EP 03 เด็กขี้ลืม

4394 Words
EP 03 เด็กขี้ลืม  “รอผมแป๊บนึงนะครับ” ผมบอกลุงคนขับแท็กซี่อย่างสุภาพ ก่อนจะเปิดประตูรถแล้วก้าวเท้าลงมาหาไอ้ติณที่ยืนรอผมอยู่ที่หน้าคอนโดฯพอดี ใจหนึ่งก็อยากจะนั่งรถเมล์มานะ แต่กลัวว่าจะไม่ทันเอากุญแจรถมาคืนให้มัน เดี๋ยวจะทำให้มันต้องไปมหา’ลัยสาย “อ่ะ นี่กุญแจรถนาย” “ตกลงเมื่อคืนมึงไม่ขับรถกูกลับจริงดิ” “อืม เราบอกแล้วไงว่าเราจะกลับแท็กซี่” ผมยื่นกุญแจรถในมือคืนให้ซึ่งมันก็รับไปแบบงงๆ “แล้วนี่มึงจะไปไหน” “ไปมหา’ลัย” “ก็ไปพร้อมกูดิ กูก็กำลังจะไป” “ไม่เป็นไร นายไปเถอะ เราบอกคนขับไปแล้วว่าให้รอ เดี๋ยวเขาจะว่าเอา” ผมบอกด้วยความเกรงใจ แอบดักทางเอาไว้แล้วเพราะว่าผมไม่อยากไปมหา’ลัยพร้อมกับมัน ใจหนึ่งก็อยากจะแนะนำว่าให้มันเอารถไปซ่อมกระจกเสียก่อนแต่ก็พอรู้ว่ามันคงจะด่าผมว่าเสือกกลับมาแน่ๆ “งั้นมึงรอกูแป๊บ” “รอทำไม” “กูจะไปแท็กซี่พร้อมมึงไง” ไอ้ติณบอกแล้ววิ่งไปที่รถของมัน เสียงปลดล็อกรถของมันดังขึ้นก่อนที่มันจะเปิดประตูแล้วก้มหยิบบางอย่างออกมา ซึ่งความจริงแล้วกระจกรถมันเองก็แตกไปแล้วทั้งบานนะ ผมไม่แน่ใจเหมือนกันว่าระบบล็อคจะทำให้ข้าวของในรถของมันปลอดภัยดีรึเปล่า แต่ช่างหัวมันเถอะ หลังจากที่ไอ้ติณได้ของที่ต้องการ มันก็วิ่งกลับมาราวกับว่าทำเวลาอยู่ ผมก็ได้แต่มองมันแบบงงๆ ตั้งแต่มันวิ่งไปจนมันวิ่งกลับมาหยุดยืนอยู่ตรงหน้า อยากจะรู้ว่ามันจะไปแท็กซี่พร้อมกับผมทำไมในเมื่อมันมีรถยนต์ใช้ “ไปดิ มองเหี้ยอะไรอยู่ล่ะ” “แล้วทำไมนายต้องไปแท็กซี่” “คำถามมึงนี่หมดยากจังนะ ไปเร็ว ให้แท็กซี่จอดรถนานๆ เดี๋ยวมึงจ่ายค่าแท็กซี่หมดตัวหรอก” ไอ้ติณพูดเร็วๆ พลางล็อกคอผมแล้ววิ่งไปขึ้นแท็กซี่พร้อมๆ กับมัน นี่แปลว่าผมต้องเป็นคนจ่ายค่าแท็กซี่เหรอ? ไอ้ติณเปิดประตูรถแล้วมุดตัวเข้าไปนั่งชิดใน จากนั้นผมก็รีบตามมันเข้ามาติดๆ สายตาของโชว์เฟอร์มองมาที่เราอย่างมีนัยยะสำคัญจนผมต้องรีบขยับตัวถอยห่างจากไอ้ติณนิดหน่อยเพื่อเว้นช่องว่างระหว่างเราเอาไว้ “ไปตึกวิศวะเลยลุง หล่อเทพฯ ขนาดนี้ไม่ต้องบอกเนอะว่าวิศวะมหา'ลัยไหน” ไอ้ติณพูดเหมือนสนิทกับโชว์เฟอร์มานมนาน เอาเถอะ ผมว่าผมเองก็ควรจะปรับตัวและเริ่มจะชินกับนิสัยของมันได้นิดหน่อยแล้วหละ ผมได้แต่นั่งเงียบๆ แล้วมองออกไปนอกกระจกรถ แต่ไหนแต่ไรมาผมเป็นคนเงียบๆ แบบนี้อยู่แล้ว ไม่ค่อยมีเพื่อนเท่าไรเพราะเวลาส่วนมากของผมหมดไปกับการอ่านหนังสือและทำงานพาร์ทไทม์ เพื่อนที่มีก็แค่มีไว้สำหรับเวลาทำงานกลุ่มส่งอาจารย์เท่านั้น แต่โดยส่วนมากผมจะรับมาทำคนเดียว ผมไม่สนิทกับใครเป็นพิเศษเพราะว่าผมไม่ค่อยได้เอาใจใส่เพื่อนเท่าไรนัก เกรงใจพวกมันเวลาที่นัดรวมตัวกันแล้วผมต้องทำงาน “มึงได้ข่าวไอ้โจรห่านั่นบ้างมั้ยได้คิม” “เมื่อเช้าตอนเดินออกมาได้ยินคนแถวนั้นบอกว่าโดนตำรวจรวบไปแล้ว มีเจ้าทุกข์หลายคนเพราะว่ามันคงจะวิ่งราวแถวนั้นเป็นอาชีพ” ผมเล่าอย่างไม่ใส่ใจ ไอ้ติณพยักหน้าเออออเมื่อผมพูดจบ “แล้วแขนนายล่ะ ตกลงจะไม่ไปหาหมอจริงๆ เหรอ” รีบถามเมื่อนึกขึ้นได้ และอดไม่ได้ที่จะหันไปมองแขนของมันสักหน่อย แต่ว่านอกจากแขนของไอ้ติณแล้ว ผมยังแอบเห็นสายตาของโชว์เฟอร์ที่กำลังแอบมองผมผ่านทางกระจกมองหลังเป็นระยะๆ ผมรู้นะว่าลุงคิดอะไร แต่ตราบใดที่ลุงคิดเงียบๆ ผมจะไม่โต้แย้งอะไรและคิดว่าคงห้ามความคิดลุงไม่ได้ แต่ผมแค่อยากเตือนให้ลุงดูหน้าไอ้คนข้างๆ ผมไว้สักนิด ถ้าลุงรักชีวิตลุงแค่นั่งคิดไปเงียบๆ ก็แล้วกัน อย่าพูดออกมาเชียว ไม่งั้นตัวใครตัวมัน “คราวก่อนกูโดนเก้าอี้ไม้ฟาดมาทั้งตัวกูยังนอนพักแค่สองชั่วโมง กับอีแค่ไม้ผุๆ ใกล้ฝั่ง รอวันตาย มึงคิดว่าจะทำอะไรกูได้งั้นเหรอ” ไอ้ติณยังคงโชว์แมน และมันก็เหมือนจะรู้แล้วว่าเราทั้งคู่โดนแอบมอง มันถึงได้พูดไปช้อนตามองคนขับแท็กซี่ไปแบบนั้นจนลุงแกต้องเป็นฝ่ายหลบสายตาของมันไปเอง ผมบอกแล้วว่าให้ลุงมองหน้ามันก่อนจะคิด เพราะถึงท่าทางผมจะดูเป็นผู้ชายสุภาพจนอาจน่าสงสัย แต่ลุงน่าจะมองหาแนวโน้มความเป็นไปได้อย่างอื่นประกอบสักนิดนะ นี่ลุงคิดว่าคนข้างๆ ผมมันจะมีแนวโน้มขนาดนั้นเลยหรือไง หรือเวลาที่เห็นผู้ชายสองคนไปไหนมาไหนด้วยกันก็จะยัดเยียดความเป็นเกย์ให้เขาไปเสียหมด เฮ้อ น่าเบื่อคนประเภทนี้นะ ไอ้พวกที่ไม่รู้จักเขาดีแล้วเที่ยวคิดแทนเนี่ย เอาเป็นว่าอย่าไปให้ความสำคัญกับคนประเภทนี้มากก็แล้วกัน “นายคิดเอาเองน่ะสิว่าไม่เจ็บ อย่างน้อยก็น่าจะไปเอ็กซเรย์ดูว่ามีกระดูกหักหรือร้าวบ้างรึเปล่า” ผมอดไม่ได้ที่จะบ่น ร่างกายของคนเรามันก็แค่เนื้อหนังหุ้มกระดูก ถึงแม้จะรู้สึกว่าไม่มีอะไรผิดปกติ แต่ก็ไม่เห็นจะต้องรอให้มันเจ็บปวดจนทนไม่ไหวถึงค่อยไปหาหมอนี่นา “บ่นเหมือนแม่กูเข้าไปทุกวันแล้วนะมึง ถ้ามึงมีนมอีกสักหน่อยคงนอนเอากับพ่อกูได้” “กลัวบาปกรรมบ้างมั้ยที่พูดออกมา” จนแล้วจนรอดมันก็ทำให้ผมเบื่อที่จะพูดกับมันได้ทุกที ผมกับไอ้ติณไม่ได้พูดอะไรกันอีกเลยกระทั่งโชว์เฟอร์จอดรถที่หน้าตึกตามที่ไอ้ติณบอกไปตั้งแต่แรก