บทที่ 2 - เรือนหอร้อนเป็นไฟ [1]

1163 Words
รถเอสยูวีสีดำทะมึนพุ่งทะยานฝ่าความมืดมาบนถนนกรวดเส้นเล็กที่สองข้างทางมีแต่ต้นไม้น้อยใหญ่ ความขรุขระเป็นหลุมเป็นบ่อของถนนทำให้หม่อมราชวงศ์ฟ้าพราวที่นั่งมาในรถหัวสั่นหัวคลอน “ทางเข้าไร่คุณกันดารขนาดนี้เลยเหรอ” หญิงสาวถามเสียงเบาพลางเหลือบตามองซ้ายทีขวาทีอย่างหวาดหวั่น เธอไม่ได้กลัวความลำบาก แต่เธอกลัวผีหรือพวกดักปล้นอยู่ข้างทางมากกว่า “เปลี่ยนใจตอนนี้ผมก็ไม่พากลับวังแล้วนะ คุณหญิงต้องอยู่ที่นี่ เป็นเมียไอ้ดิน ชาวไร่คนนี้” “ไม่ต้องเรียกฉันว่าคุณหญิงแล้ว” “ทำไม” ภูริดลหันหน้ามามองหญิงสาวข้างกายผ่านความมืดด้วยความสงสัย ปกติชนชั้นสูงมักจะเจ้ายศเจ้าอย่าง ชอบให้คนเรียกแบบให้เกียรติเต็มยศ แต่ผู้หญิงคนนี้กลับไม่ชอบ “ตอนนี้ฉันไม่ใช่หม่อมราชวงศ์ฟ้าพราว ดุษฎีรังสรรค์แล้ว แต่เป็นนางฟ้าพราว พสุนธราไพศาล” สถานะของเธอเปลี่ยนไปตั้งแต่จรดปากกาเซ็นชื่อในทะเบียนสมรสกับเขาแล้ว ถึงแม้ว่าตามกฎหมาย หม่อมราชวงศ์เมื่อแต่งงานกับสามัญชนจะไม่ได้ต้องลาออกจากฐานันดรศักดิ์ก็ตามแต่ทุกอย่างจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป ที่สำคัญเธอก็ไม่ใช่คนเจ้ายศเจ้าอย่าง ถ้าไปอยู่ในไร่ เธอก็อยากทำตัวให้กลมกลืนกับคนที่นั่น “ถ้างั้นจะให้เรียกว่าอะไร” “แล้วแต่คุณ” “งั้นเรียก ‘เมียจ๋า’ ก็แล้วกัน” เขาแกล้งกวนประสาท “ไม่เอา” “ไหนบอกว่าแล้วแต่ผมไง” “เรียกแบบนี้ ใครได้ยินเข้าฉันอายเขาตายเลย” “เป็นเมียผมมันน่าอายตรงไหน” ชายหนุ่มถามเสียงขุ่น แผลเก่าในใจถูกสะกิดจนเลือดซิบ “ฉันไม่ได้อายที่เป็นภรรยาคุณ...” “เมีย!” หนุ่มชาวไร่พูดแทรกเสียงแข็ง “ไม่ต้องมาใช้คำว่า ‘สามี-ภรรยา’ กับผม พูดคำว่า ‘ผัว-เมีย’ แบบชาวบ้านทั่วไป ผื่นคงไม่ขึ้นปากหรอกมั้ง” “คนเถื่อน” ความจริงเธออยากด่าเขาว่า ‘คนถ่อย’ แต่ก็กระดากปากเพราะปกติเธอไม่พูดคำหยาบ “ฉันไม่เถียงกับคุณแล้ว ฉันเหนื่อย” ฟ้าพราวยกมือยอมแพ้ เธอเถียงกับเขามาตลอดทางตั้งแต่ออกจากกรุงเทพ จนถึงทางเข้าไร่บนดอยที่เชียงรายนี่ “ฉันไม่ได้อายที่เป็นเมียคุณ แต่อายถ้าคุณจะเรียกฉันแบบนั้นต่อหน้าคนอื่น เวลาคุณพูดคำนี้ ไม่รู้สึกขนลุกบ้างเหรอ” “ถ้าอยู่กันสองคนก็เรียกได้...?” “แล้วแต่คุณสิ” ภูริดลเหลือบมองเสี้ยวหน้าของภรรยาผ่านความมืดอย่างพิจารณาครู่หนึ่งก่อนถาม “ชื่อฟ้าใช่มั้ย” “ใช่” “ฟ้า...ดิน” เขาพึมพำกับตัวเองแผ่วเบาแล้วแค่นหัวเราะคล้ายเยาะหยันตัวเอง “ไม่อยากเชื่อว่าชาวไร่ชั้นต่ำอย่างผมจะได้ดอกฟ้าอย่างคุณหญิงมาเป็นเมีย” ฟ้าพราวจับความรู้สึกเจ็บปวดกับอะไรบางอย่างในน้ำเสียงของเขาได้ เธอมองเสี้ยวหน้าคมคร้ามผ่านความมืดสลัวอย่างครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนพูดด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวล “คุณรู้อะไรมั้ย” “รู้อะไร” “ไม่มีใครกดเราให้ต่ำได้ ถ้าเราไม่กดตัวเองลง” ภูริดลนิ่งเงียบ กำพวงมาลัยรถแน่นจนแทบจะแหลกคามือ ความทรงจำในวัยเด็กวิ่งวนอยู่ในหัว มันคือฝันร้ายที่เขาอยากลืม แต่กลับฝังแน่นอยู่ในใจจนลบไม่ออก “ผู้ดีอย่างคุณหญิงก็พูดได้สิ” เขาแค่นเสียงในลำคอ และยังคงเรียกเธอว่า ‘คุณหญิง’ ตามเดิมด้วยความชินปาก “ฉันไม่รู้ว่าคุณเคยผ่านเรื่องเลวร้ายอะไรมา แต่ต่อไปอย่าดูถูกตัวเองแบบนี้อีก คนเราจะสูงหรือต่ำ ขึ้นอยู่กับการกระทำ ไม่ใช่ชาติกำเนิด ฐานะ หรืออาชีพ” “จะมาเป็นเมียหรือเป็นแม่กันแน่” “ถ้าเลือกได้ฉันก็ไม่อยากเป็นทั้งสองอย่าง” “แต่ผมอยากเป็นผัวคุณหญิงจนตัวสั่นไปหมดแล้ว” หนุ่มชาวไร่สลัดโหมดเศร้าทิ้งไปแล้วสวมบทคนเถื่อนตามเดิมเพื่อกลบเกลื่อนรอยแผลในใจ “หยาบคายอีกแล้วนะ” ว่าแล้วก็ยื่นมือไปหยิกที่หลังมือของเขาที่กำพวงมาลัยรถอยู่อย่างแรง “โอ้ย!” คนถูกหยิกแกล้งร้องเสียงดัง ทั้งที่ความจริงแล้วเจ็บน้อยกว่ามดกัดอีก “แค่นี้ถึงกับต้องทำร้ายร่างกายผัวเลยเหรอ” ฟ้าพราวกลอกตามองบนกับคำว่า ‘ผัว’ ที่ได้ยินเกินร้อยครั้งตั้งแต่นั่งรถออกจากกรุงเทพฯ มาด้วยกันจนกระทั่งถึงเชียงราย ไม่รู้จะย้ำอะไรนักหนา “เมื่อไหร่จะถึงสักที ฉันเมื่อยไปหมดแล้วนะ ง่วงด้วย” “ใกล้ถึงแล้ว” ตอบพลางเหลือบมองเวลาที่คอนโซลหน้ารถ เห็นว่าเกือบตีหนึ่งแล้ว ไม่แปลกที่ภรรยาป้ายแดงของเขาจะง่วง แต่อย่าคิดว่าถึงบ้านแล้วจะได้นอนหลับพักผ่อนสบายๆ คืนนี้เป็นคืนเข้าหอ เขาไม่ปล่อยให้เจ้าสาวของเขาหลับง่ายๆ แน่ บ้านของภูริดลเป็นบ้านไม้ท่อนซุงชั้นเดียวสไตล์ตะวันตก ยกพื้นสูง มีบันไดสามขั้นเพื่อเดินขึ้นสู่ตัวบ้าน ภายใต้ความสลัวของแสงไฟสีนวลเพียงดวงเดียวที่เปิดอยู่เหนือประตูหน้าบ้านทำให้ฟ้าพราวมองเห็นบรรยากาศโดยรอบไม่ชัดนัก แต่ก็รู้ว่าบ้านหลังนี้มีพื้นที่กว้างขวาง มีสวนหย่อมที่ปลูกไม้ดอกซึ่งส่งกลิ่นหอมยามค่ำคืนอยู่ด้านข้างตัวบ้าน “เข้าไป” เจ้าของบ้านที่เปิดประตูค้างไว้บอกเสียงเข้ม เมื่อฟ้าพราวเดินเข้าไปแล้วเขาจึงปิดประตูตามหลัง ภายในห้องโถงมืดสลัว มีเพียงแสงไฟจากภายนอกส่องเข้ามาพอให้มองเห็นเลือนลาง ภูริดลไม่เปิดไฟ แต่กลับกำข้อมือหญิงสาวที่ยังอยู่ในชุดเจ้าสาวไว้แน่นแล้วพาเดินไปที่ห้องนอนซึ่งอยู่ด้านในสุด “ห้องนอนของเรา” เขาบอกพลางเดินไปกดสวิตช์เปิดไฟ “ของเราเหรอ” ฟ้าพราวขมวดคิ้วอย่างข้องใจ “ใช่ ห้องนอนของคุณหญิงกับผม หรือจะเรียกอีกอย่างว่า ‘ห้องหอ’ ก็ได้” “เอ่อ...ฉันคิดว่า...” “คิดว่าเราแต่งงานกันด้วยความไม่เต็มใจแล้วผมจะแยกห้องนอนกับคุณหญิงงั้นสิ” ภูริดลพูดอย่างรู้ทัน “ก็ควรเป็นแบบนั้นไม่ใช่เหรอ” ตอบอ้อมแอ้มแล้วหาเหตุผลมาหว่านล้อมเพื่อประวิงเวลาการเสียตัวออกไปสักนิดก็ยังดี “เราน่าจะทำความรู้จักกันให้มากกว่านี้ก่อน แล้วค่อย...” “ค่อย ‘อึ๊บ’ กันน่ะเหรอ” “นี่คุณ พูดอ้อมๆ หน่อยก็ได้ป่ะ” คนที่ยังอยู่ในชุดเจ้าสาวเต็มยศปั้นหน้าแทบไม่ถูก เธอทำใจกับเรื่องนี้มาบ้างแล้วก็จริง แต่ไม่คิดว่ามันจะเกิดขึ้นตั้งแต่คืนแรกที่แต่งงานกันแบบนี้
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD