ทันใดนั้นเสียงโทรศัพท์มือถือจากเครื่องปลายทางก็ดังแว่วมาจากด้านนอกห้องโถง และดังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ จนปรากฎร่างของหนุ่มชาวไร่รูปร่างสูงใหญ่ ผิวคล้ำกร้านแดด หนวดเครารกรุงรัง เขาไม่ได้มาในชุดเจ้าบ่าว แต่มาในชุด ‘ชาวไร่’ ที่เป็นเสื้อเชิ้ตตัวเก่าสีมอซอสวมทับด้วยแจ็คเก็ตที่ไม่ได้ดูใหม่ไปกว่ากันเลย กางเกงยีนสีเข้มมีดอกหญ้าแห้งติดอยู่ที่ปลายขา รองเท้าหนังคอม-แบทมีเศษดินเศษโคลนเปรอะเปื้อนเกรอะกรัง
“ไอ้ดิน!” นทีเรียกลูกชายเสียงรอดไรฟันพลางเหลือบมองเพื่อนรักที่เป็นถึงหม่อมเจ้าด้วยความเกรงใจอย่างถึงที่สุด ทว่าอีกฝ่ายกลับมีสีหน้าเรียบเฉยแบบที่คาดเดาอารมณ์และความรู้สึกไม่ออก
“ตายแล้วลูกชายฉัน ทำไมแต่งตัวแบบนี้ ชุดเจ้าบ่าวแม่ก็เตรียมไว้ให้แล้ว ทำไมไม่ใส่มา” น้ำมณีอยากจะเป็นลม ถึงแม้ว่าครอบครัวของเธอจะเป็นเศรษฐีที่ชอบทำตัวติดดิน แต่ลูกชายคนเดียวของเธอจะแต่งตัวคลุกดินคลุกโคลนมาเข้าพิธีแต่งงานกับราชนิกุลสาวผู้สูงศักดิ์แบบนี้ไม่ได้
ภูริดลทำเป็นหูทวนลม ไม่สนใจคำตำหนิของพ่อกับแม่ ดวงตาสีนิลคมกริบจ้องเขม็งไปที่วงหน้างดงามของเจ้าสาว สองเท้าก้าวเข้าไปหาเธอด้วยท่าทีแข็งกระด้าง จงใจใช้รองเท้าที่สกปรกเหยียบย่ำลงบนพรหมเปอร์เซียราคาครึ่งล้านที่เธอนั่งอยู่
“หยุดทำตัวไร้มารยาทเดี๋ยวนี้นะดิน นั่งลง!” นทีสั่งลูกชายที่ยืนค้ำหัวผู้หลักผู้ใหญ่และเจ้าสาวที่นั่งปั้นหน้านิ่งอยู่บนพื้นพรม
ชายหนุ่มกระแทกตัวลงนั่งขัดสมาธิอย่างตั้งใจกวนประสาท ฝุ่นจากเสื้อผ้าฟุ้งกระจายออกมาจนหม่อมราชวงศ์ฟ้าพราวสำลัก ทำให้หนุ่มชาวไร่อดที่จะยิ้มเยาะความเป็นผู้ดีของว่าที่ภรรยาไม่ได้
“ผมมีเวลาไม่มาก สวมแหวนเลยก็แล้วกัน” ว่าแล้วก็หยิบแหวนทองเกลี้ยงวงเล็กออกมาจากกระเป๋าเสื้อแจ็คเก็ตแล้วสวมเข้าที่นิ้วนางข้างซ้ายของเจ้าสาว ทว่าแหวนวงใหญ่เกินไป เขาจึงถอดออกแล้วสวมเข้าที่นิ้วกลางให้แทน “นิ้วไหนก็เหมือนกัน สวมให้มันจบพิธีไป”
เจ้าสาวนั่งหลังเหยียดตรง เม้มปากแน่น พยายามอดทนอดกลั้นกับกิริยาป่าเถื่อนไร้อารยะของเจ้าบ่าว เธอไม่ได้คาดหวังว่าเขาจะให้เกียรติ แต่ก็ไม่คิดว่าเขาจะหยามเกียรติเธอถึงขนาดนี้
