“ใส่นี่ซะถ้าไม่อยากสมองเละคาถนน”
หมวกกันน็อกถูกยื่นมาตรงหน้าจากผู้ชายร่างสูงในชุดนักแข่ง เขาสวมหมวกกันน็อกใบใหญ่และกำลังคร่อมอยู่บนบิ๊กไบค์ อย่างที่ทุกคนรู้ดีว่าเวฬารักความเร็วมากและเขาก็ชื่นชอบการแข่งรถเป็นชีวิตจิตใจ แต่ที่ฉันข้องใจตอนนี้ก็คือ… ทำไมฉันต้องซ้อนท้ายมฤตยูสีดำคันนี้ไปกับเขาด้วย??
“ยืนอึ้งทำไม ใกล้จะถึงเวลาแข่งของฉันแล้วนะ” ถึงจะพูดแบบนั้น แต่ฉันเคยบอกไปหรือยังว่าความเร็วเป็นสิ่งที่ฉันไม่ชอบมาก ๆ เลยอ่ะ
มันเป็นเรื่องฝังใจตั้งแต่เด็ก ๆ สมัยที่ฉันเพิ่งรู้จักกับสองพี่น้องฝาแฝดคู่นี้ ตอนนั้นฉันซ้อนท้ายจักรยานคันที่มีนาฑีเป็นคนขี่ ส่วนเวฬาขี่อีกคันตามหลัง ฉันจำได้ว่าเย็นวันนั้นพวกเราสามคนกลับจากสวนบนเนินเขา และมันเป็นทางลาดยาวตลอดจนถึงทางเข้าบ้าน ขณะที่รถจักรยานสองคันกำลังแล่นขนานข้างลงมาด้วยความเร็วระดับหนึ่งนั้น ฉันเกิดอาการหวาดกลัวจึงหลับตาแล้วกอดเอวนาฑีแน่น หลังจากนั้นก็รู้สึกได้ถึงแรงเหวี่ยงและแรงกระแทกก่อนจะสลบไป
ฉันตื่นขึ้นมาในเช้าวันต่อมาด้วยบาดแผลที่ศีรษะและรอยถลอกตามร่างกายเต็มไปหมด แม่บอกกับฉันว่ารถจักรยานที่นาฑีขี่เกิดสะดุดล้มกะทันหันทำให้ฉันกระเด็นตกจากรถแล้วหัวฟาดพื้นสลบไป จากวันนั้นฉันเลยหวาดกลัวกับอะไรก็ตามที่เกี่ยวกับความเร็วทุกชนิด ขนาดขับรถฉันยังเหยียบไม่เคยถึงแปดสิบเลยด้วยซ้ำ
กึก…
“อ๊ะ!” ฉันสะดุ้งตกใจกับเสียงกดล็อกปลายคางพร้อมกับหลุดจากภวังค์ความคิด ภาพตรงหน้าปรากฏใบหน้าหล่อเหลาของผู้ชายที่เป็นหนึ่งในความทรงจำนั้น ดวงตาเรียวคมดุจมังกรจ้องมองกันนิ่ง ไม่รู้ว่าเขาเคลื่อนเข้ามาใกล้กันตั้งแต่เมื่อไหร่ ระยะห่างระหว่างเราถึงได้ลดลงขนาดนี้ รู้เพียงแค่ว่าตอนนี้เวฬาสวมหมวกกันน็อกให้ฉันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
“เธอกำลังทำฉันเสียเวลา รีบขึ้นมาสักที หรือต้องให้อุ้ม?” ไม่พูดเปล่าแต่เวฬาทำท่าจะลงจากรถมาอุ้มฉันจริง ๆ
“มะ ไม่ต้อง! ฉะ ฉันแค่… ไม่ชอบอะไรแบบนี้” ฉันไม่รู้ว่าควรจะอธิบายยังไงให้เวฬาเข้าใจดี ฉันไม่อยากซ้อนไปกับเขาเลย ไม่อยากทำแบบนั้นเลยจริง ๆ
“ไม่ชอบอะไรแบบนี้ของเธอคือ? ซ้อนท้ายฉัน?”
“ก็ไม่เชิง แต่ฉันไม่ชอบความเร็ว…” ฉันงับปากตัวเองเอาไว้ด้วยความลืมตัว นี่ฉันเผลอพูดอะไรออกไปเนี่ย! อุตส่าห์ตั้งใจว่าจะไม่ให้ใครเห็นจุดอ่อนของตัวเองแท้ ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนคนนั้นคือเวฬา ฉันยิ่งไม่อยากให้เขารู้เลย
“ถ้ากังวลเรื่องนั้น…”
“…”
“ฉันจะคลานไปให้ก็ได้ สบายใจยัง??”
.
.
.
สนามแข่ง UNIT RACE
คลานอย่างนั้นเหรอ… บอกว่าจะคลานมาให้ฉันอย่างนั้นเหรอ… คลานบ้าคลานบอบ้านป้าเขาน่ะสิ!!
“กอดแน่นขนาดนี้ เปลี่ยนจากสนามแข่งเป็นโรงแรมเลยดีไหม?”
พรึ่บ!
ฉันรีบดึงแขนที่กำลังโอบรอบเอวร่างสูงออกด้วยความรวดเร็วแล้วเอนตัวหนีเพื่อละใบหน้าออกจากแผ่นหลังอบอุ่นของเขา เวฬาเอี้ยวตัวกลับมาจ้องหน้ากัน มุมปากยกยิ้มนิด ๆ เหมือนสนุกกับการแกล้งฉันเหลือเกิน
“คนโกหก นั่นเรียกว่าคลานเหรอ?!” ฉันก้าวลงจากรถด้วยสภาพที่ไม่มั่นคงนัก ยังเสียศูนย์กับความเร็วผ่านรกเมื่อครู่ไม่หาย เวฬาทำกับฉันได้เจ็บแสบมาก เขาคิดจะเอาคืนฉันอย่างนั้นสินะถึงได้บิดลืมตายซะขนาดนั้น ทั้งที่ตอนแรกรับปากดิบดีว่าจะขี่เหมือนคลาน แต่พอเอาเข้าจริงแม้แต่ไฟแดงเขายังฝ่าเลยคิดดู!
“อะไร เมื่อกี้บิดแค่สองร้อยเองนะ ถ้าช้ากว่านั้นก็เต่ากัดยางแล้วเธอ”
สะ… สองร้อย?! ให้ตายสิ! นี่เขาพาฉันเฉียดนรกมาด้วยความเร็วสองร้อยกิโลเมตรต่อชั่วโมงงั้นเหรอ! สาบานเลยว่านี่จะเป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้ายที่ฉันจะยอมซ้อนท้ายมฤตยูคู่ใจของเวฬาน่ะ!
“ฮัลโหล เออ ๆ กูถึงแล้ว พวกมึงอยู่ไหน เออ ๆ เจอกัน” เวฬากดวางสายพร้อมกับหันมามองฉัน เขาเปิดกระจกหมวกขึ้นแล้วสั่งด้วยน้ำเสียงที่ค่อนข้างดัง เพื่อแข่งกับเสียงอื้ออึงด้านในสนาม “ขึ้นรถ เราต้องเข้าไปข้างในแล้ว”
“อะไรนะ?? จะไปไหนอีกล่ะ” ไม่เอาอ่ะ ฉันไม่อยากซ้อนท้ายเขาอีกแล้ว ไม่เอาแล้วนะ!
“ตรงนี้มันหน้าสนามเธอไม่เห็นหรือไง ฉันต้องขี่รถเข้าไปกลางสนามเพื่อรอเวลาแข่งนะ ไว ๆ บีลีฟ อย่าลีลา” เขาว่าพลางปิดกระจกหมวกลงดังฉับแล้วหันกลับไปสตาร์ทรถ เสียงเครื่องยนต์คำรามหึ่ม ๆ ของมฤตยูคันใหญ่ช่างสั่นประสาทฉันเหลือเกิน
ไม่ขึ้นได้ไหมอ่ะ…
“บีลีฟ! ต้องให้อุ้มมั้ย??”
เออ ๆ ขึ้นก็ได้!
ฉันชักสีหน้าใส่เวฬาแต่ก็ยอมก้าวขาขึ้นซ้อนท้ายเขาจนได้ ทันทีที่รถทะยานไปข้างหน้าสองมือของฉันรีบตวัดรัดรอบเอวเวฬาตามสัญชาตญาณอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ นาทีนี้ไม่มีแล้วศักดิ์ศรีบ้าบออะไร ความกลัวมันอยู่เหนือทุกอย่างหมดแล้ว!
ท่องเอาไว้บีลีฟ… วันพระไม่ได้มีหนเดียว!