ภูริดลพาน้ำมณีออกไปนั่งคุยกันที่ห้องรับแขกซึ่งนทีนั่งรออยู่ที่พื้นข้างโซฟามีกระเป๋าเดินทางหลายใบวางเรียงกันอย่างเป็นระเบียบ
“ขนอะไรมาเยอะแยะครับ แล้วนั่น...” เขามองไปที่ตะกร้าใส่แมวซึ่งมีเจ้าแมวอ้วนส่งเสียงร้องเมี้ยวๆ อยู่ในนั้น
“ของคุณหญิงฟ้าทั้งนั้นแหละ เมื่อวานดินปุบปับพาคุณหญิงมา ของใช้อะไรก็ไม่ได้เอาติดตัวมาสักอย่าง” น้ำมณีเป็นคนตอบ ส่วนนทีที่นั่งหน้านิ่งอยู่ข้างกันทำท่าเหมือนไม่อยากมองหน้าภูริดล เพราะยังโกรธอยู่ที่เมื่อวานนี้เจ้าลูกชายตัวดีฉีกหน้าเขายับเยินที่วังดุษฎีรังสรรค์
“แมวนั่นด้วยเหรอครับ”
“ใช่จ้ะ แมวตัวโปรดของคุณหญิงฟ้า ท่านชายดนัยกลัวคุณหญิงฟ้าจะเหงา เลยให้แม่เอาแมวมาให้ด้วย”
ชายหนุ่มมองหน้าเจ้าแมวอ้วนแล้วรู้สึกไม่ถูกชะตาอย่างแรง แต่ครั้นจะให้น้ำมณีเอามันกลับไปก็เกรงจะถูกแม่บ่นหูชา เลยต้องปล่อยเลยตามเลย
“แล้วนี่คุณหญิงฟ้าอยู่ไหน”
“อาบน้ำอยู่ครับ ทำอะไรชักช้า อ้อยอิ่ง น่ารำคาญ”
“ดิน!” นทีปรามเสียงเข้ม “ให้เกียรติคุณหญิงบ้าง”
น้ำมณีแตะหลังมือของสามีเบาๆ เป็นการเตือนให้ใจเย็น แล้วเป็นฝ่ายคุยกับลูกชายเอง “แม่รู้ว่าดินยังไม่หายโกรธที่พ่อกับแม่บังคับให้ดินแต่งงานกับคุณหญิงฟ้า แต่พ่อกับแม่ทำไปเพราะหวังดีกับดินนะ ที่ผ่านมาดินเจอแต่ผู้หญิงที่ไม่ดี พ่อกับแม่ไม่อยากเห็นดินเจ็บแบบเดิมซ้ำๆ อีก ถึงได้เลือกคุณหญิงฟ้าให้มาเป็นภรรยาของดินไงจ๊ะ”
“คุณแม่แน่ใจเหรอครับว่าคุณหญิงฟ้าเป็นผู้หญิงที่ดีจริงๆ”
“แม่ให้คนสืบประวัติของคุณหญิงแล้ว สะอาดหมดจด ไม่มีประวัติด่างพร้อย การศึกษาดี ชาติตระกูลดี เหมาะสมที่สุดแล้วที่จะมาเป็นเมียและแม่ของลูกของดิน”
“ใครบอกว่าผมอยากมีลูก” ภูริดลทำหน้าเซ็ง “ความจริงผมไม่อยากมีทั้งเมีย ทั้งลูกนั่นแหละ”
“เอาเถอะ ไหนๆ ก็มีเมียแล้ว ก็มีลูกอีกสักคนสองก็แล้วกัน หรือสามคน สี่คนเลยก็ได้ แม่ช่วยเลี้ยงเอง” น้ำมณีแอบหวังอยู่ในใจว่า การมีครอบครัวที่สมบูรณ์จะเติมเต็มส่วนที่ขาดหายไปของลูกชายได้ ถึงแม้ภูริดลจะทำตัวแข็งกร้าวมากแค่ไหนก็ตาม แต่ในฐานะที่เลี้ยงดูเขามาตั้งแต่เด็ก น้ำมณีรู้ดีว่าภายในของเขาโดดเดี่ยวและเปราะบางมาก
