“บอกแล้วไงว่าจะไม่ปล่อย”
“ทำไม? ต้องการอะไรจากฉันอีก?!” บีลีฟขึ้นเสียงเล็กน้อย ทั้งแววตาและสีหน้าบ่งบอกชัดเจนว่ารำคาญผมเต็มทน แต่ผมไม่สนหรอก ยังไงเธอก็ไม่เคยมองผมดีอยู่แล้วนิ ในสายตาของเธอ ผมมันไม่มีอะไรให้เสียอยู่แล้ว
“เดี๋ยวไปส่ง”
“ไม่ต้อง!” มือเล็กสะบัดหนีก่อนจะเบี่ยงตัวหลบไปอีกทาง “เลิกยุ่ง เลิกวุ่นวาย เลิกตามฉันสักทีได้ไหม?! กลับไปใช้ชีวิตของนายเหมือนกับที่เคยเป็น ทำเหมือนว่าฉันไม่มีตัวตนบนโลกไปเลยยิ่งดี”
“…”
“แล้วรู้เอาไว้ด้วยนะ… นายมันก็แค่ส่วนเกินของชีวิตฉัน อย่าทำให้ฉันเกลียดนายไปมากกว่านี้เลยเวฬา”
หลังจากพูดจาทำร้ายจิตใจผมเสร็จ ร่างบางในชุดเดรสก็เดินออกจากห้องไป ผมยืนมองบีลีฟด้วยความรู้สึกที่โคตรขัดแย้งในตัวเอง สมองมันสั่งให้ผมปล่อยเธอไปและเลิกสนใจทุกสิ่งทุกอย่างที่เกี่ยวกับเธอเสียที ในขณะที่หัวใจมันกลับเรียกร้องไม่ยอมให้ปล่อยมือเธอ มันกลับต้องการให้ผมเหนี่ยวรั้งเธอเอาไว้ทุกวิถีทาง
แล้วผมควรจะทำยังไงดี…
ปึง!
เสียงประตูห้องปิดลงพร้อมกับเสียงฝีเท้าวิ่งตามร่างบางออกมาหน้าลิฟต์ มันเป็นอีกครั้งที่สมองของผมพ่ายแพ้ต่อหัวใจ ผมเลือกที่จะเหนี่ยวรั้งเธอแม้ว่าเธอจะพยายามผลักไสก็ตาม ผมเหมือนคนโง่ที่ปล่อยให้ชีวิตเดินตามหัวใจโดยไร้สมองนำพา เชื่อแล้วว่าความรักมักทำให้คนเป็นบ้า…
ผมมันบ้า… บ้าเกินจะเยียวยาจริง ๆ
ติ๊ง
ประตูลิฟต์ที่กำลังจะปิดถูกเปิดออกอีกครั้งด้วยมือของผม บีลีฟเงยหน้าขึ้นมองสีหน้าตกใจเล็กน้อย เราสบตากันนิ่งนานเกือบนาที และก็เป็นผมที่เป็นฝ่ายก้าวเข้าไปหาเธอก่อน ผมปล่อยให้ประตูลิฟต์ด้านหลังปิดลงช้า ๆ ขณะร่างบางถอยหลังจนชิดผนังลิฟต์ ริมฝีปากบางเม้มนิด ๆ เหมือนกำลังคิดอะไรในใจ
“ทำไม่ได้”
ผมจ้องตาเธอแล้วพูดสิ่งที่อยู่ในใจออกมา เป็นครั้งแรกที่รู้สึกว่าผู้หญิงตรงหน้าอยู่ใกล้เกินเอื้อมจริง ๆ ที่ผ่านมาผมมันขี้ขลาดมัวแต่หลบอยู่ในเงาจนโดนความมืดกลืนกิน และกลายเป็นไร้ตัวตนในสายตาของเธอ ผมยอมรับว่าส่วนหนึ่งที่บีลีฟไม่เคยมองมาที่ผม ไม่ใช่เพราะเธอไม่มอง แต่เธอมองไม่เห็นต่างหากล่ะ ผมทำให้มันเป็นแบบนั้น เพราะความขี้แพ้ของตัวเอง
แต่ว่า… ตอนนี้ผมจะไม่ทำแบบนั้นอีกแล้ว… ผมยอมเป็นคนเลวที่รักเธอดีกว่าเป็นคนดีที่ไม่มีสิทธิ์รัก
“อยากเกลียดก็เกลียดไป แต่จะให้ทำเหมือนเธอไม่มีตัวตนคงทำไม่ได้”
“…”
“ต่อไปนี้ฉันจะไม่ยอมไร้ตัวตนในสายตาเธออีกแล้วบีลีฟ”
Goodbye a loser (ลาก่อน ไอ้คนขี้แพ้)
.
.
.
สิบหกปีก่อน
รถบังคับคันเล็กขับเคลื่อนไปมาบนถนนหน้าสนามหญ้าตามด้วยร่างของเด็กชายผู้เป็นเจ้าของเดินตามมันไปช้า ๆ เขาเลี้ยวรถวนไปวนมาอย่างสนุกสนานด้วยความบ้าเห่อ เพราะว่าเป็นของเล่นชิ้นโปรดที่เพิ่งได้รับเป็นของขวัญวันเกิดมาสด ๆ ร้อน ๆ
ปึก!
ในขณะที่เด็กชายกำลังเพลิดเพลินอยู่กับการบังคับรถนั้น จู่ ๆ ก็ต้องตกใจเมื่อเห็นรถคันโปรดถูกเท้าเล็ก ๆ ของใครคนหนึ่งเตะเข้าเต็มแรงจนมันกระเด็นกระแทกกับพื้นหลายตลบ ร่างเล็กในชุดกระโปรงสีหวานชะงักค้างพลางยกสองมือขึ้นปิดปากด้วยความตกใจไม่แพ้กัน ดวงตากลมโตเบิกกว้างขณะจ้องมองรถบังคับคันใหม่นอนหงายบนพื้น
‘เฮ้ย! รถบังคับฉัน!!’ เด็กชายที่ตั้งสติได้ก่อนรีบตะโกนขึ้นพร้อมกับวิ่งมาหยิบรถบังคับขึ้นสำรวจ และก็พบว่าอุปกรณ์ภายในของมันหลุดออกมา แถมยังไม่สามารถบังคับได้เหมือนเดิม
‘บี… บีขอโทษ บีไม่ได้ตั้ง… ว้าย!’ ร่างเล็กกำลังพนมสองมือขึ้นไหว้ขอโทษด้วยความรู้สึกผิด แต่กลับต้องร้องออกมาด้วยความตกใจอีกครั้งเมื่อจู่ ๆ ถูกเด็กชายตรงเข้ามาผลักเต็มแรง เด็กหญิงเสียหลักล้มลงบนพื้น สองมือและตามแขนขาเสียดสีกับพื้นซีเมนต์จนเกิดรอยถลอกตามตัว ความเจ็บปวดทำให้ร่างเล็กร้องไห้ออกมาเบา ๆ
‘ทำอะไรน่ะเว?’
ขณะที่เด็กหญิงกำลังนั่งร้องไห้บนพื้นโดยมีเด็กชายยืนมองด้วยสายตาโกรธเคืองก็มีร่างของเด็กชายอีกคนเดินออกมาจากทางสนามหน้าบ้าน เขามีใบหน้าและทรงผมคล้ายกับเด็กชายคนแรกราวกับแกะ เด็กหญิงมองสลับไปมาพลางสะอื้นในลำคอ
‘นายผลักเธอเหรอ?” เด็กชายผู้มาใหม่ย่อตัวลงข้างเด็กหญิงแล้วช่วยพยุงเธอให้ลุกขึ้น ก่อนจะใช้สายตาตำหนิมองน้องชายฝาแฝดตัวเอง ‘ทำไมต้องใช้กำลังด้วย ถ้าป๊ารู้เข้านายจะทำยังไง’
‘…’
‘เจ็บมากหรือเปล่า? ฉันขอโทษแทนเวฬาด้วยนะ’ ความอ่อนโยนของเด็กชายที่ช่วยพยุงเด็กสาว ทำให้เธอผ่อนคลายความหวาดกลัวลง มือเล็กยกขึ้นเช็ดน้ำตาก่อนส่งยิ้มน้อย ๆ ให้
‘ขอโทษทำไม ยัยนั่นต่างหากที่ต้องขอโทษฉัน เห็นไหมว่ารถที่ป๊าซื้อให้พังหมดแล้ว!’ เด็กชายเจ้าของชื่อเวฬาทำน้ำเสียงไม่พอใจ พลางยกรถบังคับคันโปรดในมือให้พี่ชายดู เด็กหญิงเม้มปากเล็กน้อย สองตาจับจ้องเขานิ่ง
‘บีไม่ได้ตั้งใจ บีขอโทษไปแล้ว แต่เฮียไม่ฟัง’
‘ใครเป็นเฮียเธอไม่ทราบ? ฉันไม่เคยมีน้องสาว!’
‘อ้าวเด็ก ๆ ทะเลาะอะไรกันหรือเปล่าน่ะ’ เพราะเสียงตะโกนของเด็กชายทำให้พวกผู้ใหญ่ภายในบ้านรีบวิ่งออกมาทันที ทุกคนต่างแยกย้ายเข้าไปหาลูกตัวเองเพื่อถามไถ่เรื่องราว
‘เกิดอะไรขึ้นกับบีลีฟคะ ไหนบอกปะป๊าซิ’ ผู้เป็นพ่อตรวจตรารอยถลอกตามร่างกายลูกสาวสุดที่รักด้วยความเป็นห่วง เด็กหญิงส่ายหน้าน้อย ๆ ก่อนจะหันกลับไปมองเด็กชายต้นเรื่องอีกครั้ง
‘ไม่มีอะไรค่ะปะป๊า บีแค่หกล้ม…’ คำตอบของเด็กสาวเรียกสายตาจากเด็กชายทั้งสองคน เธอยิ้มบางแล้วถามคำถามหนึ่งกับผู้เป็นพ่อ ‘ปะป๊าคะ ปะป๊าเคยบอกบีว่าคนที่ชอบใช้กำลังคือคนขี้แพ้ใช่ไหมคะ?’
‘ใช่แล้วค่ะ’
‘วันนี้บีเจอ ‘คนขี้แพ้’ คนนั้นแล้วค่ะปะป๊า’
และนั่นคือความทรงจำแรกระหว่างเด็กทั้งสามคน… ความทรงจำที่แม้จะผ่านมาสิบกว่าปีแล้วก็ยังไม่เคยลืมเลือน…
Just a loser (ก็แค่คนขี้แพ้)