ผมเอาแต่มองออกนอกกระจกและคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย ในขณะที่ไอ้ติณนั่งเล่นเกมจ้องตากับคนขับผ่านกระจกมองหลังเป็นระยะๆ ท่าทางมันจะไม่ชอบใจสักเท่าไรนัก แต่ใครใช้ให้มันตามผมขึ้นแท็กซี่มาล่ะ “มึงไม่ต้อง กูจ่ายเอง” ไอ้ติณโชว์ป๋าแล้วหยิบแบงค์พันจ่ายค่าแท็กซี่ ซึ่งผมก็ไม่ได้ว่าอะไรหรอกเพราะยังไงเราก็นั่งมาด้วยกัน ก็แค่กำลังปรับสีหน้าไม่ถูกเพราะเหมือนจะเห็นสายตาของคนขับที่ยังคงไม่เลิกแอบมองผมกับไอ้ติณเลย “ลงไปสิ หรือต้องให้กูถีบ” “นายหลุดออกมาจากยุคทาซานรึไง” ผมบ่นพึมพำ “มึงเห็นกูโหนเถาวัลย์รึไงล่ะ” ไอ้ห่านี่ก็กวนไม่รู้จักเวร่ำเวลา ผมรีบเปิดประตูรถแล้วก้าวเท้าลงมา ซึ่งไอ้ติณเองก็เปิดประตูรถลงจากอีกฟาก ก่อนที่มันจะเดินมายืนบนฟุตบาธข้างๆ ผมแล้วมองผมด้วยสีหน้าหงุดหงิด “อะไร” “มึงดูมันทอนเงินให้กูสิ” ไอ้ติณยื่นมือมาแบให้ผมดู เห็นแล้วผมอยากจะหัวเราะเพราะในมือของมันคือเงินทอนค่าแท็กซี่ที่มีแต่เหรียญ หนึ่งกำมือของมันนั่นน่าจะเป็นร้อยบาทเลยนะ “ใครใช้ให้นายจ่ายแบงค์พันล่ะ” “ก็กูมีแบงค์เดียวนี่หว่า แล้วทำไมเมื่อกี้ตอนที่เห็นกูจ่ายแบงค์พันมึงไม่บอกกูล่ะว่ามึงมีแบงค์ย่อย” “ใครจะรู้ล่ะ” “กูว่าไอ้ลุงเหี้ยนั่นมันต้องตั้งใจกวนตีนกูแน่ๆ” “ก็นายไปว่าเขาเป็นไม้ใกล้ฝั่งทำไม” ผมพูดอย่างรู้ทัน ตอนที่ไอ้ติณพูดว่าไม้ผุๆ ใกล้ฝั่งมันเน้นเสียงดังขนาดนั้น ผมถึงต้องรีบหันหน้าหนีมันยังไงล่ะ “ก็เสือกมองทำไม กูรู้นะว่ามันคิดอะไร” “สนใจความคิดคนอื่นทำไม” “ก็กูเกลียด” ไอ้ติณย้ำออกมาเสียงดัง มันแสดงจุดยืนออกมาชัดเจนจนผมปั้นหน้าไม่ถูก โชคดีที่โทรศัพท์ของผมสั่นขึ้นมาเสียก่อน ผมก็เลยได้โอกาสหันหน้าหนีไอ้ติณออกมา แต่ว่าพอหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วเห็นว่าใครโทรมา ผมก็ไม่ได้รู้สึกสบายใจขึ้นกว่าเดิมเลย “กูบอกแล้วว่าผู้หญิงเขาอ่อยมึง” ไอ้ติณที่ชะเง้อคอมาแอบมองโทรศัพท์ของผมรีบบอก ผมจะไม่ตกใจหรอกถ้าไม่บังเอิญว่าหันหน้าไปมองมันแล้วปลายจมูกผมเฉียดแก้มมันไปนิดเดียว “ไอ้เหี้ยนี่เล่นกูแล้วไง” “นายยื่นหน้ามาใกล้เราเอง คราวหลังอย่ามาเสียมารยาทกับเราอีก” ผมว่าใส่แล้วเป็นฝ่ายเดินหนีไอ้ติณออกมา เมื่อกี้นี้มันว่าผมซะเสียงดังแถมยังยกมือขึ้นมาถูแก้มมันเหมือนจะรังเกียจผมทั้งๆ ที่ผมไม่ได้ตั้งใจจะทำแบบนั้นสักหน่อย มันนั่นแหละที่เสนอหน้ามาเอง ผมเดินหนีไอ้ติณออกมาไกลพอสมควร มันเองก็คงไม่พอใจผมเหมือนกันที่ผมว่ามันกลับไปเรื่องเสียมารยาท มันถึงไม่ได้เดินตามมา หรือไม่ก็อาจจะเกลียดผม...