“จะให้คุณหญิงฟ้าอยู่บ้านไร่นี่จริงเหรอเจ้าดิน” นทีถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบ พยายามใจเย็นกับลูกชายหัวดื้อให้มากที่สุด
“คิดจะเป็นเมียผมก็ต้องอยู่ให้ได้ ถ้าอยู่ไม่ได้ก็กลับวังไปเลย กลับไปหาผัวที่เป็นผู้ดีตีนแดงเหมือนกันโน่นเลย”
“แม่ว่าพาคุณหญิงฟ้าไปอยู่ที่บ้านในเมืองดีกว่านะดิน สะดวกสบายกว่าที่นี่เยอะ”
“ฟ้าอยู่ที่นี่ได้ค่ะ” ฟ้าพราวเดินเข้ามาร่วมวงสนทนาในชุดเสื้อยืดตัวโคร่งกับกางเกงขายาวผ้าฝ้ายของภูริดล เธอยกมือไหว้พ่อและแม่ของภูริดลอย่างอ่อนช้อยแล้วนั่งลงที่โฟซาตัวเดียวกับสามี แต่ก็เว้นระยะห่างไว้พอสมควรเพราะไม่อยากอยู่ใกล้คนป่าเถื่อนมากเกินไป “คุณดินอยู่ที่ไหน ฟ้าก็จะอยู่ที่นั่นค่ะ”
“น่ารักจริงๆ เลยคุณหญิงฟ้า”
“เรียกว่าฟ้าเฉยๆ ดีกว่าค่ะคุณแม่ ฟ้าอยากทำตัวธรรมดา ให้กลมกลืนกับคนที่นี่”
“คุณแม่เหรอ” น้ำมณีทำตัวไม่ถูกที่ถูกราชนิกุลสาวผู้สูงศักดิ์เรียกว่าแม่
ฟ้าพราวยิ้มอ่อนหวานแล้วอธิบาย “คุณแม่เป็นแม่ของคุณดิน สามีของฟ้า ก็เหมือนเป็นคุณแม่ของฟ้าด้วย คุณแม่ของฟ้าเสียตั้งแต่ฟ้ายังเด็ก ฟ้าขอเป็นลูกสาวคุณแม่นะคะ”
“ได้จ้ะ จะเป็นลูกสาวหรือลูกสะใภ้ก็ได้หมดจ้ะ”
น้ำมณียิ้มปลื้มปริ่ม ในขณะที่ลูกชายของเธอเอียงหน้ามองภรรยาตัวเองแบบงงๆ ที่เธอพูดกับแม่ของเขาอย่างอ่อนหวานน่ารัก ต่างจากเวลาที่พูดกับเขาลิบลับ
เมี้ยว...
ฟ้าพราวหันขวับไปตามเสียงที่ร้องเรียกแล้วยิ้มกว้างเมื่อเห็นแมวตัวโปรดยื่นหน้าออกมาจากตะกร้า เธอรีบเข้าไปอุ้มมันออกมาแล้วทั้งกอดและหอมด้วยความดีใจ “ที่รัก หญิงคิดถึงที่รักที่สุดเลย ที่รักจะมาอยู่กับหญิงที่นี่ใช่มั้ย”
“ที่รักเหรอ” ภูริดลมองฟ้าพราวที่กำลังซุกไซ้ใบหน้าเข้ากับหน้ากลมๆ ของเจ้าแมวอ้วนแล้วพึมพำกับตัวเองเบาๆ ที่เขาหัวเสียตั้งแต่ตื่นนอนก็เพราะเจ้าแมวอ้วนตัวนี้เนี่ยนะ คิดแล้วก็โมโหที่เธอจงใจปั่นหัวเขาทั้งที่รู้ว่าเขาเข้าใจผิด ยิ่งเห็นสายตาขำๆ ที่เธอมองมาเป็นเชิงเยาะเย้ยก็ยิ่งอยากกระโดดเข้าไปขย้ำให้หายแค้น
จากหน้าต่างห้องครัวที่ฟ้าพราวกับน้ำมณีช่วยกันทำอาหารเช้า ควบกลางวัน หญิงสาวมองออกไปเห็นภูริดลกำลังเดินคุยกับนทีอยู่ในสวน สีหน้าของเขาเคร่งเครียด และจากภาษากายที่สามีของเธอแสดงออกต่อผู้เป็นพ่อ เธอแน่ใจว่าทั้งคู่ไม่ค่อยลงรอยกันเท่าไหร่
“คุณดินดูไม่ค่อยสนิทกับคุณพ่อเลยนะคะ ท่าทางเขาสนิทกับคุณแม่มากกว่า” ลูกสะใภ้เลียบเคียงถามแม่สามี
“พ่อลูกคู่นี้ก็เป็นแบบนี้แหละ พูดดีกันได้ไม่เกินสามคำ พ่อชอบออกคำสั่ง ส่วนลูกชายก็ดื้อมาก ยิ่งช่วงก่อนที่แม่จะแต่งงานกับคุณนที พี่เลี้ยงของดินเล่าว่าสองพ่อลูกทะเลาะกันทุกวัน พอมีแม่เข้ามาช่วยเป็นตัวกลางถึงได้เบาลง”
“คุณแม่ไม่ใช่แม่แท้ๆ ของคุณดินเหรอคะ” ฟ้าพราวถามด้วยความเกรงใจ
“แม่เป็นแม่เลี้ยงจ้ะ”
“คุณแม่คุณดินเสียแล้วเหรอคะ”
“ยังจ้ะ ตอนนี้อยู่ต่างประเทศกับสามีใหม่ แม่ของดินเลิกกับคุณนทีตอนที่ดินอายุหกขวบ เลิกกันไม่ค่อยดีเท่าไหร่ แล้วเรื่องนี้ก็เป็นแผลในใจดินมาจนทุกวันนี้”
“เกิดอะไรขึ้นเหรอคะ”
น้ำมณีหยุดคิดนิดหนึ่งว่าจะเล่าต่อดีหรือไม่ แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจเล่า เพื่อที่ฟ้าพราวจะได้เข้าใจภูริดลมากยิ่งขึ้น
“เรื่องเงินๆ ทองๆ นั่นแหละ แบ่งสินสมรสกันไม่ลงตัว แม่ของดินเรียกร้องมากเกินไป คุณนทีไม่ยอม แม่ของดินก็เลยวางแผนกับสามีใหม่จับดินไปเรียกค่าไถ่ ดินถูกจับขังไว้ในตึกแถวร้างคนเดียวตั้งหลายวัน แถมโดนสามีใหม่ของแม่ทำร้ายโดยที่แม่แท้ๆ ก็ไม่ช่วย” เล่าไปก็ร้องไห้ ต้องหยุดซับน้ำตาเป็นระยะ “การที่แม่แท้ๆ เห็นเงินสำคัญกว่าลูกในไส้ของตัวเอง มันเป็นเรื่องที่เจ็บปวดมากนะ”
ฟ้าพราวน้ำตาซึมด้วยความสงสารสามี มันเป็นเรื่องที่โหดร้ายมากสำหรับเด็กอายุแค่หกขวบ คงไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้ลืมเรื่องเลวร้ายในอดีตได้
“ชีวิตดินน่าสงสาร มีแฟนกี่คนก็เจอแต่ผู้หญิงหิวเงินเหมือนแม่แท้ๆ ของเขานั่นแหละ รายล่าสุดชื่อก้อย กำลังจะแต่งงานกันอยู่แล้ว แต่ก็ทิ้งดินไปแต่งงานกับหม่อมเจ้าภาณุเดชหน้าตาเฉย”
“ท่านลุงภาณุกับหม่อมก้อยเหรอคะ” ฟ้าพราวรู้จักทั้งสองคนดี เพราะหม่อมเจ้าภาณุเดชเป็นพี่ชายแท้ๆ ของหม่อมเจ้าดนัยเทพ
“ใช่จ้ะ ท่านลุงภาณุของหนูฟ้านั่นแหละ”
ฟ้าพราวพอจะเข้าใจแล้วว่าทำไมภูริดลถึงได้ตั้งแง่รังเกียจผู้หญิงที่ยอมแต่งงานเพื่อเงินอย่างเธอมากขนาดนี้