ใต้ร่มไม้สูงใหญ่ ไป๋ซืออวี่กำลังนั่งยองๆ อยู่หน้ากระท่อมไม้ ใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มอ่อนโยน ดวงตาที่หม่นเศร้านั้นเจือแววอบอุ่นออกมาเมื่อมองกระต่ายน้อยเสี่ยวไป๋ ขณะยื่นใบผักสดให้สัตว์เลี้ยงที่วิ่งมาใกล้ด้วยความคุ้นเคย
“กินเยอะๆ นะ เจ้าอาจตัวเล็ก แต่กินเก่งใช่ย่อย” เสียงพูดของนางนุ่มนวล กระต่ายตัวนั้นขยับจมูกฟุดฟิด ก่อนจะค่อยๆ เคลื่อนตัวเข้าหา
สวี่จื่อเฟิงยืนเงียบๆ ไม่ไกลนัก มองภาพตรงหน้าอย่างไม่เข้าใจ ว่าเหตุใดนางจึงอ่อนโยนกับสัตว์นัก ทั้งที่มันไม่ได้มีประโยชน์อะไร อีกอย่างกระต่ายตัวนั้นจริงมันควรเป็นอาหารของเขาและนางตั้งแต่หลายวันที่แล้ว
เขานั่งพิงต้นไม้เงียบๆ มือถือมีดเล่มเล็กไว้ในมือ กำลังเหลาไม้ไผ่เพื่อจะทำเป็นตอกแล้วใช้สานตะกร้าเอาไว้ให้นางใช้งาน แต่สายตากลับไม่อาจละไปจากรอยยิ้มของหญิงสาวเบื้องหน้า
ทันใดนั้นเอง
“โอ๊ย!” เสียงร้องเบาๆ ดังขึ้น ไป๋ซืออวี่ขมวดคิ้ว ก้มมองมือของตนเอง พบว่าถูกกระต่ายกัดเข้าให้จนเลือดซิบ
“เสี่ยวไป๋ ซนจริงนะ!” นางตำหนิเบาๆ แต่เสียงก็ยังคงอ่อนโยน ดวงตาเจ็บปวดไม่ใช่เพราะแผล แต่เพราะน้อยใจนิดๆ ว่าเจ้าตัวเล็กดื้อเกินไป
เพียงครู่เดียว จื่อเฟิงก็โผล่มายืนข้างนาง ใบหน้าเย็นชาและดวงตาวาววับ มือใหญ่คว้าตัวกระต่ายขาวขึ้นอย่างรวดเร็วโดยไม่พูดสักคำ
“จื่อเฟิง เจ้า!” เสียงนางขาดห้วงในลำคอ
ยังไม่ทันที่นางจะห้ามปราม กระต่ายตัวนั้นก็ถูกมือหนาบีบแน่นจนดิ้นพล่าน
“ปล่อยมันนะ” นางตะคอกด้วยเสียงที่ทำให้เขาต้องคลายมือออก ก่อนที่ร่างเล็กๆ นั้นจะถูกเขาทำให้บาดเจ็บไปมากกว่านี้
นางตาเบิกโพลง ทั้งตกใจและสับสน น้ำเสียงสั่นเครือ “เจ้าทำร้ายมันทำไม มันแค่ตกใจ”
เขานิ่งเงียบ ใบหน้านิ่งเหมือนไม่รู้สึกอะไร
“มันกัดเจ้า” เสียงเรียบเย็นเหมือนทุกครั้งที่เขาฆ่าใครสักคนในความมืด
แต่นั่นไม่ใช่ศัตรู นั่นคือสิ่งมีชีวิตเล็กๆ ที่นางเลี้ยงดูด้วยความรัก
“ข้า… ข้าเกลียดเจ้า” นางถอยหลังช้าๆ ดวงตาเอ่อคลอด้วยน้ำตา คำพูดนั้นคล้ายคมมีดบาดหัวใจชายหนุ่ม
เขายืนเงียบอยู่นาน ดวงตาไหววูบเล็กน้อย ก่อนจะเบือนหน้าหนีไปอีกทาง มือที่บีบคอกระต่ายตัวน้อยค่อยๆ อุ้มมันเอาไว้แนบอก
ไป๋ซืออวี่สะอื้นไห้ ทั้งห่วงกระต่ายเพื่อนตัวเดียวที่มีในยามนี้ และกลัวสวี่จื่อเฟิงจับใจ
เขาไม่พูดอะไร ยื่นกระต่ายที่ตัวสั่นเทาให้นางอุ้ม หญิงสาวรับเสี่ยวไป๋มากอดเอาไว้ มันซุกหน้าในอกของนางเพื่อหาความปลอดภัย
“ข้าไม่เคยรู้สึกผิดเมื่อได้ลงมือ จนกระทั่งเห็นน้ำตาของเจ้า” เสียงของเขาสั่น เงียบงันจนเหมือนคำสารภาพที่ไม่มีใครในโลกเคยได้ยิน
“เจ้าเคยกลัวไหม เวลาถูกทำโทษจนตัวสั่น ทุกคืนต้องนอนฟังเสียงแส้ เสียงกรีดร้องในหัวข้าไม่เคยเงียบเลย” นักฆ่าเลือดเย็นในสายตาของนาง บัดนี้กำลังกล่าวอดีตของตนที่ฝังใจออกมา
ไป๋ซืออวี่เงียบไป หัวใจไหววูบ แม้ยังกลัวเขา แต่คำพูดนั้นฟังดูเศร้าอย่างน่าประหลาด
“ข้าไม่รู้จักคำว่า ‘เมตตา’ จนกระทั่งเจอเจ้า แต่ดูสิ ข้ากลับทำให้เจ้ากลัวอีกแล้ว ทั้งๆ ที่หลายวันมานี้ ทุกอย่างกำลังดีแล้วแท้ๆ” เขายิ้มออกมาเบาๆ ยิ้มแบบที่ไม่มีความสุขแม้แต่น้อย
“เจ้า...” เสียงของนางสั่นเล็กน้อย นางสูดลมหายใจลึก แล้วเอ่ยคำหนึ่งเบาๆ
“เจ้าต่างหากที่ถูกทำร้ายมาตลอด” นางกล่าวด้วยเสียงที่อ่อนโยนขึ้น ทว่าก็ยังโกรธเขาอยู่
สวี่จื่อเฟิงเงยหน้าขึ้นช้าๆ สบตานางด้วยดวงตาเบิกกว้าง... นางกำลังปลอบใจเขาเช่นนั้นหรือ
“ข้าไม่ให้อภัยเจ้าง่ายๆ หรอก แต่ข้ารู้ว่าเจ้าเจ็บปวด”
เขาเม้มปากแน่น ก่อนค่อยๆ เคลื่อนตัวเข้าใกล้นางเพียงเล็กน้อย แล้วยื่นมือออกไป หยุดค้างไว้กลางอากาศ ไม่กล้าสัมผัส ขณะที่นางถอยออกไปอีกหนึ่งก้าวด้วยตัวสั่นเทา
“ข้าจะไม่ฆ่าอีก ถ้ามันทำให้เจ้าร้องไห้”
นางมองมือของเขา และน้ำตาหยดหนึ่งก็ร่วงลงเงียบๆ
************************
ยามค่ำคืน เสียงจิ้งหรีดเรไรแผ่วเบาในราตรี ท่ามกลางความเงียบสงัดของป่าลึก เสียงฟ้าคำรามเตือนว่าคืนนี้ฝนจะตก คืนนี้สวี่จื่อเฟิงจึงได้รับอนุญาตให้เขามาหลบฝนในกระท่อม
ไป๋ซืออวี่นั่งนิ่งอยู่มุมหนึ่งของกระท่อมไม้ ผ้าห่มคลุมตัวนั่งมองเขา ใบหน้าเรียวซูบซีด แม้ร่างกายจะอุ่นจากผ้าห่ม แต่หัวใจของนางกลับหนาวเหน็บ
มุมหนึ่งของกระท่อม สวี่จื่อเฟิงกำลังนั่งฝนมีดสั้นของเขา ไฟสาดส่องครึ่งใบหน้า เงาดำทาบราวปีศาจในเงามืด แม้เขาจะไม่พูด ไม่ขยับ เพียงนั่งนิ่งอย่างสงบ แต่ในสายตาของนาง เขากลับน่ากลัวยิ่งกว่าสิ่งใดในโลก
นางรู้ดี เขาคือนักฆ่า มือเปื้อนเลือด ผ่านความตายมาไม่รู้กี่ครั้ง ชีวิตของคนอื่นไม่มีค่าในสายตาเขา เขาเกือบฆ่ากระต่ายของนางเพียงเพราะมันกัดนาง แล้วในสักวัน เขาจะฆ่านางหรือไม่ หากนางขัดใจ หากนางทำสิ่งที่เขาไม่ชอบ
หัวใจหญิงสาวบีบรัดแน่นจนแทบหายใจไม่ออก ดวงตาของนางเหม่อมองเปลวไฟในตะเกียง บางคราเผลอสะดุ้งทุกครั้งที่เงาของเขาขยับไหว
ทว่าเมื่อใดที่นางหันกลับไปมองเขา ใบหน้าของเขากลับนิ่งสงบ มิได้แข็งกร้าวต่อนางเลยสักครั้ง
ในดวงตาคมดุสีเข้มนั้น ไม่ได้มีเพลิงโทสะหรือกระหายเลือด มีเพียงแววเศร้า ละอาย และอ่อนโยน
“เจ้านอนเถอะ ข้าไม่ทำอะไรเจ้าหรอก” เขาพูดเสียงเบา ไม่ได้หันไปสบตานาง ทนไม่ได้ที่จะเห็นนางมองเขาด้วยความเกลียดหรือว่าหวาดกลัว
ไม่ว่าใครจะคิดอย่างไรกับเขา เขาไม่เคยสนใจแต่เขากลับใส่ใจแค่นางคนเดียว
“ข้าขอโทษ” เขาไม่เคยพูดขอโทษกับใครในชีวิตนี้ แต่เขากลับเอ่ยเบาๆ กับนาง
เพียงคำนั้น ทำให้นางเงยหน้าขึ้นมองเขาอีกครั้ง
แม้เขาจะอาบเลือดมาแค่ไหน แม้มือคู่นั้นจะพรากชีวิตนับไม่ถ้วน แต่เมื่ออยู่ต่อหน้านาง เขากลับยอมก้มหัว ยอมเป็นแค่ชายคนหนึ่งที่ไม่อยากให้นางร้องไห้
“ข้ารักษาคนและช่วยชีวิตคน ไม่สนใจว่าจะเป็นใครมาจากไหน สำหรับข้าแล้ว ทุกชีวิตน้อยใหญ่ย่อมมีค่าเสมอ รวมถึงชีวิตมือสังหารอย่างเจ้า แม้กระทั่งเสี่ยวไป๋ของข้า” นางกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ยังคงน้อยใจ
เสี่ยวไป๋นอนอยู่ในกรงไม้ไผ่ที่มุมหนึ่งในกระท่อม ทุกคืนนางมีเสี่ยวไป๋คอยอยู่เป็นเพื่อน
“ข้าจะไม่ทำอีก” เขาพูดด้วยท่าทางรู้สึกผิด
“ถ้าเป็นเช่นนั้นได้ก็ดี” นางกล่าวแล้วค่อยๆ ล้มตัวลงนอน มั่นใจว่าสวี่จื่อเฟิงจะไม่ข่มเหงน้ำใจของนาง
แต่แววตาเข้มที่วูบไหวยามฟ้าส่งเสียงคำรามนั้น นางรู้สึกเหมือนว่าเขากำลังกลัวมันอยู่ หรือไม่นางก็อาจจะคิดไปเอง
************************