“เอาแหวนเพชรที่แม่เตรียมไว้สวมให้คุณหญิงสิดิน” น้ำมณีท้วง เธอเตรียมแหวนเพชรน้ำงามสิบกะรัตวางไว้บนพานทองที่ตกแต่งด้วยดอกไม้อย่างสวยงามให้แล้ว แต่ลูกชายตัวดีกลับทำมองเมินไม่สนใจ
“เพชรเม็ดใหญ่เท่าไข่ห่านไม่เหมาะกับเมียชาวไร่ที่ต้องจับจอบจับเสียมทำงานทั้งวันหรอกครับ คุณแม่เก็บไว้เถอะ”
“ใครบอกว่าจะให้คุณหญิงฟ้าไปทำไร่” น้ำมณีรีบแย้งด้วยสีหน้าตื่นตระหนกเพราะกลัวหม่อมเจ้าดนัยเทพจะเข้าใจผิดว่าขอลูกสาวท่านไปตก ระกำลำบาก
“เป็นเมียผม ก็ต้องช่วยผมทำงาน จะมานั่งกินนอนกิน ทำตัวเป็นคุณหญิงคุณนายไม่ได้ เงินมันหายาก เท่าที่เราเสียไปก็มากเกินพอแล้ว ต่อไปคุณหญิงต้องช่วยผมทำงานในไร่”
“งานแบบนั้นคุณหญิงฟ้าจะทำได้ยังไงเจ้าดิน พูดไม่คิดอีกแล้วลูกคนนี้” น้ำมณีมองลูกชายตาเขียว
“ฟ้าทำได้ค่ะ ไม่ว่าจะลำบากแค่ไหน ฟ้าก็จะอดทน” หม่อมราชวงศ์ฟ้าพราวบอกกับน้ำมณีอย่างเด็ดเดี่ยวแล้วหันไปบอกท่านพ่อของเธอ “ท่านพ่อไม่ต้องเป็นห่วงหญิงนะเพคะ หญิงอยู่ได้”
หม่อมเจ้าดนัยเทพมองบุตรสาวที่เลี้ยงดูมาอย่างดียิ่งกว่าไข่ในหินด้วยความรู้สึกผิดและสงสารจับใจ ถ้าเขาไม่ถูกเพื่อนที่เป็นนักการเมืองใหญ่โกงจนสิ้นเนื้อประดาตัว วังที่เป็นมรดกตกทอดจากรุ่นสู่รุ่นมาร่วมร้อยปีก็จะถูกยึด บุตรสาวคนเดียวของเขาก็คงไม่ต้องตกที่นั่งลำบากแบบนี้
ในวันที่หมดสิ้นหนทาง นทียื่นมือเข้ามาให้ความช่วยเหลือ โดยมีข้อแม้ว่าต้องให้ลูกชายและลูกสาวของแต่ละฝ่ายแต่งงานกัน ฟ้าพราวเต็มใจช่วยเหลือครอบครัว แต่ดูเหมือนว่าพ่อหนุ่มชาวไร่จะไม่เต็มใจเป็นอย่างยิ่ง
“ผมพา ‘เมีย’ ไปได้หรือยัง”
“จดทะเบียนสมรสก่อน” หม่อมเจ้าดนัยเทพบอกด้วยน้ำเสียงเข้มขรึมแล้วหันไปพยักหน้าบอกเจ้าหน้าที่จากสำนักงานเขตให้นำเอกสารมาให้เจ้าบ่าวและเจ้าสาวเซ็น
ภูริดลและหม่อมราชวงศ์ฟ้าพราวต่างคนต่างเซ็นชื่อในทะเบียนสมรสโดยไม่มองหน้ากัน เสร็จแล้วชายหนุ่มก็ฉุดข้อมือหญิงสาวให้ลุกขึ้นอย่างกะทันหัน ทำให้คนที่นั่งพับเพียบอยู่กับพื้นนานเป็นชั่วโมงเข่าอ่อนจนเกือบล้ม แต่เขาก็ไม่ได้สนใจที่จะช่วยประคอง ปล่อยให้เธอซวนเซหาทางทรงตัวเอาเอง
“ไปกันได้แล้ว”
“จะพาคุณหญิงไปไหนเจ้าดิน” น้ำมณีถามหน้าตาตื่นตระหนก
“กลับไร่สิครับ ผมมีงานรออยู่อีกเยอะ ไม่มีเวลามาทำเรื่องไร้สาระนานหรอกครับ แค่นี้ก็เสียเวลามากแล้ว” ว่าแล้วก็กึ่งลากกึ่งจูงภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมายและประเพณีออกไป โดยไม่สนใจว่าคนที่ตัวเล็กกว่ามากซึ่งอยู่ในชุดไทยยาวระพื้นจะซอยเท้าตามทันหรือไม่
“โอ้ย ตายๆ ฉันอยากจะเป็นลม” น้ำมณีหยิบยาดมออกมาสูดปื้ดๆ แล้วหันไปบอกหม่อมเจ้าดนัยเทพด้วยความเกรงใจอย่างที่สุด “หม่อมฉันต้องกราบขอประทานอภัยฝ่าบาทด้วยนะเพคะที่ลูกชายของหม่อมฉันทำกิริยาไม่เหมาะสม”
“ฝ่าบาทไม่ต้องเป็นห่วงคุณหญิงฟ้านะกระหม่อม กระหม่อมสัญญาว่าจะดูแลคุณหญิงฟ้าแทนฝ่าบาทเป็นอย่างดี” นทีรีบเสริมด้วยความเกรงใจมากเช่นเดียวกัน
“ลูกชายแกท่าทางเอาเรื่องอยู่นะ ฉันเป็นห่วงลูกสาวฉัน” หม่อมเจ้าดนัยเทพบอกด้วยสีหน้าไม่สบายใจ แล้วทำท่าเหมือนจะวูบ มาลินีที่นั่งอยู่ข้างๆ ต้องรีบประคองให้เอนหลังพิงพนักเก้าอี้ แล้วหยิบยาประจำตัวมาให้กิน
“เจ้าดินมันปากร้ายไปอย่างนั้นเอง ความจริงมันเป็นคนใจอ่อนมาก ที่สำคัญ มันไม่ทำร้ายผู้หญิง ถ้ากระหม่อมไม่มั่นใจในตัวลูกชายก็คงไม่กล้าขอคุณหญิงฟ้ามาเป็นลูกสะใภ้”
หม่อมเจ้าดนัยเทพพยักหน้ารับเนิบนาบ ไม่ว่านทีจะยืนยันหนักแน่นเพียงใด แต่การเห็นบุตรสาวอันเป็นที่รักถูกหนุ่มชาวไร่ฉุดกระชากออกไปแบบนั้นก็อดเป็นห่วงไม่ได้อยู่ดี
ภูริดลกำข้อมือเล็กของหม่อมราชวงศ์ฟ้าพราวไว้แน่นขณะลากตัวเธอออกมาที่หน้าตึกใหญ่โดยไม่สนใจว่าเท้าเปลือยเปล่าของหญิงสาวที่กำลังเหยียบย่ำไปบนพื้นซีเมนต์ที่ร้อนระอุเพราะดูดซับความร้อนจากไอแดดเอาไว้จะแสบร้อนเพียงใด
“อู้ย...” ฟ้าพราวส่งเสียงซี๊ดซ๊าดในลำคอพลางกระโดดด้วยปลายเท้าสลับข้างกันไปมา
“เป็นอะไร”
“พื้นมันร้อน แสบเท้าไปหมดแล้วเนี่ย” ตอบพลางหงายฝ่าเท้าที่แดงจัดให้อีกฝ่ายดู
หนุ่มชาวไร่ยิ้มหยัน แต่แทนที่จะเห็นใจ เขากลับพูดค่อนแคะ “ผู้ดีตีนแดง”
“คุณก็ลองเดินเท้าปล่าบนปูนซีเมนต์ร้อนๆ นี่ดูมั่งสิ จะได้รู้ว่ามันร้อนแค่ไหน”
“พื้นร้อนแค่นี้ผมไม่สะดุ้งสะเทือนหรอก”
“หนังหนา” เธอว่าเบาๆ แต่เขาก็ได้ยิน
“ไม่ทันไรก็ด่า ‘ผัว’ แล้วเหรอ”