เหมือนอย่างที่มันพูด เพราะเหตุการณ์เมื่อกี้นี้ “ฮัลโหล” ผมตัดสินใจกดรับสายหลังจากที่ไอเดียยังพยายามโทรเข้ามาเป็นสายที่สาม สองสายที่ถูกตัดไปเพราะผมเอาแต่ยืนจ้องหน้าจอมือถือของตัวเองด้วยความลังเล [นั่นคิมใช่มั้ย นี่เราไอเดียเองนะ] “ใช่ๆ เราเอง มีอะไรให้เราช่วยหรือเปล่า” ผมถามไปเรื่อยๆ พร้อมกับที่กำลังเดินขึ้นบันได อย่างน้อยๆ วันนี้ผมก็ไม่ได้มาสายจนต้องวิ่งล่ะน่า [ฉันก็แค่อยากจะเลี้ยงข้าวนายน่ะ ตอบแทนน้ำใจที่นายช่วยฉันไว้เมื่อวาน วันนี้นายพอจะสะดวกรึเปล่า] เอ่อ...สะดวกดีรึเปล่าล่ะเนี่ย “ฉันต้องทำงานช่วงเย็นน่ะ แต่ถ้าเป็นช่วงบ่ายก็พอจะมีเวลา” ผมตอบกลับไปตามความจริง [งั้นช่วงบ่ายก็ได้ แต่ว่า...] ปลายสายเว้นช่วงไปนิดหน่อย ตรงกับจังวะที่ผมเงยหน้ามาเจอไอ้ติณที่กำลังจะเดินมาพอดี [ฉันอยากให้นายชวนติณไปด้วยน่ะ] แล้วสิ่งที่ได้ยินก็ทำให้ผมเม้มริมฝีปากเข้าหากันนิดหน่อยก่อนจะเดินเข้ามาในห้องโดยไม่คิดจะรอไอ้ติณที่กำลังเดินมาเพราะว่ามันขึ้นบันไดมาจากอีกฟากหนึ่งของตัวอาคาร [จะเป็นไรมั้ยถ้าฉันอยากให้นายชวนติณมาด้วย คือว่าฉัน...เอ่อ คือว่า] “เดี๋ยวจะลองถามมันดูก็แล้วกันว่ามันว่างหรือเปล่า” ผมรีบพูดออกไปเพื่อจะได้ไม่ต้องมีใครลำบากใจ ไม่รู้ทำไมผมถึงรู้สึกแปลกๆ ตอนที่ได้ยินไอเดียเอ่ยปากชวนไอ้ติณไปกินข้าวด้วยกัน ทั้งๆ ที่ผมคิดว่าผมเองก็ไม่ได้ชอบเธอสักหน่อย [ขอบใจนะ แล้วเดี๋ยวฉันจะโทรหานายอีกที แล้วเจอกันนะคิม] “อืม” [บาย] “บาย” ผมบอกสั้นๆ ก่อนจะกดวางสาย เก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋าเอาไว้แล้วเงยหน้าขึ้นมาหาที่นั่ง ก่อนจะเดินขึ้นบันไดสโลปไปนั่งที่ชั้นสี่ มุมซ้ายของตัวห้องตามเดิม “เป็นส้นตีนอะไร วางโทรศัพท์แล้วทำหน้าเหมือนคนอกหัก” ผมหย่อนก้นนั่งลงที่เก้าอี้ก้นยังไม่ทันอุ่น เจ้าที่เจ้าทางประจำห้องก็เดินมาหย่อนก้นนั่งลงข้างๆ นี่มันจะตามจองเวรผมไปถึงไหนกัน เมื่อกี้นี้เห็นมันตอนก่อนจะเดินเข้ามาแล้วมันก็หายไป คิดว่าจะไปผุดไปเกิดแล้วgเสียอีก “ไอ้คิม” “เราจะเรียนหนังสือ ถ้าจะมาชวนคุยจนโดนไล่ออกจากห้องอีกนายก็เดินออกไปเลย ทันอาจารย์ยังไม่มา” ผมรีบพูดแล้วหันไปมองหน้าไอ้ติณตรงๆ เบื่อมันฉิบหายเลยแต่ไม่รู้จะอธิบายยังไง “ทำไมมึงต้องเครียดด้วยวะ ไม่พอใจกูเรื่องอะไรเนี่ย ค่าแท็กซี่กูก็จ่ายนะ ไม่ได้บอกให้มึงหารด้วย” ไอ้ติณเริ่มถาม แต่ผมว่ามันไม่เกี่ยวกับเรื่องค่าแท็กซี่นะ “เอ้า มีอะไรก็พูดมา แมนๆ ดิ” ไอ้ติณย้ำเสียงเข้มแล้วผลักไหล่ผมอยู่สองสามครั้ง คำว่าแมนๆ ของมันทำให้ผมเดือดปุดๆ ก่อนจะตัดสินใจปัดมือมันออกแรงๆ “ไอเดียโทรมาชวนนายไปกินข้าว” แล้วผมก็ตัดสินใจพูดออกไปเพื่อเปลี่ยนเรื่อง ผมไม่อยากทำตัวเองให้เป็นปัญหาของใคร และไม่ได้อยากจะทะเลาะกับมันเพราะเรื่องไม่เป็นเรื่องหรอก เราทุกคนมีความคิดไม่เหมือนกัน มันมีสิทธิ์ไม่ชอบเวลาที่ถูกคนอื่นมองมันด้วยสายตาอยากรู้อยากเห็นว่ามันแมนรึเปล่า ในขณะที่ผมเองก็มีสิทธิ์ที่จะเลือกว่าชอบหรือไม่ชอบให้ตัวเองเป็นแบบไหน และผมไม่ได้ขอร้องให้มันมาชอบในสิ่งที่ผมเป็น... บางทีนี่อาจเป็นสาเหตุที่ทำให้ผมไม่ค่อยมีเพื่อนเท่าไหร่นัก ผมไม่กล้าสนิทกับใครเพราะไม่ใช่ทุกคนที่จะรับได้แม้ว่าปากจะพูดว่านี่มันยุคสมัยไหนแล้วก็เถอะ ถึงใครต่อใครจะคิดว่าสังคมเปิดกว้างมากพอเรื่องเพศ แต่ก็อย่างที่รู้ว่าแค่ผมเดินไปไหนมาไหนกับไอ้ติณ ทุกคนก็จะจับจ้องมาที่เราด้วยสายตาใคร่รู้ “ที่แท้ก็เรื่องนี้เนี่ยนะ” “นัดไอเดียไว้บ่ายโมง นายว่างรึเปล่า เธออยากเจอนาย” ผมพยายามถามอย่างใจเย็น ทั้งๆ ที่เรื่องที่ผมพูด กับเรื่องที่ไอ้ติณพูด มันแม่งคนละความหมายเลย “มึงไปป่ะละ” “ไปมั้ง กินข้าวแล้วจะได้จบๆ ไม่งั้นไอเดียคงรู้สึกติดหนี้บุญคุณเราไม่เลิก ทั้งๆ ที่จริงๆ เราไม่ได้ทำอะไรเลยด้วยซ้ำ” ผมพูดออกไปตรงๆ ผมรู้ว่าไอเดียอาจจะเอาข้อนี้มาอ้างเพื่อเข้าถึงตัวไอ้ติณ เพราะฉะนั้นถ้าครั้งนี้ผมไม่ไป เธอก็คงหาโอกาสให้มีครั้งหน้าแน่ๆ “แล้วมึงอยากให้กูไปด้วยรึเปล่า” ไอ้ติณย้อนถามแล้วมองผมด้วยสายตาแปลกๆ จริงๆ มันคงมองผมด้วยสายตาปกติ แต่ผมนั่นแหละที่คิดไปเองว่ามันแปลก ในเมื่อผมบอกไปแล้วว่าไอเดียอยากเจอมัน แล้วมันจะมาย้อนถามผมทำไม “แล้วแต่นายสิ” “ถ้ากูไป มึงจะคิดว่ากูหักหลังมึงป่ะ” “มันไม่เห็นจะเกี่ยวกันเลย” ผมรีบบอก “เกี่ยวดิ ถ้ากูไปแล้วไอเดียจีบกูขึ้นมา เดี๋ยวมึงก็หึงแล้วพาลมาโกรธกูอีก” ไอ้ติณใส่อารมณ์ตลอดการพูด หน้าตามันจริงจังมากกว่าเรื่องที่มันควรจะจริงจังซะอีก “ทำไมเราต้องหึง” “แล้วที่มึงโวยวายเพราะไอเดียชวนกูไปกินข้าวนี่คืออะไร ทำไมมึงต้องหึง” ไอ้ติณพูดไปส่ายหน้าส่ายตาไปด้วยเหมือนตั้งใจจะกวนโมโห แต่ผมไม่ได้หึงจริงๆ นะ ผมมองไอ้ติณด้วยความหงุดหงิด ก่อนจะหันหน้าหนีมันเพราะความรำคาญ พูดไปมันก็หาเรื่องมากวนตีนผมได้ตลอดนั่นแหละ ซีซอให้ควายฟังควายยังน่าจะรู้เรื่องกว่า “อ้าว ถามแล้วเงียบนี่เป็นส้นตีนอะไรขึ้นมาอีกครับไอ้คุณคิม” “ถ้านายยังไม่เลิกพูด เราจะไปนั่งที่อื่น” “กลัวฉิบหายล่ะ นี่มึงคิดว่าถ้ามึงลุกไปแล้วกูต้องง่อยอยู่ตรงนี้เหรอไอ้คิม แค่ลุกเดินตามมึงไปนี่มึงคิดว่าคนอย่างกูทำไม่ได้เหรอ บอกเลยกูไม่กระจอกนะ” ใครก็ได้บอกผมทีว่าไอ้ห่านี่มันจะกวนตีนผมทำไม โธ่ว้อย ผมยืดลำตัวขึ้นตรงๆ แล้วพยายามสูดหายใจเข้าช้าๆ เพ่งกระแสจิตหาเอกสารการเรียนในกระเป๋าแต่ว่าหาเท่าไหร่ก็หาไม่เจอแฮะ “ตกลงกูไปกับมึงนะ” ไอ้ห่าติณยังพูดไม่จบอีก “เรื่องของนาย” “กูบอกอยู่นี่ไงว่าไปกับมึง แปลว่าไปด้วยกัน แต่กูไม่ได้จะไปหาไอเดีย กูแค่ไปเป็นเพื่อนมึง ทำไมมึงพูดจาไม่รู้เรื่องวะไอ้เหี้ยคิม” ไอ้ติณลงท้ายด้วยการด่าผมแล้วตบหัวผมแรงๆ จนหน้าผากผมโขกกับโต๊ะแลคเชอร์ไปหนึ่งที จะหันไปเอาเรื่องก็ทำไม่ได้เพราะว่าสายตามันโคตรโหดตอนหันไป แบบนี้แปลว่าผมต้องหงอใส่มันเหรอ ให้ตายเถอะ “หาอะไรของมึง กูเห็นมึงหามาเป็นชาติละ” “ชีท” ผมตอบห้วนๆ ก็ผมไม่อยากจะพูดกับมันนี่นา แต่ถ้าไม่พูด มันต้องตบกบาลผมอีกแน่ๆ เลย “เอาของกูก็ได้ กูไม่ตั้งใจเรียนหรอก รอลองมึง” หน้าไม่อายเอ๊ย! “ไม่ เราบอกแล้วว่าเราไม่ชอบใช้ของของคนอื่น” “มึงก็เลิกมองกูเป็นคนอื่นสักทีสิไอ้หอกหัก” “เอ๊ะ!” “มึงชื่อไร” แล้วอยู่ๆ ไอ้ห่าติณก็เปลี่ยนเรื่อง ผมนี่ชักจะอารมณ์เสียแล้วนะ อยากจะบีบคอมัน แต่ก็ทำได้แค่คิด “คิม” “ชื่อจริงสิไอ้เวร ชื่อเล่นกูเรียกมึงจนจำได้ละ” “คิมหันต์” ผมตอบกลับไปเซ็งๆ แล้วเลิกสนใจมัน ท่องเอาไว้ว่าผมจะเลิกสนใจมัน ผมควรเอาเวลาที่ต้องเถียงกับมันมาตั้งใจหาชีทให้เจอก่อนอาจารย์จะเข้าสอนดีกว่า ซึ่งผมจำได้นะว่าผมปริ้นท์มาแล้ว แต่ว่ามันหายไปไหน “อ่ะ” แล้วอยู่ๆ ไอ้ติณก็วางชีทที่ผมต้องการลงบนโต๊ะแลคเชอร์ตรงหน้าผม แต่ผมรู้ว่านี่ชีทของมัน ไม่ใช่ของผม เพราะว่ามันเป็นชีทชุดเดียวกับที่มันส่งให้ผมเมื่อก่อนหน้านี้นี่แหละ จะต่างจากเดิมก็คือไอ้ติณมันเขียนชื่อจริงของผมไว้ตัวเบ้อเริ่มตรงหัวมุมกระดาษ “ชื่อมึง ของมึง พอใจยัง” “ทำบ้าอะไรของนาย” “เดี๋ยวถ้าอาจารย์ถามกูบอกเองว่ากูไม่ได้เอามา มึงตั้งใจเรียนเผื่อกูไปก็แล้วกัน” ไอ้ติณพูดเหมือนจะไม่ใส่ใจ ซึ่งมันเองก็คงไม่เคยใส่ใจอะไรกับชีวิตมันหรอก ขนาดโดนไม้หน้าสามฟาดมันยังนอนชิลหลังรถ ไม่บ่นสักแอ่ะ “มองเหี้ยไรอีกล่ะ ปัญหาเยอะนักนะมึง” ไอ้ติณยังคงด่าผมไม่เลิก ไม่รู้ทำไมผมถึงไม่เกลียดมันแฮะ ทั้งๆ ที่เกิดมาไม่เคยมีใครกล้าตบหัวผมเหมือนมัน ไม่เคยมีใครพูดคำด่าคำกับผมเหมือนมัน แต่ในขณะเดียวกันก็ไม่เคยมีใครเสียสละให้ผมเหมือนที่มันทำอีกเหมือนกัน ครืดๆๆ แล้วเสียงโทรศัพท์ของผมก็สั่นขึ้นมาอีกรอบ และก็ไม่รู้ทำไมผมถึงได้เลือกจะหันไปมองหน้าไอ้ติณก่อนจะหยิบโทรศัพท์ “ก็บอกไปสิว่ากูไม่อยู่กับมึง มองหน้ากูแล้วเขาจะวางสายหรือไง” ไอ้ติณพูดอย่างรู้ทัน แต่ว่าผมยังไม่ทันบอกมันเลยนะว่าไอเดียโทรมา แถมยังมีอีกเรื่องที่แปลกใจมากก็คือทำไมมันถึงมั่นใจนักว่าผมชอบไอเดียทั้งๆ ที่ผมก็บอกมันไปแล้วว่าผมไม่ชอบ แทนที่มันจะจีบเอาเอง มันกลับมากั๊กๆ เหมือนกลัวว่าผมจะคิดว่าถูกมันหักหลัง “พี่ไทม์” “ใครนะ?” ไอ้ติณรีบหันมาถามเมื่อได้ยินผมเรียกชื่อคนปลายสายที่โทรเข้ามา “ยุ่ง!” ผมหันไปว่าก่อนจะลุกออกมาจากเก้าอี้เพื่อออกไปรับสายนอกห้องเรียนทันที เผื่อเอาไว้ว่าถ้าอาจารย์เดินเข้ามาผมจะได้ไม่เสียมารยาท “ฮัลโหลพี่ไทม์” ผมรีบกรอกเสียงไปตามสายหลังจากกดรับ หัวใจเต้นตึกตักๆ ไปหมด มือไม้ก็สั่นราวกับเจ้าเข้า [เรียนอยู่รึเปล่าคิม] “ปะ เปล่าครับ พอดีว่าอาจารย์ยังไม่เข้าสอน พี่ไทม์มีอะไรหรือเปล่าครับ” ผมรีบถาม ปกติแล้วพี่ไทม์จะไม่โทรมาถ้าไม่มีเรื่องสำคัญนี่นา [พี่เอาชีทมาให้น่ะ เมื่อวานคิมลืมไว้ที่ร้าน พี่ไม่แน่ใจว่าวันนี้คิมต้องใช้รึเปล่า พอดีพี่กำลังไปผ่านไปทางมหา’ลัย ก็เลยลองโทรถามดู] ผมว่าแล้วเชียวว่ามันหายไปไหน ที่แท้ผมก็ลืมไว้ที่ร้านนี่เอง “ใช้ครับ ผมกำลังหาอยู่พอดี” [อยู่ที่ตึกวิศวะใช่มั้ย] “ครับ” [งั้นเดี๋ยวคิมลงมารอพี่ที่หน้าตึกก็ได้ พี่จะวนรถเอาเข้าไปให้] “ได้ครับ ขอบคุณมากครับพี่ไทม์” ผมบอกด้วยความดีใจ ก่อนจะหุนหันพลันแล่นวิ่งลงมารอพี่ไทม์ที่หน้าตึกตามที่พี่ไทม์บอก ซึ่งพอผมวิ่งลงมาถึงชั้นล่าง ก็เห็นว่ารถของพี่ไทม์กำลังขับเข้ามาจอดพอดี ผมได้แต่ยืนรอพี่ไทม์อย่างใจจดใจจ่อ จ้องมองรถคันนั้นกระทั่งเห็นว่ารถจอดสนิทอยู่ตรงหน้า รอจนพี่ไทม์เปิดประตูรถแล้วเดินลงมา และทันทีที่ได้เห็นร่างสูงโปร่งก้าวเท้าลงจากรถพร้อมกับรอยยิ้มที่โปรยมาตั้งแต่ที่เขาเห็นหน้าผมๆ ก็รู้สึกเหมือนตัวจะลอย “เด็กขี้ลืม” พี่ไทม์ใช้ชีทในมือตีหัวผมเบาๆ ทันทีที่เดินมาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าผม และมันก็อดไม่ได้ที่ผมจะยิ้มแหยๆ เพราะไม่มีแม้แต่คำแก้ตัว ก็ผมลืมจริงๆ นี่ “ดีนะที่พี่เห็นเสียก่อน คราวหลังเช็กของให้ดีก่อนออกจากร้านด้วยล่ะ” “แหม พี่ก็บ่นเป็นคนแก่ไปได้” “พี่แก่ลงเพราะคิมนั่นแหละ ไปๆ รีบกลับไปเรียนได้แล้ว เดี๋ยวตอนเย็นเจอกันที่ร้าน” พี่ไทม์กำชับพลางยื่นมือหนาๆ มาวางบนหัวของผม ยีผมของผมเล่นเบาๆ แถมยังหัวเราะจนเห็นฟันซี่ขาวๆ เรียงอยู่เต็มปาก “ขอบคุณนะครับพี่ไทม์” “ตั้งใจเรียนให้สมกับที่พี่เสียเวลาเอามาให้ก็แล้วกัน” “อ้าว ไหนพี่ไทม์บอกว่าขับรถผ่านมาพอดีไงครับ” ผมรีบย้อนถาม “จริงๆ ก็มาทางนี้แหละ ไม่ถึงเสียทีเดียวหรอก แต่เลยมาแค่นิดเดียว ไม่เป็นไร” พี่ไทม์รีบบอก แล้วคำตอบของพี่ไทม์ก็ทำให้ผมรีบเม้มริมฝีปากแน่นๆ อีกครั้งเพราะกลัวจะยิ้มกว้างจนเกินไป “เออ จริงสิ เมื่อเช้าคนแถวๆ ร้านโทรมาบอกพี่ว่าเมื่อคืนแถวร้านเรามีโจรกระชากกระเป๋าอีกแล้ว เรารู้เรื่องรึเปล่า เขาบอกว่าตำรวจมาจับไปตอนเกือบจะสี่ทุ่มไม่ใช่เหรอ พี่มัวแต่เก็บของอยู่หลังร้านก็เลยไม่รู้เรื่องอะไรเลย” เอ่อ..ผมจะตอบยังไงดีล่ะ? “ก็พอจะทราบครับ เมื่อเช้าตอนผมเดินออกจากซอยมาได้ยินเขาว่าเป็นคนเดียวกันกับคราวก่อน เจ้าทุกข์รอชี้ตัวเพียบเลยครับ คราวนี้จะได้รู้สึกปลอดภัยขึ้นสักที” ผมแถกลบเกลื่อนไป ไม่ได้โกหกนะ ผมแค่พูดไม่หมดเท่านั้นเอง “ก็ดีแล้ว พี่ตกใจแทบแย่คิดว่าเป็นเราที่โดนกระชากกระเป๋า” “ไม่ใช่ครับ ขอบคุณสำหรับชีทอีกรอบครับพี่” ผมยกมือไหว้พร้อมกับส่งยิ้มให้ หัวใจเต้นตึกตักๆ ไปหมดราวกับว่ามันกำลังทำงานหนักโดยไม่ทราบสาเหตุ “ไม่เป็นไรน่า แล้วนี่วันนี้เราเลิกกี่โมง” “สองโมงครึ่งครับ พี่ไทม์มีอะไรรึเปล่าครับ หรือจะให้ผมไปช่วยที่ร้านก่อนก็ได้นะ เดี๋ยวเลิกเรียนแล้วผมตรงไปเลย” ผมรีบบอก แต่พี่ไทม์กลับรีบส่ายหัวปฏิเสธ แถมยังหัวเราะซะผมอาย “อ้าว แล้วพี่ไทม์ถามทำไมล่ะครับ” “ถามดูเฉยๆ พี่จะทำธุระแถวนี้น่ะ เอาเป็นว่าถ้าพี่เสร็จธุระแล้วจะโทรหาเราก็แล้วกัน เผื่อถ้าเราเลิกเรียนพอดีพี่จะได้แวะรับ” เจ้านายดีๆ แบบนี้หาไม่ได้อีกแล้วสินะ “ว่าไง หรือว่าถ้าเรานัดกับเพื่อนไว้ก็ไม่เป็นไรนะ เดี๋ยวค่อยไปเจอกันที่ร้านตามเวลาปกติก็ได้” “ปะ เปล่าครับ เอาเป็นว่าถ้าผมเลิกเรียนก่อนผมจะโทรหาพี่ไทม์ก่อนก็แล้วกันครับ” “เอางั้นก็ได้ ใครเสร็จก่อนก็โทรก่อนนะ ไปๆ รีบไปขึ้นเรียนเถอะ เดี๋ยวอาจารย์จะเข้าสอนเสียก่อน” “ครับ” ผมยิ้มกว้าง ก่อนจะต้องกลั้นยิ้มด้วยการเม้มริมฝีปากเข้าหากันอีกรอบเมื่อพี่ไทม์ยกโทรศัพท์ขึ้นมาแกว่งไปมาเบาๆ แล้วถึงได้เดินกลับไปที่รถ โอ๊ย ผมล่ะอยากจะบ้าตาย ใครก็ได้ตบหัวผมที ผมจะได้มั่นใจว่าผมไม่ได้ฝันไป
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD