“ขอบคุณมากเลยนะเพลง แทนที่พี่จะได้มาดูห้องเฉย ๆ กลายเป็นต้องมาใช้ทิชชูเราเป็นกล่อง ๆ แถมยังต้องให้กอดปลอบอีก” ซานิสูดน้ำมูกเบา ๆ ใบหน้าหวานระคนหล่ออย่างหนุ่มน้อยเมื่อไม่มีเครื่องสำอางเคลือบบนใบหน้านั้นยับยู่เพราะเพิ่งผ่านการร้องไห้มาอย่างหนักทันทีที่ถึงห้องของเพลงขวัญ
“โถ...พี่ซานิคนเก่ง นี่ต้องอดกลั้นขนาดไหนคะ ถึงไม่ร้องไห้บนรถได้เนี่ย เพลงดีใจนะคะที่ได้อยู่กอดปลอบพี่ในเวลาที่พี่รู้สึกดาวน์ขนาดนี้” เพลงขวัญยื่นกระดาษทิชชูให้ผู้จัดการของตนได้ซับหน้าเพิ่ม
“พี่รบกวนเวลาพักผ่อนของเราแย่เลย งั้นเดี๋ยวพี่รีบกลับก่อนดีกว่า วันพรุ่งนี้เรามีงานใหญ่ เปิดตัวน้ำหอมแบรนด์ลิลแคท น้องเพลงต้องพักผ่อนเยอะ ๆ นะคะ ตื่นเช้ามาจะได้สวยปิ๊ง ลูกค้าส่งคอสตูมมาให้พี่ดูในแชตแล้ว เป็นเสื้อเปิดไหล่ที่แบบสวยตะโกนมาก น้องเพลงต้องเลิศที่สุดในงานแน่นอน” ซานิเปิดโทรศัพท์ของตัวเองเพื่อโชว์รูปเสื้อผ้าที่เพลงขวัญต้องสวมในวันพรุ่งนี้ให้ดู
เมื่อความเศร้าผ่านไปแล้ว ซานิสุดแกร่งก็พร้อมจะลุยงานเสมอ
“เปิดไหล่เหรอคะ...” เพลงขวัญกลืนน้ำลายอึกใหญ่พลางนึกถึงข้อสัญญาที่ตนเซ็นไปเมื่อช่วงกลางวัน ถ้าขืนขัดคำสั่งละก็…
“มีอะไรหรือเปล่าน้องเพลง หรือว่าได้แผลอะไรที่พี่ไม่รู้เลยใส่เปิดไหล่ไม่ได้ ให้พี่บอกผู้จัดให้เอาไหม เจ้าของแบรนด์นี้คุยได้นะ บอกพี่มาเลย” ซานิถามพร้อมกับจะตรงเข้ามาดูร่องรอยใต้ร่มผ้าให้
เพลงขวัญถอยกรูด ไม่ใช่ว่ากลัวสัมผัสจากผู้จัดการหน้าหวาน แต่เธอกลัวความลับที่มีสัมพันธ์เร่าร้อนกับประธานบริษัทธาราพิพัฒน์กรุ๊ปจะถูกเปิดเผย เพราะตอนนี้คอนซีลเลอร์ที่ทาปกปิดไว้คงหลุดออกหมดแล้ว
“เอ่อ..ไม่ได้เป็นรอยแผลอะไรมากหรอกค่ะ แต่เพลงแค่ไม่อยากสวมชุดเปิดไหล่เท่าไร ช่วงนี้เพลงรู้สึกว่าไหล่ตัวเองมันใหญ่ขึ้น ดูเทอะทะ ไม่สวยค่ะ ถ้าหาเสื้อหรืออะไรมาคลุมไหล่ให้เพลงได้ คงจะดีมาก ๆ เลยค่ะ นะคะ พี่ซานิขา...” ดาราสาวเจ้าบทบาทปล่อยลูกอ้อนใส่ซานิอย่างเต็มระบบเพื่อเป็นการเบี่ยงเบนความสนใจ
“ย่ะ อ้อนพี่เก่งจริง ๆ เลยนะเรา งั้นเดี๋ยวพี่บอกทางฝ่ายคอสตูมให้หาเสื้อคลุมไหล่แบบที่แมตช์กับลุคให้ ท่อนล่างที่เป็นกางเกงขายาวเพลงโอเคเนอะ พี่จะได้คอนเฟิร์มไปตอนนี้เลย” ซานิรัวนิ้วพิมพ์สิ่งที่ต้องการแก้ไขในเรื่องคอสตูมเอาไว้ระหว่างที่พูดไปด้วย
“โอเคแล้วค่ะพี่ซานิ ขอบคุณที่เป็นธุระเรื่องคอสตูมให้เพลงนะคะ” เพลงขวัญมอบรางวัลให้คุณผู้จัดการด้วยรอยยิ้มสดใส ซานิกดส่งข้อความเสร็จก็เก็บโทรศัพท์ลงกระเป๋าพร้อมกับหยิบกุญแจรถออกมา
“งั้นถ้าไม่มีอะไรแล้วพี่ขอตัวกลับบ้านก่อนนะจ๊ะ แล้วพรุ่งนี้จะให้พี่มารับที่นี่ใช่ไหม หรือว่ายังไง”
“พี่ซานิมารับที่นี่ได้เลยค่ะ เพลงจะลงไปรอที่ล็อบบี ขับรถกลับบ้านปลอดภัยนะคะ” เพลงขวัญยกมือไหว้ลาอย่างคนมีมารยาท หลังจากส่งผู้จัดการของตนลงลิฟต์ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว หญิงสาวก็ดึงประตูห้องให้ปิดลงกลอนด้วยระบบอัตโนมัติ แล้วเดินไปตรวจสอบดูข้าวของในห้องว่าคนของเมฆาขนย้ายมาครบถ้วนสมบูรณ์ดีหรือเปล่า
บนกล่องกระดาษสีน้ำตาลมีแผ่นกระดาษสีจืดจางแปะไว้ เขียนทับด้วยปากกาเคมี ลายมือเป็นระเบียบอ่านได้ง่ายดายว่า “พี่พัชร์ น้องเพลง” มือบางของเพลงขวัญเปิดความทรงจำในอดีตออกแม้หลายครั้งจะอยากหลงลืมมากเท่าไรก็ตาม
ครอบครัวปกรณ์ธาดาคือชนชั้นกลางค่อนไปทางสูง พ่อและแม่ของเพลงขวัญประกอบอาชีพข้าราชการในตำแหน่งที่มั่นคงมากพอจะเลี้ยงสองพี่น้องให้ได้รับการศึกษาและคุณภาพชีวิตที่ดี
พ่อรักพลพัชร์มากกว่าสิ่งใดในโลกใบนี้ เหมือนที่แม่รักเพลงขวัญมากกว่าชีวิตของตัวเอง ไม่ว่าสองพี่น้องจะต้องการอะไร พ่อแม่ก็จะหามาให้ทุกอย่าง โดยไม่ได้คำนึงเลยว่านั่นอาจเป็นการเลี้ยงลูกในแบบที่ผิด
‘ป๊า พัชร์อยากได้โทรศัพท์เครื่องใหม่ เพื่อนที่โรงเรียนเขาถืออวดกัน แม่งโคตรน่าหมั่นไส้’ เสียงของพลพัชร์ในวัยมัธยมปลายพูดอย่างก้าวร้าว เพลงขวัญที่ไม่ค่อยชอบคนพูดคำหยาบตามประสานักเรียนดีเด่นในโรงเรียนหญิงล้วนจึงหันไปเอ็ดพี่ชายเบา ๆ
‘พี่พัชร์ อย่าพูดไม่เพราะต่อหน้าป๊าม้าสิคะ’
‘เพลง แกยังเด็ก ไม่ต้องยุ่ง’ เด็กหนุ่มพูดรบเร้าผู้เป็นพ่อต่อ ‘ป๊าต้องซื้อโทรศัพท์เครื่องใหม่ให้พัชร์นะ ไม่งั้นพัชร์ไม่ไปโรงเรียนจริง ๆ ด้วย’
เพลงขวัญจำได้ว่าเรื่องในวันนั้นจบลงอย่างเรียบง่าย พ่อเพียงแค่ดุและปรามให้พลพัชร์เลิกเป็นเด็กเอาแต่ใจเพราะโตแล้ว วันรุ่งขึ้นพี่ชายของเธอก็ได้โทรศัพท์เครื่องใหม่ไปอวดเพื่อนที่โรงเรียนสมใจอยาก
เด็กหญิงทำได้เพียงแค่มองพี่ชายอวดโอ่โดยไม่มีความอยากได้บ้างเลยแม้แต่น้อย ถึงผู้เป็นแม่จะถามย้ำอยู่หลายหนว่าอยากได้เหมือนพี่ชายบ้างหรือเปล่า แต่เพลงขวัญก็ปฏิเสธเสมอ เพราะคิดว่าเครื่องที่ได้มาเมื่อปีก่อนยังใช้การได้ดีอยู่
‘เพลงจำคำม้าไว้นะ เรามีกันอยู่สี่คน ป๊าม้า พี่พัชร์ แล้วก็น้องเพลงลูกม้า ถ้าหากว่าในอนาคตป๊ากับม้าไม่อยู่แล้ว เพลงต้องรักพี่พัชร์ เชื่อฟังพี่พัชร์เขานะ ดีร้ายเขาก็เป็นพี่เรา เข้าใจหรือเปล่าลูก’
ในตอนนั้นเพลงขวัญจำได้ว่าตนเองเคืองผู้เป็นแม่อย่างมากที่พูดจาเป็นลาง และไม่คาดคิดเลยว่าสามเดือนให้หลังเรื่องน่าเศร้าจะเกิดขึ้นกับครอบครัวของเธอ ระหว่างที่พ่อพาแม่ออกไปซื้อชุดนักศึกษาสำหรับพลพัชร์ มีรถสิบล้อเบรกแตกพุ่งมาชนรถเก๋งคันโปรดของพ่อจนยับเยินไม่เหลือชิ้นดี
คนที่เพลงขวัญรักสุดหัวใจจากไปโดยไม่มีคำร่ำลา เรียกว่าเป็นความโชคดีในความโชคร้าย ที่พ่อและแม่แยกกันทำประกันชีวิต เงินของพ่อมอบให้พี่พลพัชร์เพียงผู้เดียว เช่นเดียวกันกับส่วนของแม่ที่มอบให้เพลงขวัญแค่เพียงคนเดียว
เพลงขวัญจัดสรรเงินใช้จ่ายจนเรียบจบชั้นมัธยมปลายและเรียนต่อในมหาวิทยาลัยในคณะนิเทศศาสตร์ ตามความชื่นชอบ รวมถึงความสามารถในการแสดงที่ฉายแววจากในรั้วโรงเรียนหญิงล้วน
‘เพลง เงินส่วนของม้าหมดยัง เอามาให้พี่ยืมหน่อย พี่ไม่มีตังค์ลงทะเบียนเรียนแล้ว อย่าใจดำนักเลย ได้ข่าวว่าเป็นเน็ตไอดอล รีวิวสินค้านี่ คงได้เงินเป็นหมื่นเป็นแสน เอามาให้พี่ยืมใช้หน่อย’
เด็กสาวไม่ยอมให้พี่ชายได้ใช้เงินในส่วนที่ตนเองเก็บไว้เรียนตามอำเภอใจ เพลงขวัญรู้มาจากเพื่อนของพี่ชายหลายคนที่พูดเป็นเสียงเดียวกันว่าพลพัชร์ติดการพนันอย่างหนัก โดยเริ่มต้นจากการเล่นขำ ๆ สนุก ๆ ในวงเพื่อนและรุ่นพี่
แต่คนใจร้อน มุทะลุอย่างพลพัชร์ไม่ได้หยุดเพียงแค่นั้น เขาตามรุ่นพี่เกเรไปที่บ่อน ตั้งแต่บ่อนเล็ก ๆ ที่ยอดเล่นหลักร้อยหลักพัน จนถึงตอนนี้ที่มันเกินขีดจำกัดไปถึงหลักแสนหลักล้าน
พลพัชร์ยืมเงินเพื่อนในคณะแล้วไม่คืน อาการติดพนันนั้นหนักถึงขั้นที่ไล่ยืมเงินรุ่นพี่รุ่นน้อง ลามไปถึงอาจารย์ประจำภาควิชา
‘พี่อย่ามาโกหกเพลงเลย จนเพลงจะเรียนจบอยู่แล้ว ทำไมพี่ถึงยังเรียนไม่จบอีก พี่พัชร์ไม่ได้เอาเงินไปลงทะเบียนเรียนแน่ ๆ เพราะพี่น่ะโดนไทร์ออกตั้งนานแล้วไม่ใช่หรือไง’
‘ไม่ต้องพูดมาก เอาเงินมาให้พี่ อย่าลืมที่ป๊ากับม้าเคยบอกไว้สิ เราเหลือกันแค่สองคนพี่น้อง แกอย่ามาทิ้งฉันแบบนี้ เอาเงินมาได้แล้ว’
เพลงขวัญจดจำคำที่พ่อกับแม่ย้ำเตือนอยู่เสมอ ว่าเราเหลือกันสองคนพี่น้อง ห้ามทิ้งกันเป็นอันขาด นั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้เธอจำใจต้องให้เงินในส่วนที่ตนเองรับจ้างรีวิวเป็นทุนรอนให้พี่ชายได้ประคองชีวิตตัวเองต่อไป
อาการติดพนันของพลพัชร์หนักข้อขึ้นเรื่อย ๆ จนกระทั่ง….
Rrr…Rrr…
การสั่นอย่างแรงของโทรศัพท์มือถือที่วางนิ่งอยู่บนโต๊ะในห้องรับแขก เรียกให้เพลงขวัญตื่นจากภวังค์ในอดีตกลับสู่สิ่งที่ต้องเผชิญในปัจจุบัน หญิงสาวรีบเก็บอัลบั้มรูปของตนและพี่ชายลงในลังกระดาษอย่างรวดเร็ว แล้วรีบลุกไปหยิบโทรศัพท์มากดรับสายทันที
“ฮัลโหลค่ะ...”
(ขอโทษนะครับที่ผมต้องโทร.มาโดยไม่ได้ถามคุณก่อนว่าสะดวกรับสายหรือเปล่า แต่เจ้านายสั่งให้คุณไปหาที่ชั้น 88 ในเวลานี้ เดี๋ยวนี้ครับ ผมส่งข้อความไปเยอะมากแต่ไม่เห็นคุณอ่านสักที เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือเปล่าครับ)
“ไม่มีอะไรค่ะคุณเอริค...ฉันจะรีบขึ้นไปหาคุณเมฆเดี๋ยวนี้เลยค่ะ” เพลงขวัญวางสายบอดีการ์ดของผู้ที่มีอำนาจเหนือตน แล้วรีบไปเปิดตู้เสื้อผ้า หยิบเอาชุดลำลองตัวที่สวมใส่ได้ไวที่สุดอย่างเสื้อยืดและกางเกงขายาวออกมาเพื่อเปลี่ยนให้เรียบร้อย เพราะเดรสที่สวมใส่มาทั้งวันคงมีกลิ่นไม่พึงประสงค์ที่อาจทำให้คนที่กำลังรออยู่ไม่พอใจเอาได้