บทที่1
รถของพ่อเคลื่อนเข้ามาจอดในบ้านแล้ว ผมใจเต้นแรงแปลก ๆ แอบมองผ่านหลังม่าน อยากเห็นหน้าพี่เขตจับใจ อยากรู้ว่าอีกฝ่ายเปลี่ยนไปมากน้อยแค่ไหน
อยากจะออกไปต้อนรับ แต่ก็ต้องขอดูท่าทีของพี่เขตก่อน อีกฝ่ายเพิ่งกลับมาถึงวันแรก ผมก็อยากให้บ้านของเราเต็มไปด้วยเสียงคึกครืนและความคิดถึง มากกว่าจะขุ่นข้องหมองใจในความไม่ลงรอยของเรา
เสียงเปิดประตูบ้านดังขึ้นในขณะที่ผมทำได้แค่ยืนฟังเสียงจากชั้นบน ผมได้ยินเสียงลากกระเป๋าใบใหญ่ ได้ยินเสียงหัวเราะของแม่และได้ยินเสียงเข้ม ๆ ของพี่เขา คนที่ผมไม่ได้เจอตั้งห้าปีเต็ม
คิดถึงเสียงดุ ๆ ของพี่เขาจัง....
ระหว่างที่พ่อแม่ไปรับพี่เขตทีสนามบินสุวรรณภูมิ ผมที่อยู่บ้านเพียงลำพังก็ลงมือทำอาหาร ตั้งโต๊ะรอ เมนูส่วนใหญ่เน้นเป็นของโปรดของพี่เขต ผมก็จำได้บ้าง ไม่ได้บ้าง แต่ก็คิดว่าอีกคนเดินทางมาไกล ๆ ต้องหายเหนื่อยแน่นอน เพราะผมตั้งใจทำสุดฝีมือ
“คราม อยู่ไหนลูกลงมากินข้าวพร้อมกันเร็ว” เสียงแม่ตองตะโกนเรียกผม นั่นทำเอาผมใจเต้นแรงเรียก เพราะต้องลงไปกินข้าวพร้อมกันและต้องเจอกับพี่เขต ผู้ซึ่งผมไม่รู้ว่าหายโกรธผมหรือยัง?
“มันยังไม่ไปจากที่นี่อีกเหรอ” เสียงพี่เขตพูดขึ้นมาก่อนที่ผมจะก้าวขาลงบันไดขั้นสุดท้าย
“เขต นั่นน้องนะ” แม่ตองปราม
“ผมไม่มีน้องชาย” พี่เขตพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง ผมห่อไหล่อย่างอ่อนแรง ตอนเด็ก ๆ พี่เขตว่าแรงกว่านี้ผมไม่เคยโกรธ มีแต่ยิ้มรับ นั่นทำให้ผมรู้ว่าเวลาเราไม่เจอหน้ากันถึงห้าปี ไม่ได้ช่วยเยียวยาความสัมพันธ์เราเลยสักนิด....
สุดท้ายผมก็กลับขึ้นตั้งหลักที่ชั้นสองแล้วบอกแม่ตองว่าไม่หิว ผมไม่อยากให้พ่อแม่โมโหพี่เขตที่พูดเช่นนั้น การที่ผมลงไปกินข้าวด้วยอาจทำให้ทุกอย่างบานปลายกว่าเดิม มันก็จริงอย่างที่อีกฝ่ายว่า เขาเป็นลูกชายคนเดียว เขาไม่มีน้องชาย…
สุดท้ายก็ต้องนั่งทำการบ้านของตัวเองอยู่เงียบ ๆ ในห้อง ผมเรียนชั้นมัธยมปลาย ม.ห้า อีกไม่ถึงปีก็เตรียมสอบเอาคะแนนไว้ยื่นมหา’ลัยแล้ว
ผมได้ยินเสียงลากกระเป๋าขึ้นบันได มันดูเหมือนหนังสยองขวัญ ผมรู้สึกอย่างนั้นจริง ๆ ผมแทบไม่กล้าหายใจ ต้องเป็นเขาที่ขึ้นมาพร้อมกระเป๋าใบโตแน่ ใจจริงอยากจะออกไปช่วยยกของ พี่เขาเดินทางมานานคงเพลีย แต่ก็กลัวจะถูกว่าเสนอหน้า จึงทำได้แค่นั่งฟังเสียง
ห้องนอนของพี่เขตอยู่ตรงข้ามกับห้องผม ซึ่งก่อนพี่เขาจะเดินทางกลับมาหนึ่งวัน ผมได้เข้าไปทำความสะอาดให้แล้วเรียบร้อย พ่อศักดิ์กับแม่ตองนอนห้องข้างล่าง ชั้นบนจึงมีแค่ผมและพี่เขา เดิมทีห้องนอนผมเป็นของเขามาก่อน พอผมย้ายเข้ามาอยู่ด้วย ในฐานนะน้องชาย เขาจึงต้องยกห้องนี้ให้อย่างเสียไม่ได้ บางทีนี่อาจเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้พี่เขตไม่ชอบขี้หน้าผมก็ได้
ผมเม้มปากแน่น เมื่อไม่ได้ยินเสียงเปิดประตูฝั่งตรงข้าม พี่เขาต้องหยุดยืนที่หน้าห้องเราแน่ ผมอุตส่าห์ไม่ลงไปกินข้าวแล้วนะ พยายามแล้วที่จะไม่ให้พี่เขาอารมณ์เสีย แต่ถ้าพี่เขาจะมาเปิดประตูห้องผมเพื่อหาเรื่อง นั่นก็คงเลี่ยงไม่ได้
ผมถึงกับถอนหายใจอย่างโล่งอก เมื่อได้ยินเสียงเปิดประตูฝั่งตรงข้าม เมื่อกี้รู้สึกตื่นเต้นจนแทบไม่กล้าหายใจ ผมคิดว่าพี่เขตน่ากลัวยิ่งกว่าผีอีก จริง ๆ พี่เขาหน้าตาดี หล่อกว่าผมตั้งเยอะ แต่ปากเขาคมยิ่งกว่ากรรไกร มันจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้เขาน่ากลัวยิ่งกว่าผี หลังจากทำการบ้านเสร็จ ผมก็เตรียมตัวอาบน้ำนอน ต้องรีบเข้านอน เพราะพรุ่งนี้ต้องไปโรงเรียนตั้งแต่เช้า
กิจวัตรผมไม่มีอะไรมาก วันปกติก็ไปเรียน เรียนก็ไปกวดวิชาต่อจนถึงหัวค่ำ เสาร์-อาทิตย์ก็มีเรียนภาษาอีกวันละสองชั่วโมง ผมอาศัยทำงานบ้านช่วยแม่ตองตอนเสาร์ อาทิตย์ช่วงหลังเลิกเรียนพิเศษเอา ไม่ว่าจะเป็นการรดน้ำต้นไม้ ล้างจาน ขัดห้องน้ำ งานบ้านแทบทุกชนิดผมเต็มใจจะช่วยทำ
พออาบน้ำเสร็จก็เหมือนความรู้สึกผมจะดีขึ้น หลังก่อนหน้านี้ผมกังวลเรื่องพี่เขตมาก ไม่ใช่ผมไม่ได้อยากให้เขากลับมานะ ผมอยากให้เขากลับมา พ่อศักดิ์แม่ตองจะได้หายคิดถึงลูกชายเขา แต่ผมกลัวเรื่องความสัมพันธ์แบบพี่น้องที่ไม่ลงรอยระหว่างเราต่างหาก จะทำให้พ่อแม่ปวดหัว
ความจริงเราควรจะเข้ากันได้ตั้งแต่ตอนเด็ก มันน่าจะง่ายกว่าตอนโต แต่พี่เขตก็ชิ่งไปเรียนต่อเมืองนอกก่อน ความสัมพันธ์ที่ผมพยายามประคับประคอง หวังดีต่อพี่เขา เพื่อให้ใจอ่อน เลิกอคติกับผมจึงขาดช่วงไปถึงห้าปี มาอีกทีตอนนี้พี่เขาโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว มีความคิด วุฒิภาวะเป็นของตัวเอง
“พี่เขต” ผมเรียกชื่ออีกฝ่ายเสียงแผ่ว ใจร่วงไปถึงตาตุ่ม เมื่อเห็นพี่เขานั่งอยู่บนเตียง นึกโทษตัวเองในใจว่าก่อนอาบน้ำทำไมไม่เดินไปล็อกประตูห้องเสียก่อน
“อย่ามาเรียกฉันว่าพี่”
“.....” ผมเงียบแอบจุกเล็กน้อยที่เขาว่าเช่นนั้น เขาดูโตขึ้น หล่อขึ้นในแบบที่ผมไม่เทียบเท่า แต่สิ่งเดียวที่ไม่เปลี่ยนไปเลยตลอดห้าปีก็คือสายตาจงเกลียดจงชังของเขา...
“โตจนป่านนี้ยังเป็นลูกแหง่ติดตุ๊กตาอีก”
“.....”
“ฉันไม่อยู่ที่นี่ กลายเป็นลูกคนเดียวคงสบายมากสินะ”
“.....” ผมเงียบ แอบเถียงในใจว่าไม่เคยคิดเช่นนั้น ผมรู้ตัวดีว่าตัวเองเป็นใครและเขาเป็นใคร ไม่เคยหลงคิดว่าตัวเองเป็นลูกคนเดียวหรือคิดจะแย่งตำแหน่งนั้นจากเขา
“ไม่ได้อยากเข้ามาที่นี่นักหรอก แต่ฉันแค่เตือนสถานะของนาย เผื่อนายจะหลงระเริงกับสิ่งที่ตัวเองมี ทั้ง ๆ ที่มันไม่ใช่ตั้งแต่แรก”
จริง ๆ ผมไม่ควรเอาคำพูดพี่เขามาใส่ใจ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าแอบเอามาคิดจนถึงรุ่งสาง ทั้งคืนผมเอาแต่คิดว่าควรทำยังไงถึงจะชนะใจพี่เขา ผมคิดเรื่องนี้ตลอดทั้งคืนจนเผลอหลับไปตอนตีห้า วันที่ผมต้องไปโรงเรียน
“ตื่น!” เสียงตะโกนลั่นบ้าน ทำเอาผมสะดุ้งตื่นด้วยความตกใจ ก่อนจะเห็นพี่เขตทำหน้ายักษ์หน้ามาร กอดอกมองผมด้วยความไม่พอใจ “รู้ไหมมันกี่โมงกี่ยามแล้ว ทำไมไม่รู้จักเวล่ำเวลา! จะไปโรงเรียนไม่ใช่เหรอหรือไม่อยากเรียนหนังสือแล้ว!?”
“ขอโทษ ผม....”
“ไม่ต้องมาเถียง!” พี่เขตพูดแทรกขึ้นมาก่อน “ไม่รู้จักหน้าที่ตัวเองจะทำอะไรกินได้ รีบจัดการตัวเองแล้วลงไปทำอาหารเช้าให้ฉันเดี๋ยวนี้!” พี่เขาไม่ฟังผม แต่ออกคำสั่งแล้วปิดประตูห้องเสียงดัง ทำเอาผมถึงกับห่อไหล่ ดูท่าจะหมดหนทางที่เราจะพูดจากันดี ๆ นี่แค่อยู่ร่วมบ้านไม่ถึงวัน บ้านก็แทบแตกแล้ว
ดูเหมือนเช้านี้จะมีแค่เราอยู่ในบ้านเพียงลำพัง ไร้เงาของพ่อแม่ ซึ่งน่าจะออกไปทำธุระตั้งแต่เช้า เขาถึงกล้าขึ้นเสียงใส่ผมขนาดนี้ ปกติก็มีจิกกัดบ้างตามประสาคนไม่ชอบหน้า แต่ไม่ค่อยขึ้นเสียงใส่เพราะเกรงใจแม่ตอง
ผมรีบอาบน้ำแต่งตัวเตรียมไปโรงเรียน บอกตามตรงว่าไม่ค่อยมีสติเท่าไรนัก ลืมนั่นลืมนี่ตลอด เพราะนอนไม่ถึงสองชั่วโมง แต่ก็พยายามเร่งความเร็ว ก่อนที่พี่เขาจะเดินมาตะโกนใส่หน้าซ้ำสอง ผมรีบเข้าครัวจัดหาอาหารเช้าตามที่พี่เขาต้องการ ในที่สุดก็ทำอาหารเช้าทันก่อนที่พี่เขาลงมา
พี่เขตอยู่ในชุดสูทเตรียมไปทำงาน ดูเหมือนจะเข้าบริษัท พอเขาเรียนจบก็มีตำแหน่งรออยู่ทันที บ้านของเราทำธุรกิจเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ออแกนิค เป็นธุรกิจขนาดกลาง มีขายส่งให้ทั้งในประเทศและต่างประเทศ
เมื่อเขาเดินลงมาข้างล่าง อาหารเช้าร้อน ๆ ก็ถูกวางไว้บนโต๊ะ ผมพยายามไม่มองหน้า หลบอยู่มุมครัวไม่ให้เขารู้สึกรกสายตาและค่อย ๆ เดินออกมาคว้ากระเป๋านักเรียนอย่างเบาเสียง เตรียมตัวไปโรงเรียน วันนี้คงเป็นอีกวันที่ผมต้องให้พี่วินหน้าปากซอยไปส่ง
ปกติผมจะกินข้าวเช้าที่บ้านและพ่อศักดิ์ก็จะไปส่ง แต่วันนี้แค่ผมได้อยู่กับพี่เขตเพียงลำพัง พ่อแม่ไม่อยู่ด้วย ผมยังกลัวเขาขนาดนี้เลยแล้วใครที่ไหนจะกล้าร่วมโต๊ะกินข้าวด้วย
“จะไปไหน” ไม่ทันที่จะได้คว้าลูกบิดเสียงพี่เขตก็ทักขึ้นมาก่อน พร้อมกับเสียงลากเก้าอี้ถอยหลัง นั่นทำเอาผมถึงกับถอนหายใจ ใจคอพี่เขาจะหาเรื่องทุกนาทีเลยหรือไง
“ผมจะไปโรงเรียนครับ” ในใจอยากจะตะโกนว่าเลิกยุ่งกับผมเสียที! ไม่ชอบขี้หน้ากันก็อยู่ห่าง ๆ กันไว้ แต่ก็ได้แค่ตะโกนในใจแล้วหันกลับไปมองอย่างซื่อ ๆ
“จะไปยังไง”
“น—นั่งวินครับ”
“งั้นก็ไม่เปิดประตูบ้าน”
“ครับ?” ผมมองหน้าพี่เขาอย่างงุนงง ก่อนจะสะดุ้งเมื่อพี่เขาทำยักษ์ให้อีกแล้ว
“.....”
“อ—เอ่อคือไม่ต้องไปส่งก็ได้นะครับ ผม”
“ไปเปิดประตูบ้าน อย่าให้พูดซ้ำ” พี่เขาพูดเสียง นั่นทำเอาผมถึงกับไหล่ตกอย่างคนหมดแรงและยอมเดินออกไปเปิดประตูบ้านเพื่อที่จะเอารถออก
“จริง ๆ ฉันก็ไม่ได้อยากไปส่งนายหรอกนะ แต่พ่อสั่งไว้ฉันเลยต้องทำตาม” เมื่อผมขึ้นมานั่งบนรถไม่ถึงสองนาที เขาก็รีบพูดว่าไม่ได้อยากไปส่ง สงสัยกลัวผมคิดไปเองว่าพี่เขายอมญาติดีกับผมแล้ว ซึ่งไม่ใช่เลยตรงข้ามกัน ผมกลับแปลกใจการกระทำของพี่เขาด้วยซ้ำ คนอย่างพี่เขตจะเหรอจะยอมไปส่งกันง่าย ๆ
“ถ้าไม่อยากไปส่ง ผมนั่งวินไปก็ครับ เดี๋ยวจะบอกพ่อศักดิ์ให้ว่าพี่เขตไปส่ง” ผมตอบเขาอย่างไม่คิดอะไร จริง ๆ แอบยินดีด้วยซ้ำหากอีกฝ่ายจะยอมให้นั่งวินอย่างที่ตั้งใจไว้ เพราะแค่รถยังไม่ออกพ้นรั้วบ้าน ผมก็หายใจไม่ทั่วท้องแล้ว รู้สึกอึดอัดไปหมด ทว่าทันทีที่ผมบอกเช่นนั้น เขาก็รีบถลึงตาใส่ทันที
“นี่กวนประสาทเหรอ” เขาถามเสียงเข้ม
“เปล่านะครับ!”
“เถียง?”
“.....” ผมเลือกที่จะเงียบเป็นคำตอบ แต่ก็แอบส่ายหน้าปฏิเสธข้อกล่าวหา สมแล้วที่เขาไม่ชอบขี้หน้าผม แค่ผมอ้าปากเขาจะอธิบาย เขาก็เตรียมหาเรื่องทันที
เมื่อเห็นป้ายโรงเรียนผมก็เหมือนเห็นสวรรค์ จริง ๆ ก็ไม่ได้ชอบเรียนเท่าไร แต่พอได้อยู่กับพี่เขตบนรถเพียงลำพัง โรงเรียนกลายเป็นสวรรค์ในสายตาผมทันที
รถยังทันไม่จอดสนิทดี ผมก็รีบประตูรถเตรียมลงเลย พี่เขาบ่นใหญ่ว่ามันอันตราย แต่วินาทีนี้ผมไม่สนใจหรอก ฟังพี่เขตบ่นไม่ทันด้วย ผมรีบไหว้เขาเหมือนที่เคยไหว้พ่อศักดิ์ ก่อนจะรีบเดินจ้ำอ้าวเข้าโรงเรียนโดยไม่มีการหันมองหลังด้วยซ้ำ
“เฮ้อ....”
“เป็นอะไร มาถึงก็ถอนหายใจใหญ่เลย” ต้นหลิวเพื่อนผู้หญิงที่นั่งข้างผมพูด เธอกลั้วหัวเราะให้กับท่าทีของผม ขณะทำการบ้านที่ครูมอบมหายให้เมื่อวานไปด้วย
“หนักใจ เมื่อกี้เกือบไม่รอดแล้ว”
“อะไร? ครามโดนรถเฉี่ยวรถชนหน้าโรงเรียนเหรอ!” เธอพูดเสียงดัง รีบวางปากกาลงแล้วเข้ามาจับตัวเผม พลิกซ้ายพลิกขวาหาบาดแผลจากอุบัติเหตุทันที
“ไม่ใช่ ๆ”
“เราก็ตกใจหมด” เธอถอนหายใจอย่างโล่งอกแล้วถามผมต่อ “แล้วสรุปเป็นอะไร”
“หลิวจำเรื่องพี่เขตที่เราเคยเล่าให้ฟังได้ไหม”
“พี่เขตเหรอ....อืม เราจำได้”
“นั่นแหละพี่เขามาถึงเมื่อวานนี้ แล้ววันนี้ก็เป็นคนมาส่งเราด้วย”
“เอ๋...ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกนี่ พี่ชายมาส่งน้องชาย ใคร ๆ ก็ทำกัน”
“เรื่องแปลกสิ หลิวอย่าลืมว่าพี่เขาไม่ชอบขี้หน้าเรานะ” ผมเตือนสติเธอ
ต้นหลิวเป็นเพื่อนผู้หญิงที่ผมสนิทที่สุด เรามีอะไรก็มักจะเล่าให้กันฟังเสมอ เธอเป็นที่ปรึกษาที่ดี คุยด้วยแล้วสบายใจ จึงทำให้ผมไม่มีความลับกับเธอ หลายครั้งที่ผมเคยปรึกษาเรื่องพี่เขตกับต้นหลิว อยากรู้ว่าควรทำยังไงพี่เขาถึงจะเลิกเกลียดขี้หน้าผมและต้องหาวิธีรับมือกับพี่เขาด้วย
“ถึงเขาจะบอกว่าพ่อสั่งให้มาส่งก็เถอะ แต่เมื่อกี้เราโคตรอึดอัดเลย เพิ่งมารู้สึกว่าบ้านไกลจากโรงเรียนมากแค่ไหนก็วันนี้แหละ” ผมว่า กว่าจะมาถึงโรงเรียนแทบกัดลิ้นตาย ไหนจะระยะทาง ไหนจะรถติดอีก ไฟแดงยาว ๆ ไฟเขียวนิดเดียว บรรยากาศในรถอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก ผมแทบไม่กล้าหายใจแรงด้วยซ้ำ ยังดีที่รอดมาได้
“แล้วมีทางที่ความสัมพันธ์จะดีขึ้นไหม ครามเคยปรึกษาเราเรื่องนี้นี่”
“เราพยายามแล้ว แต่พี่เขากลับมาคราวนี้ดูท่าจะยาก” ผมว่าอย่างหนักใจ ไม่ใช่ว่าไม่อยากให้ความสัมพันธ์พี่น้องต่างสายเลือดไม่ดีขึ้นนะ แต่วิธีที่เคยคิดไว้ว่าตอนพี่เขากลับมาจะให้มัน คงไม่ได้ผล
เมื่อตอนก่อนที่พี่เขตจะไปเรียนต่อเขาก็ร้าย ชอบพูดจาจิกกัดอยู่เรื่อย ไม่ยอมให้เล่นด้วย เด็กแถวบ้านก็อยู่ฝั่งเขาหมด พอห้าปีผ่านมาคิดว่าอะไร ๆ จะดีขึ้น เราน่าจะคุยกันได้ เขาร้ายยิ่งกว่าเดิมอีก มิหนำซ้ำยังเดาทางไม่ถูกด้วย ตอกย้ำว่าเขาคงเกลียดผมจริง ๆ เขาชอบทำหน้านิ่ง ๆ ทำให้ผมเดาอารมณ์ไม่ถูก กลายเป็นว่าพี่เขตห้าปีก่อนกลายเป็นเบบี้ไปเลย เมื่อเทียบกับตอนนี้
“งั้นต่างคนต่างอยู่เป็นไงล่ะ” ต้นหลิวเสนอ
“.....”
“จริง ๆ ความสัมพันธ์เรื่องพี่น้อง นอนบ้านเดียวกันมันเป็นเรื่องละเอียดอ่อนมากนะ แต่ถ้าไหน ๆ ไม่ถูกกันแล้ว ก็ต่างคนต่างอยู่ไปเลย เวลาพี่เขาหาเรื่องครามก็ไม่ต้องไปสนใจ ทำเหมือนพี่เขาเป็นลม เป้นอากาศ พอเขาเหนื่อยเดี๋ยวพี่เขตก็คงเลิกเองแหละ...มั้ง” ต้นหลิวว่าพร้อมกับส่งยิ้มแหะ ๆ ให้ ผมอยากจะบอกเธอเหลือเกินว่ากำลังพยายามใช้วิธีนั้นอยู่ แต่พี่เขากลับไม่ยอมต่างคนต่างอยู่นี่สิ
เพราะไม่รู้ว่าตอนเลิกเรียนพ่อศักดิ์จะมารับหรือจะเป็นพี่เขา แต่ที่แน่ ๆ มันทำให้ผมลุ้นระทึกอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน บางทีพ่อศักดิ์อาจอยากให้ความสัมพันธ์พี่น้องของเราดีขึ้นก็ได้ ถึงได้ทำแบบนี้
พอถึงเวลาเลิกเรียนผมก็เดินไปรอข้างหน้าตามปกติ ยังไม่ทันได้เตรียมใจหรือหลักอะไรทั้งนั้น ผมก็เห็นพี่เขตที่อยู่ในชุดเข้าบริษัทเมื่อช่วงเช้า ถอดเนคไท ปลดกระดุมสองเม็ดบนออกแล้ว กำลังยืนพิงรถบีเอ็มของเจ้าตัวเหมือนพระเอกหนังทำเอาหลาย ๆ คนจับจ้องและเหมือนพี่เขาจะไม่รู้ตัวว่าตัวเองกำลังเป็นจุดสนใจ
“ฉ—ฉิบหายแล้ว” ผมละล่ำละลัก มองอีกฝ่ายราวกับยมทูตเดินดิน สองเท้าของผมก้าวถอยหลังอัตโนมัติ สมองสั่งการให้ออกประตูหลังเอา ค่อยไปเจอพี่เขาที่บ้านก็ได้ ช่วงตอนเลิกเรียนรถติดหนักยิ่งกว่าตอนเช้าอีก คราวนี้ผมต้องตายแน่ ๆ หากต้องติดอยู่กับพี่เขาในรถเกือบชั่วโมง! ผมมองเขาครู่หนึ่ง คิดว่าพี่เขาเองก็คงไม่เห็นผม จึงหันหลังเตรียมจะวิ่งหนี
“คราม!” เสียงพี่เขาตะโกนไล่หลังมา ภาพเหตุการณ์เหมือนตอนช่วงเช้าไม่มีผิดเพี้ยน ผมค่อย ๆ หันหลังกลับไปมองพี่เขาอย่างภาพสโลว์ ก่อนจะสุดุ้งเมื่อพี่เขาทำหน้ายักษ์ใส่อีกแล้ว
“....!!”
สุดท้ายผมก็ไม่มีทางเลือก ยอมหันกลับไปแล้วเดินไปหาพี่เขา พยายามทำหน้าดีใจที่พี่เขาอุตส่าห์มารับ แม้ในใจจะโอดครวญอยู่ก็ตาม
“ฉันมั่นใจว่าเมื่อกี้นายเห็นฉัน เพราะเราสบตากัน” เมื่อเดินมาถึงรถ เขาก็เริ่มซักไซ้ผมทันที
“เอ๋....เปล่านะครับ” ผมทำหน้าไขสื่อ “ผมไม่เห็นพี่เขตจริง ๆ” ผมว่าพยายามทำหน้าโง่ ๆ เพื่อให้คำตอบตัวเองดูสมเหตุสมผม แต่ผมก็ลืมไปว่าพี่เขตฉลาด
“โกหก” เขาสวนกลับมาทันควัน
“.....”
“รู้อะไรไหมทำไมฉันถึงจับได้ว่านายโกหก....” เขาว่าพร้อมกับโน้มหน้าเข้ามาใกล้ ทำเอาผมผงะไปครู่หนึ่ง เพราะพี่เขายื่นหน้าเข้ามาใกล้มาก ๆ จนแทบจะหอมแก้มผมด้วยซ้ำ “เพราะหูแดง ๆ ของนายไงล่ะ” พูดจบเขาก็บิดหูผมเพื่อเป็นการลงโทษ
“โอ้ย! พี่เขต” สุดท้ายผมก็พูดได้เท่านั้นแล้วก็กุมหูตัวเองอย่างอารมณ์เสีย
กว่าเราจะฝ่ารถติด ไฟแดงกลับมาถึงบ้านโดยไม่มีใครกัดลิ้นตายก่อน ก็เกือบหนึ่งทุ่ม แม่ตองดูเหมือนดีใจมากที่เห็นเราทั้งคู่กลับมาอย่างปลอดภัย
“แม่เตรียมอาหารค่ำเพิ่งเสร็จเลย รีบวางกระเป๋ามากินข้าวกันเร็ว” แม่ตองพูดกับผม
วันนี้จะเป็นการร่วมทานข้าวแบบพร้อมหน้าพร้อมตาของเรามื้อแรก ผมอยู่จัดให้นั่งข้างพ่อศักดิ์ฝั่งตรงข้ามผมก็คือพี่เขต แม่ตองพยายามสร้างบรรยากาศบนโต๊ะอาหารไม่ให้รู้สึกอึดอัดมากเกินไป ไม่ว่าจะเป็นการชวนพี่เขตคุยเรื่องงานหรือชวนผมคุยเรื่องเรียน
“ดูสิ เพิ่งกลับมาถึงบ้านครามดูเพลียมากเลยนะ เหนื่อยใช่ไหมลูก” แม่ตองพูด
“ก็นิดนึงครับ วันนี้รถติดมากเลย”
“อืม ไหน ๆ ก็ไหน ๆ แล้วไปอยู่คอนโดไหมล่ะ จริง ๆ บ้านเราก็ไกลจากโรงเรียนครามอยู่พอสมควรเลย” พ่อศักดิ์เสนอความคิด
“ก็แค่โรงเรียนไกลจากบ้านนิดเดียวเอง ทำไมไม่ต้องให้ไปอยู่คอนโดด้วย แค่นี้ยังไม่ไหวจะไปทำอะไรกิน” ไม่ทันที่ผมจะได้เอ่ยปฏิเสธความหวังดีจากผู้ใหญ่ พี่เขตก็คัดค้านขึ้นมาแล้ว
“เขตดูพูดจาเข้า”
“เอ่อ...ไม่เป็นไรหรอกครับ แค่นี้ไม่เหนื่อยอะไร”
“ทำตัวเป็นคนดี แหวะ”
“เอ๊ะ...เขต! จะเอายังไงกันแน่” คราวนี้แม่ตองเรียกชื่อพี่เขตหนที่สอง มองลูกชายด้วยสายตาตำหนิพร้อมกับบิดสีข้างเบา ๆ พอให้เจ้าลูกชายตัวดีร้องโอดครวญ
“โอ้ย! แม่เขตเจ็บ”
“กลับมาคราวนี้ปากคอเราะร้ายกว่าที่คิดนะเรา ไปฝึกมาจากไหน”
“ฝึกมาจากไหนไม่รู้ แต่ผมเอาไว้ใช้กับคนที่ไม่ชอบที่หน้าอย่างเช่นเจ้าเด็กนี่ไง” ดูเหมือนพี่เขตยังไม่เข็ด คราวนี้แม่ตองลงทุนบิดหูเจ้าลูกชายตัวนี้ ข้อหาปากคอเราะร้ายและยังทำตัวไม่น่ารักอีก
“โอ้ยยย แม่พอแล้ว เขตเจ็บนะ” พี่เขตถึงกับหน้าแดง เมื่อแม่ตองไม่ปรานีอีกต่อไป เธอบิดหูเจ้าลูกชายตัวดีอย่างไม่ออมแรง จนผมรู้สึกเจ็บตายแต่ก็อดหลุดขำกับท่าทางตลก ๆ นั้นไม่ได้
“...หัวเราะไรไอ้เตี้ย เดี๋ยวโดน” พี่เขตตวัดสายตามามองผมด้วยท่าทีดุ ๆ อีกแล้ว ก่อนจะทำหน้าเหยเกเมื่อแม่ตองเปลี่ยนเป็นดึงหูทั้งสองข้างของพี่เขาแทน
“ไม่ต้องไปว่าน้องเลย ไปเรียนเมืองนอกแล้วนิสัยไม่ดีแบบนี้ มันใช้ได้ที่ไหนกัน”
“แม่ พอเถอะ เขตเจ็บแล้ววววว”
เราต่างแยกย้ายกันขึ้นห้อง พี่เขตขึ้นก่อน ส่วนผมก็เก็บโต๊ะช่วยแม่พร้อมกับล้างจานด้วย เราอยู่กันเพียงลำพัง ส่วนพ่อศักดิ์ก็ออกไปคุยโทรศัพท์เกี่ยวกับธุระด้านนอก
“อย่าไปถือสาพี่เขตเขานะลูก เขาพูดอะไรก็ไม่ต้องไปสนใจ” แม่ตองที่กำลังเช็ดโต๊ะอยู่กับผมเพียงลำพัง พูดขึ้นมาด้วยท่าทีกังวล กลัวผมจะเก็บเอาคำพูดจาร้าย ๆ ของพี่เขตไปคิด
“ครับ....จริง ๆ ผมก็ไม่ได้ถือสาอะไรพี่เขาหรอกครับ แม่ตองไม่ต้องคิดมาก”
“เฮ้อ...แบบนั้นก็ดีแล้วนะ ไม่รู้ว่าพี่เขตทำไมเขาพูดจาร้าย ๆ ขนาดนั้น ขอโทษแทนด้วยนะลูก”
“ไม่เห็นต้องขอโทษเลยครับ ผมไม่เป็นไรสักหน่อย” ผมว่าพร้อมกับส่งยิ้มแฉ่งให้แม่ตอง เชิงบอกว่าไม่ได้คิดอะไรกับคำพูดพี่เขาจริง ๆ
หลังจากเก็บโต๊ะทำความสะอาดด้านล่างเสร็จ ผมก็ขึ้นมาบนห้องเตรียมทำการบ้านอย่างเช่นทุกที ปกติผมเองก็เป็นอีกคนที่ไม่ค่อยชอบทำการบ้าน บางครั้งก็แอบขี้เกียจ ชอบไปทำพรุ่งนี้ตอนเช้าเอา แต่ช่วงนี้ผมจะทำเช่นนั้นไม่ได้ เพราะการบ้านส่วนใหญ่มักนัดส่งรอบเช้า ซึ่งมีความเสี่ยงว่าอาจทำส่งไม่ทัน
หลังจากทำการบ้านเสร็จผมก็นั่งเกมในโทรศัพท์ต่อ เช็กนั่นนี่ ดูไปเรื่อยเปื่อย จนรู้สึกเบื่อและง่วงแล้วถึงลุกไปอาบน้ำจะได้เตรียมตัวเข้านอนเสียที
กิจวัตรประจำวันช่วงไปโรงเรียนของผมมีแค่เท่านี้จริง ๆ ขนาดวันนี้ไม่มีเรียนกวดวิชาเพิ่มเติม ผมยังเหนื่อยเลย อาจเพราะต้องรบกับพี่เขตตั้งแต่เช้าด้วยมั้ง กังวลเกี่ยวกับพี่เขาตั้งแต่ตอนตื่นเลย
ไม่รู้ว่าพรุ่งนี้จะเป็นยังไง มันจะดีขึ้นไหมหรือทุกอย่างจะแย่ลงกว่าเดิม แต่ผมไม่อยากทะเลาะกับพี่เขาตอนวันที่มีเรียนกวดวิชา เพราะวันไหนที่ต้องไปเรียนกวดวิชา กลับบ้านมาสองสามทุ่ม พอถึงห้องผมแทบจะสลบบนเตียงโดยไม่จำเป็นต้องอาบน้ำด้วยซ้ำ
หลังจากอาบน้ำเสร็จผมก็กระโจนขึ้นเตียงทันที แอบกังวลเล็กน้อยก็ว่าพี่เขตจะมาโผล่ในห้องหนที่สอง เหมือนเมื่อวาน แต่วันนี้พี่เขาไม่ได้มาบุกอย่างที่ผมหวั่น ซึ่งนั่นมันก็ดีแล้ว คนไม่ชอบหน้ากันจะมาหาเรื่องกันบ่อย ๆ ก็คงไม่ใช่เรื่อง เมื่อหัวสัมผัสหมอน ผมรู้สึกว่าตัวเองเหมือนจะหลับในที่ทันที วันนี้มันเหนื่อยมากจริง ๆ
แต่ในขณะที่ผมกำลังสะลึมสะลือกึ่งหลับกึ่งตื่นอยู่นั้น ผมก็รู้สึกว่า....เหมือนตัวเองกำลังถูกกอดจากด้านหลัง