนั้น ผมรับรู้ได้ถึงแรงยุบตัวข้างเตียง เหมือนจะมีคนในบ้านเข้ามานอนกับผม นั่นทำให้ผมต้องเปิดเปลือกตามองอย่างเลี่ยงไม่ได้ นึกสงสัยว่าเป็นใครกัน สายตาที่ปรับกับความมืดได้แล้ว ทำให้ผมเห็นได้อย่างชัดเจนว่าเป็นใครที่บุกเข้ามาในห้องผมยามวิกาล ไม่ใช่พ่อศักดิ์หรือแม่ตอง แต่เป็น.... “พี่เขตเหรอ” ผมถามเสียงงัวเงีย แอบประหลาดใจนิดหน่อยที่เป็นพี่เขา “ป—เปล่า” อีกฝ่ายตอบกลับเสียงสั่นด้วยความตกใจ ผมมองเห็นความลนลานของพี่เขาในความเงียบ เหงื่อนกาฬผุดตามขอบหน้าพี่เขาอย่างกับเด็กถูกทำผิดแล้วโดนจับได้ “...ใช่ ก็ได้” โค้งสุดท้าย พี่เขาเปลี่ยนคำตอบ ยอมรับแต่โดยดี “เข้ามาทำไมอะ มันดึกแล้วนะ ผมไม่อยากเถียงกับพี่” ผมพูดตามตรง คงมีเหตุผลเดียวที่เขาเข้ามาในห้องก็คือหาเรื่องผม เหมือนกับครั้งก่อน “ก็ไม่ได้จะมาชวนทะเลาะ” พี่เขตพูดเสียงอ่อน “แล้ว.....” “นอนไม่หลับ ที่ห้องฉันไม่มีหมอนข้างแล้วมาขอยืมตัวหน่อย” “ครับ?” ผมขมวดคิ้ว ไม่เข้าใจที่พี่เขตจะสื่อ “ยืมตัวกอดแทนหมอนข้างหน่อยดิ” “.....” คราวนี้ผมถึงกับตาสว่าง อาการง่วงซึมหายไปเป็นปลิดทิ้ง มองหน้าพี่เขตอย่างตะลึง รอเวลาให้พี่เขาเฉลยเผื่อนี่จะเป็นการแกล้งเหมือนเช่นทุกที ทว่ากลับไม่มีเสียงหัวเราะออกมา มิหนำซ้ำพี่เขายังค่อย ๆ สอดแขนเข้ามาคว้าตัวผมเข้าไปกอดไว้อย่างเก้ ๆ กัง ๆ ไม่ใช่แค่พี่เขาลมหายใจติดขัด แต่ผมเองก็เช่นกัน ผมได้แต่มองพี่เขตอย่างอึ้ง ๆ มันเกินความคาดหมายไปหน่อย “พ—พี่เอาจริงดิ” ผมถามเขาให้แน่ใจ เราทะเลาะกันตั้งแต่เขากลับมาประเทศไทย จะให้มานอนกอดกันเหมือนพี่น้องคลานตามกันออกมา มันไม่แปลกไปหน่อยหรือ ยิ่งตอนที่เราสัมผัสร่างกายกัน เช่นตอนนี้ที่ผมถูกพี่เขาดึงเข้าไปกอดเอาไว้ มันยิ่งดูแปลกไปใหญ่ “ห้ามบอกแม่ด้วย” เขาออกคำสั่ง “ครับ?” ผมทำหน้างง “เป็นความลับระหว่างเรา” เรานอนกอดกันทั้งนั้น อันที่จริงมีแต่พี่เขาที่กอดผมไว้ เพราะผมไม่ได้อยากกอดกับเขาตั้งแต่แรก การกระทำแปลก ๆ ของพี่เขต ทำเอาผมถึงกับเดาทางไม่ถูก ไม่รู้ว่าพี่เขาจะมาไม้ไหนกันแน่และไม่ว่าจะเป็นแบบไหน ผมก็ไม่เคยเดาทางได้เลยสักครั้ง ผมมารู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่พี่เขาลุกจากเตียง ออกจากห้องนอนผมไปเกือบตีห้า เรามาเจอกันอีกครั้งก็ตอนนั่งกินข้าวเช้า ต่างฝ่ายต่างทำตัวไม่ถูก กระอักกระอ่วนกันทั้งคู่ ถ้าเป็นปกติพี่เขตคงแซะแล้วว่าผมลงมาช้า อย่างนั้นอย่างนี้ แต่อาจเพราะเรื่องเมื่อคืน....พี่เขาถึงไม่พูดอะไร นอกจากเหลือบมองหน้าผมเป็นระยะ ๆ สงสัยกลัวว่าผมจะฟ้องแม่ตอง “ใครตัดหนังสือพิมพ์เนี่ย” เสียงของพ่อศักดิ์ ทำให้เราเลิกสนใจกันและกันครู่หนึ่ง พ่อศักดิ์ชูหนังสือพิมพ์ฉบับเมื่อคืนนี้ให้ดู พร้อมกับรอยแหว่งตรงคอลัมน์นักธุรกิจ “เมื่อวานคุณก็ยังอ่านอยู่ไม่ใช่เหรอคะ” แม่ตองว่า ในจังหวะเดียวกันพี่เขตก็ตวัดสายตามามองผม เหมือนผมเป็นผู้ต้องสงสัย เพราะทั้งบ้านมีแค่เราสองคนที่ไม่ลงรอยกัน “นายใช่ไหม” เขาพูดกับผม ใช้วิธีขยับปากแบบไม่ออกเสียง “ครับ ผมตัดเอง” ผมรับสารภาพ “อ้าว ตัดทำไมล่ะลูก” พ่อศักดิ์ถามผม “พอดีมีการบ้านน่ะครับ วิชาเศรษฐศาสตร์ ครูให้เอาคอลัมน์เกี่ยวกับธุรกิจไปพูดหน้าชั้นเรียน” “อ๋อ ไม่เป็นไร ๆ พ่อก็ตกใจนึกว่าใครตัด” “ขอโทษครับที่ไม่ได้บอกก่อน” “นายโกหกใช่ไหมเรื่องการบ้านน่ะ” เมื่อมาถึงโรงรถ พี่เขตที่เตรียมไปส่งผมก็เปิดปากซักถามทันที น้ำเสียงของพี่เขาดูท่าอยากจะหาเรื่องกันตั้งแต่ยังไม่แปดโมงเช้า “การบ้านจริง ๆ ครับ” ผมตอบหน้าซื่อ “โกหก” พี่เขาสวนกลับทันควัน “แล้วทำไมผมต้องโกหก” ผมถามกลับ “เพราะนายไม่ชอบหน้าฉัน เลยทนเห็นฉันในหนังสือพิมพ์ไม่ได้” “.....” “ใช่ไหมล่ะ” “มีแต่พี่นั่นแหละที่ไม่ชอบหน้าผม...คืนนี้พักผ่อนให้มาก ๆ นะครับ ผมว่าเมื่อคืนพี่อาจนอนน้อยไป” ผมตอบ ข้อสันนิษฐานของพี่เขามันดูไร้สาระมาก จนผมไม่อยากคุยด้วยแล้ว หลังจากพูดจบผมก็เดินเข้าไปในนั่งในรถ รอให้พี่เขาไปส่ง ทิ้งให้พี่เขายืนหัวเสีย เพราะเถียงผมไม่ได้ ดูเหมือนว่าหน้าที่ไปรับส่งพ่อศักดิ์จะยกให้พี่เขตเป็นคนดูแลไปแล้ว ผมมองข้างทางไปเรื่อยเปื่อย ขณะที่รถกำลังแล่นมุ่งตรงไปโรงเรียนผม “แล้วตกลงเรื่องย้ายไปอยู่คอนโดว่าไง” “ครับ?” “จะย้ายไก็รีบให้คำตอบแม่ อย่าเล่นตัว” “อะไรของพี่...นี่หาเรื่องด่าได้ตลอด ผมจะย้ายไปทำไม เสียเปรียบชัด ๆ” ผมว่า ลำพังพูดดี ๆ ยังไม่เคยทำได้ ใครจะยอมย้ายไปอยู่ด้วยกันสองคน ให้พี่เขาโขลกสับผมตามอำเภอใจล่ะ “.....” “ขนาดพี่ให้สัญญากับแม่แล้ว ลับหลังแม่ตองพี่ยังด่าผมอยู่เลย ทำแบบนี้ใครจะอยากอยู่ด้วย พูดจากันดี ๆ ยังทำไม่ได้เลย” ผมพูดตามความรู้สึกตัวเอง มีคนเคยบอกว่าความอดทนมักจะมีขีดกำจัดเสมอ ผมว่าผมเริ่มรู้ความหมายแล้ว พี่เขาเล่นด่าเช้าเย็น หาเรื่องกันตลอดเวลา ผมเองก็เริ่มทนไม่ไหวเหมือนกัน ทั้ง ๆ ที่ตอนแรกพยายามบอกตัวเองไว้แล้วเชียวว่าอย่าไปยุ่งกับพี่ ต่างคนต่างอยู่ไปเลย พี่เขาไม่ได้ตอบโต้อะไรเหมือนที่ผมคิด แต่กลับเงียบมาตลอดทาง ทำเอาผมแอบรู้สึกผิดว่าพูดอะไรทำร้ายจิตใจพี่เขาหรือเปล่า แม้สิ่งที่พูดไปมันเป็นความจริงก็เถอะ แต่ผมไม่ได้มีเจตนาจะทำร้ายความรู้สึกพี่เขา ในที่สุดรถมาก็จอดสนิทที่หน้าป้ายโรงเรียนผมเสียที พี่เขายังคงเงียบ ดูนิ่งไม่ค่อยสมกับพี่เขาเท่าไร แต่นั่นก็ไม่ใช่ประเด็นแล้ว ผมไหว้พี่เขาและเตรียมลงจากรถ หากพี่เขาไม่คิดจะขอโทษที่ว่าผม ผมเองก็ไม่คิดจะขอโทษพี่เขาเหมือนกัน “คราม” “.....” “ขอโทษ” พี่เขตพูดไม่เต็มเสียง ดูเหมือนกระด้างปากมากที่ต้องพูด เขาเอ่ยคำขอโทษโดยที่ไม่มองหน้าผมและหูพี่เขาก็แดงระเรื่อเหมือนคนกำลังอาย คำขอโทษจากพี่เขา ทำเอาผมถึงกับตั้งรับไม่ถูก ตั้งแต่รู้จักพี่เขามา ไม่เคยมีครั้งไหนเลย ที่ผมจะได้ยินคำขอโทษจากปากเขาจริง ๆ จัง ๆ เลย ถ้าแม่ตองไม่บังคับ “ครับ” ผมเองก็ตอบรับคำขอโทษนั้นแบบไม่เต็มเสียงนัก ไม่ใช่แค่พี่เขาที่อายเพราะเป็นฝ่ายขอโทษ ผมเองก็เช่นกัน… “ง—งั้นก็ขับรถไปทำงานดี ๆ นะครับ” ผมพูดแค่นั้นแล้วรีบวิ่งเข้าโรงเรียนไปโดยไม่เหลียวมองหลังด้วยซ้ำ คำขอโทษจากพี่เขาทำเอาผมรู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก อาจเพราะไม่เคยคิดว่าครั้งหนึ่งในชีวิตจะได้รับมัน ผมจึงรู้สึกดีมาก ๆ จนเพื่อนสนิทสังเกตเห็น “เป็นอะไรอะ เช้านี้มาดูอารมณ์ดีเชียว” ต้นหลิวเอ่ย “เปล่า” ผมปฏิเสธเธอทั้งหน้ายิ้ม “เคลียร์กับพี่เขตแล้ว?” แต่เธอยังไม่ยอมรับแพ้ พยายามซักไซ้ผมให้คลายความลับออกมาให้ได้ นั่นทำให้ผมถึงกับหลุดหัวเราะออกมาในความไม่ยอมแพ้ของเธอ “ก็ไม่เชิงหรอก เราก็แค่ไม่คิดจะว่าพี่เขาจะยอมอ่อนข้อให้อะ” ผมพูดความจริง ในตอนแรกคิดว่าพี่เขาจะด่ากลับด้วยซ้ำ กลับกลายเป็นว่ายอมขอโทษง่าย ๆ มิหนำซ้ำท่าทางยังดูหงอยมากด้วย มันเลยดูตลก “คือวันนี้พี่เขาว่าเราอีกแล้ว เราเลยทนไม่ไหว ก็บอกไปตรง ๆ ว่าไม่ชอบที่พี่เขาทำแบบนี้” “.....” “ตอนแรกเราก็รู้สึกผิดนะที่พูดออกไป ไม่สนใจความรู้สึกของคนฟัง พี่เขตเองก็คงรู้สึกแย่เหมือนกัน แต่ตอนลงจากรถพี่เขาก็ยอมขอโทษที่พูดไม่ดีกับเรา เราก็เลยรู้สึกดีที่พี่เขาขอโทษ ก็แค่นั้นแหละ” “งั้นก็เป็นสัญญาณดีแล้วสิ พี่เขาเริ่มโอนอ่อนแล้ว อีกหน่อยก็คงไม่มีปัญหากับครามแล้วมั้ง ให้เวลาพี่เขตปรับตัวหน่อย” ต้นหลิวว่า “จริง ๆ พื้นฐานพี่เขตอาจไม่ใช่คนแย่ ๆ ก็ได้มั้ง พี่เขาอาจแค่....” “แค่อะไร” ผมถามต่อ “ปากไวไปหน่อยไง แบบพูดออกมาก่อนคิด พอพูดเสร็จรู้ว่าไปทำร้ายจิตใจคนฟัง พี่เขาก็เลยรู้สึกผิด” “โอ้โห แต่เขาทำพฤติกรรมอย่างนี้มานานมากแล้ว ทำแค่กับเราด้วย” ผมว่า ตอนที่พี่เขตคุยกับเพื่อนเขา คุยกับพ่อแม่พูดเพราะพริ้ง แสนดียิ่งกว่าเทวดา แต่มาคอยปล่อยด้านมืด คอยกัด คอยแซะแค่กับผมเนี่ย เพื่อนพี่เขาไม่มีใครรู้หรอกว่าพี่เขตคอยจ้องหาเรื่องผม มีแค่พ่อศักดิ์ แม่ตองนี่แหละที่รับรู้ความจริง เพราะเราอยู่บ้านเดียวกัน แต่ก็ไม่ใช่ทั้งหมดอยู่ดี เพราะพี่เขาชอบจัดการ วางอำนาจ ออกคำสั่งตอนพ้นสายตาพ่อแม่เท่านั้น “เอาใหม่ เราจะพยายามทำความเข้าใจทั้งทางฝั่งครามและพี่เขตแล้วกัน...พี่เขาเป็นลูกชายคนเดียวมาตลอด อยู่ดี ๆ ก็มีน้องชาย ตอนแม่บอกเราว่าจะมีน้อง เราก็รู้สึกกลัวเหมือนกัน กลัวว่าจะถูกแย่งความรักอะ” “.....” “บางทีพี่เขาอาจจะรู้สึกอย่างนั้นก็ได้ แม่ครามก็อาจไม่ได้บอกพี่เขาก่อน พี่เ­ขาก็เลยยังไม่เตรียมใจ แล้วช่วงที่ครามบอกว่าพยายามแก้ไขความสัมพันธ์แบบพี่น้องให้ดีขึ้น พี่เขาก็ตัดสินใจไปเรียนต่อ เรื่องความสัมพันธ์มันเลยแย่มาจนถึงตอนนี้ อีกอย่างพี่เขากลับมาแล้ว เขาโตขึ้น บางทีครั้งนี้มันอาจไม่ได้แย่ก็ได้นะ แค่ให้เวลาพี่เขาหน่อย” “.....” “แต่ถ้าเวลาผ่านไป พี่เขายังไม่ดีขึ้นไปกว่านี้ อันนี้ปัญหาก็เป็นที่พี่เขาแล้ว เราก็อยู่ของเรา มองเขาเป็นลม เป็นอากาศก็ว่าไป ทำเหมือนที่เคยคุยกันไว้ ไม่ต้องไม่ยุ่ง” “แต่พี่เขาจะให้ย้ายไปอยู่คอนโดด้วยนะ ถ้าเป็นแบบนี้มันหมายความว่าไงอะ” ผมถามต้นหลิว “....” “อยู่ด้วยกันสองคนโดยไม่ต้องมีพ่อแม่เข้าไปเกี่ยวข้อง แสดงว่าเขาสร้างสัมพันธ์ที่ดีกับเราใช่ไหมอะ ขากลับกลายเป็นพ่อศักดิ์ที่มารับผม หัวข้อย้ายไม่ย้ายอยู่ในความคิดผมตลอดทั้งวัน ผมรู้ว่าแม่ตองอยากให้ผมย้ายไปอยู่คอนโด ผมจะได้ไม่ต้องเหนื่อย เทียวไปเทียวมา กลับบ้านดึกทุกครั้งที่มีเรียนกวดวิขา แต่ในขณะเดียวกัน ผมก็ไม่ไว้วางใจพี่เขตด้วย ถ้าพี่เขาไม่คอยหาเรื่องผมอย่างที่ทำทุกวัน ผมคงตอบรับขอเสนอนั้นอย่างไม่ลังเล แต่เพราะมันไม่ใช่เช่นนั้น ผมจึงต้องคิดหนัก คิดให้ดี ถ้าย้ายกลับไปกลับมาก็กลายเป็นเด็กเรื่องมากอีก เราทานข้าวเย็นกันสามคน ไร้ซึ่งเงาของพี่เขต นั่นทำให้ผมมองหาตามเคยชิน แต่ก็ไม่กล้าเอ่ยถามพ่อแม่ไปตรง ๆ “วันนี้พี่เขามีนัดกินข้าวกับเพื่อนนอกบ้านน่ะ” ดูเหมือนพ่อศักดิ์จะรู้ว่าผมมองหาอะไรถึงเฉลยให้ “อ๋อครับ” “กินข้าว ๆ เยอะคราม จะได้มีแรงอ่านหนังสือ” แม่ตองว่าพร้อมกับตักข้าวให้ผมถึงสามทัพพี นั่นทำเอาผมถึงกับยิ้มแก้มปริ พอรู้ว่าพี่เขตไม่อยู่บ้าน ผมรู้สึกสบายใจยังไงไม่รู้ พอไม่มีพี่เขาคอยแซะ คอยว่า ผมก็เจริญอาหารเหลือเกิน หลังจากทานข้าว ช่วยแม่เก็บโต๊ะเสร็จ ผมก็ขึ้นห้องตามปกติ เตรียมจะทำการบ้าน อาบน้ำ อ่านหนังสือแล้วเข้านอนเลย ทว่าสายตาดันเหลือบไปเห็นบางอย่างที่ผมยังไม่จัดการให้เสร็จเรียบร้อยพอดี ผมหยิบมันออกมาเมื่อนึกได้ แล้วปลดล็อกลิ้นชักหยิบสมุดคู่ใจ ผู้กุมความลับของผมออกมา กระดาษหนังสือพิมพ์ที่มีรูปพี่เขตยิ้มแฉ่งให้ตากล้องอยู่ ทำเอาผมถึงกับหลุดขำ ผมตัดรูปพี่เขาก็จริง แต่ไม่มีการบ้านวิชาเศรษฐศาสตร์หรืออะไรทั้งนั้น มีเพียงแค่สมุดบันทึกโง่ ๆ ของผมที่เอาไว้จดบันทึกเรื่องราวของพี่เขา.... หากตัดเรื่องความสัมพันธ์ที่ไม่ค่อยลงรอยของเราออกไป ผมก็นับถือพี่เขามาก พี่เขตเป็นคนเก่งด้วยความพยายาม ไม่ใช่เพราะโชคช่วยหรือพ่อแม่ ผมเห็นพัฒนาการของพี่เขามาโดยตลอด ผมคอยมองพี่เขาอยู่ห่าง ๆ ผมเห็นตอนที่พี่พยายามฝึกภาษาอังกฤษ ทั้ง ๆ ที่วิชานั้นเขาอ่อนที่สุด เขาฝึกจนตัวเองมีระดับภาษาตรงตามขั้นต่ำที่มหา’ลัยฝั่งนั้นเปิดรับ พี่เขาพยายามทุ่มเททั้ง ๆ ที่ไม่ชอบ แต่เขาก็พยายามอย่างถึงที่สุด เพราะไม่อยากอาศัยอยู่ร่วมชายคากับผม มันอาจฟังแล้วเหมือนเป็นเรื่องน่าเศร้า ที่คน ๆ หนึ่งพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อให้หลุดพ้นจากอีกคน แต่ผมก็รู้สึกชินชาแล้ว ผมชื่นชมพี่เขาอยู่ห่าง ๆ มาโดยตลอด คอยมองความสำเร็จของพี่เขาจากด้านหลัง ถึงพี่เขาจะไม่ชอบผม แต่ก็ไม่ใช่เรื่องผิดนี่ที่ผมจะเอาพี่เขาเป็นแบบอย่าง มันไม่ได้ผิดกฎหมายเสียหน่อยและอีกอย่างพี่เขตก็ไม่เคยรู้ด้วย ผมบรรจงตัดแปะรูปจากหนังสือพิมพ์ลงสมุดบันทึกของตัวเองและเก็บลงลิ้นชักให้มันเป็นความลับเช่นเดิม....มีแค่ผมที่รับรู้คนเดียวก็พอแล้ว หลังจากทำกิจวัตรตามที่ตัวเองตั้งเป้าไว้เสร็จ ผมก็เตรียมเข้านอน ครั้งนี้ไม่ลืมที่จะล็อกประตูห้องด้วย กุญแจห้องมีแค่ผมคนเดียวที่ครอบครอง ผมชื่นชมพี่เขตในฐานะตัวอย่างยกเว้นนิสัยก็จริง แต่ใช่ว่าผมจะยินยอมให้พี่เขาย่องเข้ามาในห้องตามอำเภอใจนี่ ที่เขาบอกว่าห้องไม่มีหมอนข้าง เหตุผลมันไม่ขึ้นและไม่ว่าเหตุผลที่แท้จริงจะคืออะไร แต่จะไม่มีครั้งที่สองอีกแล้ว
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD