“อยู่หน้าประตูเจ้าค่ะ น้องรองวิ่งตามข้ามา” ฟางซินบอกทุกคนและหันมองไปทางประตู
“ออกมาเดี๋ยวนี้ฟางอิน มิเช่นนั้นแม่จะตีเจ้า!!!”
จบคำสือซิงเซียน ตู้ฟางอินก็ค่อยๆ เดินออกมาจากหลังประตูด้วยชุดสีชมพูรุ่มร่าม ปลายกระโปรงขาดวิ่นชุดเปื้อนฝุ่นไปทั้งตัว
“นั่นชุดที่ข้าปักให้ฟางซิน!!! …เหตุใดเจ้ากล้านำชุดของนางไปใส่” แม่สาม (เหยาเหมยลี่) เนื่องจากนางมิมีลูกนางจึงรักตู้ฟางซินมาก สิ่งใดที่เป็นสินเดิมของนาง นางก็มักจะนำมาให้ฟางซินเสมอ ชุดเสื้อผ้าที่ใช้ออกงานสำคัญก็ล้วนเป็นเหยาเหมยลี่ที่เป็นผู้ตัดให้ฟางซินทุกตัว แต่เมื่อเห็นชุดสวยที่ฟางอินใส่ถึงกับเลือดขึ้นหน้าและเกลียดชังบุตรสาวของสือซิงเซียนเพิ่มมากขึ้น
“ข้า..ข้าา..” เมื่อเห็นสายตาทุกคนจ้องมองฟางอินถึงกับเข่าทรุด น้ำตาหยดลงสะอึกสะอื้น “ข้าอยากเป็นพี่ใหญ่…ข้าอยากเก่งอยากงดงามแบบนาง ท่านพ่อกับท่านแม่มิเข้าใจหรอก..ฮืออออ..อออ” สองมือขยำชุดที่เปื้อนฝุ่นจนยับ
“อยากเป็นเหมือนนางเหตุใดเจ้ามิหัดเรียนรู้เล่า!!! ..ข้าจะตีเจ้าจนเลือดออกเลยคอยดูเถิด” แม่รองเดินเข้าไปลากฟางอินออกไปด้านนอกเสียงร้องไห้ของฟางอินดังลั่นเต็มลานกว้าง กลุ่มเด็กน้อยที่มีตู้ชางไห่นำขบวนต่างพากันมาวิ่งล้อมรอบฟางอิน หัวเราะเยาะเย้ย
ตู้ชงไห่ ทำหน้าตาเบื่อหน่ายกับความวุ่นวายของบุตรสาวคนนี้ที่ชอบหาเรื่องพี่สาวมิได้เว้นวัน “พ่อบ้านมู่สั่งคนไปจัดการเรือนนอนของฟางซินให้เรียบร้อยในวันนี้ด้วยข้าจะไปพักผ่อน” ก่อนออกจากห้องโถงก็บอกฟางซินอีกครั้ง “วันพรุ่งนี้ยามเว่ย (13.00) สกุลฝู่จะมาจิบชาร่วมกับดูตัวเจ้า แต่งกายให้งดงามล่ะ” จบคำก็เดินออกไป สกุลฝู่เป็นสกุลค้าข้าวแม้ร่ำรวยมิเท่าสกุลตู้แต่ก็มิได้ถือว่าแย่นัก บุตรชายคนโตของนายท่านสกุลฝู่มีอายุมากกว่านางหกปี มีข่าวว่าร่ำเรียนแต่วิชาการเคร่งครัดแม้ตู้ฟางซินจะมิเคยพบเห็นแต่ก็เคยได้ยินชื่อเสียงมาบ้าง
“ท่านแม่..ข้าเพิ่งสิบสองหนาวนะเจ้าคะ?” ฟางซินมิเข้าใจเหตุใดต้องรีบมาดูตัวกันเล่า
“เพียงแค่ดูตัว หาใช่หมั้นหมายเจ้าอย่าได้กังวลไปเลยหากมิชอบพอต่อกันก็มิต้องสานต่อทุกสิ่งล้วนแล้วแต่เจ้า จงอย่าได้กังวล” แม่ใหญ่พูดปลอบ…ใยนางจะมิสงสารบุตรสาวของตัวเองเล่า แต่เพราะเป็นบุตรคนโตจะต้องหาคู่ครองที่สมน้ำสมเนื้อมิให้น้อยหน้า อับอายผู้ใด
ตั้งแต่ยามที่ฟางซินยังเล็กนางก็มิเคยมีโอกาสได้วิ่งเล่นเหมือนเด็กคนอื่นๆ ทุกๆ วันอ่านแต่ตำราคำนวณตัวเลข คร่ำเคร่งกับกิจการที่ขยายใหญ่ไปเรื่อยๆ หากนางเป็นบุรุษก็คงจะดีกว่านี้ บุตรสาวบ้านอื่นร่ำเรียนวิชาเย็บปักถึงแม้ฟางซินจะพอมีฝีมืออยู่บ้างแต่ก็มิได้ทำออกมาแล้วสวยงามเหมือนสตรีที่ออกไปร่ำเรียนการบ้านการเรือนในสถานศึกษา ใครเลยจะรู้ว่าตู้ฟางซินเติบโตมาโดยที่มิเคยรู้จักคำว่า ‘สหาย’
“ก็ขอให้เป็นเช่นนั้นเถิดเจ้าค่ะ..วันนี้ข้าเหนื่อยเหลือเกินท่านแม่” ฟางซินเดินเข้าไปนั่งโอบกอดมารดา
“เหนื่อยก็กลับไปนอนพักเถิด บ่าวคงจะเก็บกวาดเรือนเล็กเรียบร้อยแล้วกระมัง” แม่ใหญ่เอ่ยพร้อมกับลูบหัวนาง
“แม่สามจะตัดเย็บชุดให้แก่เจ้าใหม่นะฟางซิน ชุดที่ฟางอินเอาไปใส่ก็เอาให้นางไปเสีย ช่างเป็นสตรีที่มิมีความน่าเวทนาเลยแม้แต่นิด” แม่สามพูดบอกฟางซินอย่างรักใคร่ “เอาให้สวยกว่าชุดเดิมที่เสียไปเลยดีหรือไม่”
“ขอบพระคุณเจ้าค่ะแม่สาม” ฟางซินยิ้มหวาน ก่อนจะขอตัวกลับเรือนพักโดยมีจินเมี่ยวเดินตามไป แม้วันนี้จะอยู่ร่วมในเหตุการณ์ทุกอย่างแต่มิอาจจะเข้าไปยุ่งเกี่ยวเรื่องของเจ้านายได้
“คุณหนูจะชำระร่างกายหรือไม่เจ้าคะ บ่าวจะไปเอาน้ำอุ่นเข้ามาให้” จินเมี่ยวเอ่ยถาม
“เอาน้ำอุ่นอ่างเล็กมาก็พอข้าแค่จะเช็ดตัว” ฟางซินเดินมาจนถึงเรือนหลังเล็กที่ตอนนี้ถูกจัดการให้คงอยู่ในสภาพเดิมก็ให้พยักหน้าอย่างพอใจ “หวังว่าคงมิมีเรื่องใดอีกนะ”
“บ่าวก็หวังไว้เช่นนั้นเจ้าค่ะ”
---------------๑------------
วันต่อมาในยามเว่ย (13.00) ตู้ชงไห่กับบรรดาฮูหยิน-อนุและสามคนพ่อแม่ลูกสกุลฝู่นั่งจิบน้ำชาในลานกว้างหน้าเรือนใหญ่ ตู้ชงไห่สั่งให้พ่อบ้านมู่ไปเชิญคุณหนูใหญ่ให้มาร่วมจิบชา
“ฟางซินคาราวะผู้อาวุโสฝู่ทั้งสองและคุณชายฝู่เจ้าค่ะ” ตู้ฟางซินย่อเข่าลงอย่างมีมารยาทพลางเงยหน้าขึ้นสบตาคุณชายฝู่ ‘หล่อเหลาดูมีสกุลยิ่งนัก’ เห็นบุรุษหนุ่มยิ้มให้ก็ทำเอาฟางซินเอียงอายหลบตาขวยเขิน
“บุตรสาวของท่านตู้ช่างน่ารักอ่อนหวานยิ่งนัก เจ้าว่าหรือไม่เซี่ยยี่” ฝู่ลี่กังเอ่ยถามบุตรชายที่ดูจะพึงใจแม่นางน้อยฟางซินเช่นกัน
“ขอรับท่านพ่อ น้องฟางซินช่างน่ารักยิ่งนัก” เซี่ยยี่ยกยิ้มอย่างหมายมาด
“555 เช่นนั้นเจ้าใยมิชวนน้องไปเดินพูดคุยกันเล่า” หันมองตู้ชงไห่ที่พยักหน้ารับ “คงมิเป็นไรกระมังหากลุงจะขอวานให้แม่หนูพาพี่เซี่ยยี่เดินชมรอบๆ บ้านเจ้า” ฝู่ลี่กังเอ่ยถามฟางซินอย่างเปิดเผย เพราะอยากจะเกี่ยวดองกับสกุลตู้ผู้ร่ำรวยเต็มแก่
“ท่านพ่ออนุญาตหรือไม่เจ้าคะ” ฟางซินถามอย่างประหม่า นางมิเคยถูกบุรุษมองตาหวานเช่นนี้ก็ให้สะเทิ้นอายยิ่งนักจะให้พาไปเดินเล่นรอบๆ ก็มิงามกระมัง แต่บิดานางมิคิดเช่นนั้น
“เอาสิ พูดคุยกันบ้างก็ดีพ่อมิได้ขัดอันใด” เมื่อตู้ชงไห่เปิดทางเซี่ยยี่ก็ชอบใจ
“ขอบพระคุณท่านอาขอรับ”ฝ่ายบุรุษ รีบตอบรับ “เชิญน้องฟางซินเถิด” เอ่ยด้วยท่าทีสนิทสนมผู้ใดจะรู้ได้ว่าภายใต้หน้าตาคงแก่เรียนคร่ำเคร่งวิชานั้น ฝู่เซี่ยยี่เป็นบุรุษที่เจ้าชู้เพียงใดสาวใช้รุ่นเยาว์มิพ้นวัยปักปิ่นในบ้านทุกคนต่างก็ล้วนเสียความบริสุทธิ์ให้เขาทั้งสิ้นพร้อมยังถูกข่มขู่มิให้บอกกล่าวผู้ใดหากใครมิฟังคำย่อมมิมีชีวิตอยู่รอดได้สักราย ยิ่งฟางซินมีอายุมิเกินสิบห้าหนาวเขาก็ยิ่งชอบนัก ภายในใจบุรุษกระหยิ่มยิ้มย่อง คึกคัก
“เจ้าค่ะ” ฟางซินมิได้ขัดบิดาเดินนำบุรุษรูปงามเข้าไปในสวนด้านข้างไม่ไกลจากท่านพ่อท่านแม่มากนัก เมื่อปลอดผู้คนเซี่ยยี่ก็เริ่มพูดขึ้น
“เจ้ายินดีที่จะหมั้นหมายกับพี่ไว้ก่อนหรือไม่น้องฟางซิน”
“มิเร็วไปหรือเจ้าคะคุณชาย” ฟางซินตกใจ มิใช่ว่าเราพึ่งพบกันหรอกเหรอเหตุใดจึงรีบร้อนนัก
“มิเร็วไปหรอก เจ้าเชื่อเรื่องรักแรกพบเมื่อยามสบตาหรือไม่” เดินเข้าไปใกล้และจ้องมองนางจนเขินอาย “พี่เพียงพบเจ้าเมื่อครู่ก็เป็นเช่นนั้นแล้ว จะหมั้นหมายกับสตรีที่พึงใจตั้งแต่แรกพบใยพี่จักต้องคิดมากเล่า” ฟางซินหลบสายตาบุรุษไปด้านข้าง นางมิเคยถูกผู้ใดเกี้ยวพาตรงๆ เช่นนี้มาก่อน ทำได้เพียงแค่กัดริมฝีปากครุ่นคิด
“แต่เรายังมิได้พูดคุยกันเลยนะเจ้าคะ นิสัยใจคอความชอบหรือเรื่องใดก็มิเคยได้รู้” หากตกลงเช่นนี้นางก็จะกลายเป็นหญิงใจง่ายเกินไปมิใช่หรือ
“หาใช่เรื่องสำคัญ เราหมั้นหมายไว้ก่อนพอเจ้าพ้นวันปักปิ่นพี่จะบอกท่านพ่อให้ดูฤกษ์ยามแล้วจัดงานมงคลทันที” ‘หากหมั้นหมายแล้วเขาก็จะเข้าหอกับนางก่อนแล้วค่อยสมรสทีหลังถึงยามนั้นนางก็มิมีหน้าไปหาบุรุษอื่นใดได้อีก ทั้งนางทั้งทรัพย์สินจะเป็นของเขา..หึ’ เซี่ยยี่วางแผนในใจ
“แต่สำคัญสำหรับข้าเจ้าค่ะ ขอคุณชายอย่าพึ่งรีบร้อนนะเจ้าคะข้าขอเวลาศึกษากันสักสองปีแล้วค่อยหมั้นหมายก็มิสายเกินไปเพราะข้าก็ยังมิได้ปักปิ่น” ฟางซินมิใช่คนโง่ ถึงแม้นางจะพึงใจต่อบุรุษผู้นี้ตั้งแต่ยามเห็นหน้าครั้งแรกเช่นกัน แต่จากการที่นางรู้เห็นทุกอย่างของบิดามาโดยตลอดทำให้รู้สึกมิค่อยวางใจกับบุรุษผู้ใดนัก
“เช่นนั้นพี่ก็มิขัดใจเจ้า..แต่พี่ขอแวะเวียนมาหาเจ้าบ่อยๆ เพื่อทำความรู้จักคุ้นเคยได้หรือไม่?” เซี่ยยี่ทำใจให้เย็นลงเพื่อการข้างหน้า เขาจะต้องได้สตรีเด็กและร่ำรวยคนนี้แน่นอนมิมีทางรอถึงสองปีเพราะเพียงหนึ่งปีเขาก็จะรวบรัดทั้งหมดทั้งตัว
“แล้วแต่คุณชายเจ้าค่ะ” ฟางซินตอบรับเอียงอาย
----------------๑----------------------
ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมาทั่วทั้งเมืองหลวงต่างรับรู้ว่าสองคนเป็นคู่หมายกันบางครั้งเห็นฝ่ายชายพาฝ่ายหญิงไปเดินที่ตลาด ไปตรวจบัญชีร้านและเห็นรถม้าสกุลฝู่จอดอยู่หน้าบ้านสกุลตู้เป็นประจำนับเวลาได้ร่วมสองเดือน ทุกครั้งที่พบเจอพูดคุยกันตู้ฟางซินมิเคยยินยอมให้ฝู่เซี่ยยี่แตะต้องผิวกายแม้เพียงสักครั้งถึงใจนางจะอ่อนไหวต่อบุรุษตรงหน้ามากกว่าครึ่งแล้วก็ตาม เฉกเช่นวันนี้
“พี่เฝ้าเพียรมาหาเจ้าอยู่ทุกวันมิได้ว่างเว้นรักเพียงเจ้าผู้เดียวแต่เจ้าจะมิเห็นใจพี่ให้พี่ได้จับมือของเจ้าสักครั้งเลยหรือ?” เซี่ยยี่ออดอ้อนให้นางเห็นใจ
“พี่เซี่ยยี่อย่าพึ่งร้อนใจเจ้าค่ะ” คำกล่าวสนิทสนมที่เขาเอ่ยขอให้นางเรียกนางก็เรียกแล้วเหตุใดเขาจึงใจร้อนมีสมกับท่าทีที่แสดงต่อผู้คนภายนอกเลยสักนิด “ท่านจะมิรอให้ข้าพร้อมเลยหรือเรื่องเช่นนี้เป็นเรื่องใหญ่สำหรับสตรีนะเจ้าคะ” หากเขาจับต้องนางนั่นหมายความว่านางต้องเลือกเขาเช่นนั้นเขาก็ควรรอก่อน
“พี่คงรักเจ้ามากเกินไปจึงคิดน้อยเช่นนี้ นี่จะเข้ายามโหย่ว (17.00) แล้วพี่ต้องกลับไปดูบ่าวขนรำข้าว พรุ่งนี้พี่จะมาหาเจ้ายามเว่ย (13.00) เช่นเดิมดีหรือไม่?”
“เจ้าค่ะ..ฟางซินจะรอนะเจ้าคะ” นางยิ้มให้อย่างน่ารัก จวบจนฝู่เซี่ยยี่ลุกขึ้นเดินออกไป
---------------๑-------------
หน้าประตูทางออกมีรถม้าสกุลฝู่จอดรอคุณชายที่เดินออกมาด้วยใบหน้าบึ้งตึง เมื่อเซี่ยยี่ก้าวขึ้นไปบนรถ สองตาก็มองเห็นสิ่งที่รออยู่พร้อมยกยิ้มสั่งคนรถเสียงดัง
“ออกรถ วนไปให้รอบเมืองหลวงยังมิต้องเข้าบ้านข้าจนกว่าข้าจะสั่ง” ผ้าม่านของรถม้าซ้อนทับปิดบังสายตาผู้คนถึงสามชั้นปิดกั้นผู้คนมองเห็น
เซี่ยยี่คว้าตัวหญิงสาวแรกรุ่นวัยสิบสามหนาวที่นั่งรออยู่ในรถม้าเข้ามากอดฟัดนัวเนีย กระชากชุดจนขาดวิ่นไปหมดพร้อมกับพร่ำด่า “นังสตรีโง่เง่า รอให้รักข้าเมื่อใดข้าจะย่ำยีมิให้หลงเหลือความงามเลยคอยดูสิ!!!!” ปลดกางเกงแล้วเสือกไสตัวตนแข็งขึ้นเป็นลำใส่กายสาวที่ร้องครวญครางเบาๆ อยู่ในรถม้าที่เคลื่อนไหว ไปรอบเมืองโดยที่คนด้านในก็มิได้หยุดขยับกายผ่อนปรนเรี่ยวแรงแม้สักนิด