EP 04
เข้าตาจน
“ที่แท้มึงก็ลงมาหาถั่วดำแดกนี่เอง”
เสียงทุ้มๆ ที่ผมจำได้ว่าเป็นเสียงของไอ้ติณทำให้ผมต้องรีบหุบยิ้มแล้วหันกลับไปมอง อืม ผมรู้แล้วหละว่าผมไม่ได้ฝันไป นี่มันเดินตามผมลงมาทำไม แล้วมาตั้งแต่เมื่อไหร่กัน
“คู่ขามึงเหรอ”
“เมื่อไหร่นายจะเลิกปากเสียสักที” ผมพูดโกรธๆ ก่อนจะเดินเลี่ยงไอ้ติณเพื่อเดินกลับขึ้นไปเข้าห้องเรียน แต่มันกลับก้าวเท้ามาขวางผมเอาไว้ แถมยังมองหน้าผมด้วยสายตาที่ผมโคตรจะเกลียด
นี่มันไม่คิดจะมองคนอื่นด้วยสายตาเป็นมิตรบ้างเลยหรือไง
“นี่ของมึง”
“ไม่เอา เราได้ของเราคืนแล้ว” ผมรีบบอกเมื่อไอ้ติณยื่นชีทในมือของมันมาให้ผม ซึ่งจริงๆ แล้วมันก็คือชีทของไอ้ติณที่มันเขียนชื่อผมลงไปนั่นแหละ
“ของกูก็เลยไม่มีความหมายแล้วงั้นสิ” ไอ้ติณถามพลางเก็บชีทในมือของมันลงไป แต่ว่าไม่ทันที่ผมจะได้หันหน้าหนีมัน ผมก็เห็นกับตาว่ามันเอาชีทในมือโยนลงถังขยะข้างบันไดไปหน้าตาเฉย
“นายทิ้งไปทำไม นั่นมันเอกสารสำคัญนะ”
“ในเมื่อกูให้มึงแล้วมึงไม่เอา จะสำคัญแค่ไหนก็กูทิ้งได้ หรือมึงจะให้กูเก็บไว้ห่อผ้าอนามัย”
อยากจะชกปากมันฉิบเป๋งเลยครับ
“วันนี้อาจารย์ไม่มาสอน บอกไว้เผื่อมึงอยากไปที่ชอบๆ” ไอ้ติณบอกแบบนั้นก่อนที่มันจะจ้องหน้าผมเหมือนกับว่าเมื่อครู่นี้ผมเดินไปชกหน้ามันจริงๆ ทั้งๆ ที่ผมก็แค่ยืนมองมันงงๆ และพอมันเห็นว่าผมไม่ได้คิดจะหลบสายตาของมัน อยู่ๆ มันก็หุนหันพลันแล่นเดินหนีผมไป
ช่างมันเถอะ ผมจะไปรู้ได้ยังไงว่ามันเป็นห่าอะไร อยู่ดีๆ มันก็เดินมาใส่อารมณ์กับผมแล้วก็ไป ทั้งๆ ที่ผมยังไม่เคยแม้แต่จะขึ้นเสียงใส่มันเลยด้วยซ้ำ
ผมละสายตาจากแผ่นหลังกว้างๆ ของไอ้ติณเพื่อจะเดินแยกออกไปอีกทาง ไม่รู้ว่าโชคดีรึเปล่าที่ผมเอากระเป๋าติดตัวลงมาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นถ้าวันนี้อาจารย์ไม่มาสอน ผมคงต้องกลับไปนอนแหง่วที่ห้อง ยังไม่โทรหาพี่ไทม์หรอกเพราะพี่เขาคงยังทำธุระไม่ทันเสร็จ ป่านนี้ยังไม่ทันจะขับรถออกนอกรั้วมหา’ลัยเลยด้วยซ้ำ ผมไม่อยากรบกวน
แต่ว่าทันทีที่ผมหันกลับมา ผมก็อดไม่ได้ที่จะมองไปถังขยะข้างกาย แล้วก็ไม่รู้อะไรดลใจให้ผมเอื้อมมือไปเก็บชีทของไอ้ติณที่มีชื่อผมอยู่ขึ้นมาจากถังขยะใบนั้น ก่อนจะตัดสินใจเก็บมันใส่กระเป๋ารวมไปพร้อมกับชีทของผมแล้วถอนหายใจให้กับความคิดโง่ๆ ของตัวเอง
ทำไมผมต้องเดินไปง้อมันด้วยวะ...
เชื่อเถอะว่าต่อให้ผมจะถามตัวเองอีกเป็นร้อยครั้งผมก็ตอบไม่ได้ รู้แต่ว่าตอนนี้ผมเดินตามหลังไอ้ติณมาแล้ว ทั้งๆ ที่ตั้งใจว่าจะกลับไปนอนที่หอ แล้วเย็นๆ ค่อยตื่นแล้วออกมาทำงานที่ร้าน
“ตะ...”
ผมกำลังจะอ้าปากเรียกไอ้ติณ แต่ก็ต้องกลายเป็นว่าอ้าปากค้างอยู่อย่างนั้นเมื่อเห็นว่ามันกำลังเดินตรงไปที่รถคันหนึ่งที่ผมคิดเอาเองว่าน่าจะมาจอดรอมันอยู่ก่อนหน้านี้แล้ว แถมยังมีคนขับรถรอเปิดประตูรับมันอีกต่างหาก
ปี๊นๆ
แต่แล้วเสียงแตรรถจากด้านหลังรถของไอ้ติณก็ดังขึ้นเรียกความสนใจจากทั้งผม ไอ้ติณ รวมถึงคนขับรถของมันให้หันไปมอง
ผมค่อยๆ ชักเท้าถอยกลับมาเพื่อแอบดูทุกอย่างอยู่เงียบๆ บางทีมันอาจจะไม่ได้คิดอะไรเลยก็ได้ คงมีแค่ผมนี่แหละที่คิดมากไปเอง กลัวว่ามันจะโกรธ
“ติณ”
เสียงเรียกไอ้ติณดังขึ้นจากเจ้าของรถคันที่เพิ่งจอดต่อท้ายรถของไอ้ติณ ก่อนที่เจ้าของรถจะรีบเปิดประตูรถแล้วลงมาปรากฏตัวต่อหน้ามัน
อืม...ผมเข้าใจแล้วว่าทำไมมันถึงดูไม่ค่อยสนใจไอเดียเท่าไหร่ เพราะว่าเธอคนนั้นที่เพิ่งจะเดินลงมาดูเฉี่ยวกว่าเยอะเลย ที่แท้สเป็กมันคงชอบผู้หญิงเปรี้ยวๆ มากกว่าหวานๆ แบบไอเดียนี่เอง
“มีอะไรถึงได้มาหาฉันถึงที่นี่ปลายรุ้ง” ไอ้ติณถามเสียงเครียด หน้าตามันดูไม่ค่อยยินดีเท่าไหร่เลยนะที่เห็นเธอ ทั้งที่เธอคนนั้นออกจะปลื้มปริ่มที่ได้เจอมัน
“ฉันมีเรื่องอยากจะคุยกับนาย”
“ฉันคิดว่าเราคุยกันรู้เรื่องแล้วเสียอีก”
“ถ้ารู้เรื่องแล้วๆ ทำไมนายถึงได้พยายามหลบหน้าฉัน” เธอคนนั้นถามเสียงดัง
“แปลว่าเธอพูดไม่รู้เรื่องจริงๆ”
แล้วไอ้ติณก็ยังคงพูดจาไม่น่าฟังและไม่เคยรักษามารยาทเหมือนเดิมนั่นแหละ พูดจบมันเดินกลับไปที่รถแล้วเตรียมตัวจะเผ่น ทว่าเธอคนนั้นกลับรีบตรงไปรั้งแขนมันแล้วดึงมันให้ถอยกลับออกมา
ผมล่ะกลัวจริงๆ ว่าไอ้ติณมันจะยกเธอขึ้นจากพื้นด้วยมือข้างเดียวเหมือนที่ทำกับไอ้โจรกระจอกเมื่อคืน รู้ทั้งรู้ว่ามันคงไม่ทำผู้หญิงหรอก แต่แววตาของมันก็ไม่ได้บ่งบอกว่ามันจะอ่อนโยนกับเธอเลยสักนิด
“ตกลงนายจะเอายังไง”
“เลิกไง ทำไมวะ พูดแค่นี้ทำไมไม่เข้าใจ”
“แต่ฉันไม่เลิก” เธอคนนั้นประกาศเสียงดัง และผมก็เริ่มคิดเหมือนไอ้ติณแล้วนะว่าเธอพูดจาไม่รู้เรื่อง
ผมไม่ได้เข้าข้างมันหรอก แต่เคยได้ยินมาบ้างว่าเวลาที่ผู้หญิงบอกเลิกผู้ชาย ส่วนมากจะเป็นเพราะประชด แต่ถ้าผู้ชายเป็นฝ่ายเอ่ยปากขอเลิก นั่นแปลว่าเขาอยากเลิกจริงๆ
“แล้วจะเอาไง” ไอ้ติณพยายามถามกลับด้วยน้ำเสียงที่เย็นเยียบเหมือนว่ามันเองก็พยายามอย่างถึงที่สุดแล้วที่จะใจเย็นๆ
“นายต้องไปหาพี่ปลายฟ้ากับฉัน”
“ไปกระทืบหน้ามันน่ะเหรอ”
เอ่อ ผมว่าเรื่องมันชักจะยังไงๆ แล้วนะ
“นายไม่มีสิทธิ์พูดแบบนั้นกับพี่ชายฉันนะ”
“เธอก็ไม่มีสิทธิ์มาสั่งฉันเหมือนกัน แล้วก็เลิกวุ่นวายกับฉันสักที อย่าให้ฉันต้องเกลียดเธอจนหนีออกนอกประเทศไปเลยนะปลายรุ้ง” ไอ้ติณเหมือนจะจนปัญญาพูด เพราะน้ำเสียงของมันอ่อนลงต่างจากเมื่อตอนแรกที่ได้พบเธอ สายตาของมันดูเบื่อหน่ายราวกับว่าเรื่องนี้เป็นปัญหาที่แก้ไม่ได้
แต่ว่าเดี๋ยวนะ ผมเห็นแววตามัน นั่นแปลว่ามันเห็นผมแล้ว ซวยฉิบหายแล้วครับ
ทันทีที่ผมตั้งสติได้ผมก็รีบหันหลังให้ไอ้ติณทันที เดี๋ยวมันจะหาว่าผมสอดรู้สอดเห็น อีกอย่างผมก็ไม่ได้อยากจะเข้าไปมีส่วนร่วมกับเรื่องของมันหรอก ยิ่งเป็นเรื่องผู้หญิงด้วยแล้วละก็ผมยิ่งอยากจะอยู่ให้ไกล เพราะฉะนั้นผมควรจะปล่อยให้มันจัดการไปเองจะดีกว่า
ผมรีบเผ่นอ้อมตัวตึกมาทางสนามด้านหลัง เดินดุ่มๆ ขึ้นไปนั่งบนอัฒจันทร์เพื่อรับลมเย็นๆ เผื่อว่ามันจะทำให้ผมคิดอะไรออกได้บ้าง บอกตรงๆ ว่าตอนนี้ไม่รู้จะไปไหน เริ่มไม่อยากจะกลับไปนอนที่ห้องแล้วเพราะคงนอนไม่หลับ แต่จะให้เดินไปหาไอ้ติณอย่างที่เพิ่งจะเปลี่ยนใจไปเมื่อกี้ก็ดูท่าทางมันจะไม่ว่าง หรือว่าผมควรจะโทรหาพี่ไทม์ดี
อืม...โทรก็แล้วกัน
“ไอ้เหี้ยคิม”
แล้วเสียงเหี้ยมๆ ของไอ้ติณก็ตามมาหลอกหลอน แถมพอหันไปมองก็พบว่าไม่ได้มาแค่เสียง เพราะไอ้ติณเดินตามผมมาตัวเป็นๆ เลย ผมรีบเก็บโทรศัพท์ลงกระเป๋าทั้งที่ยังไม่ได้กดเบอร์พี่ไทม์ด้วยซ้ำ
“เราไม่ได้ตั้งใจจะแอบฟัง” ผมรีบออกตัวก่อน มันจะเข้าใจมั้ยผมไม่รู้ๆ แต่ว่าผมไม่ได้ตั้งใจจะแอบฟังจริงๆ
“แล้วมึงได้ยินรึเปล่า” ไอ้ติณถามเสียงเข้ม เอายังไงดีล่ะทีนี้ ผมโกหกไม่เก่งเสียด้วย
“ก็บอกแล้วไงว่าไม่ได้ตั้งใจ”
“กูถามว่ามึงได้ยินรึเปล่า”
“นิดนึง”
เอายังไงกับมันดีวะเนี่ย
“นิดนึงนี่แค่ไหน เรื่องอะไรบ้าง มึงพูดมา!”
“ก็ได้ยินตั้งแต่ที่ปลายรุ้งเรียกนายนั่นแหละ โอ๊ย!”
เวรเอ๊ย มันตบหัวผมอีกละ
“แบบนั้นเรียกได้ยินหมดเว้ย ถามดีๆ มึงก็ตอบดีๆ สิวะ ทำท่าอึกอักๆ น่ารำคาญ แต่ได้ยินก็ดีกูจะได้ไม่เสียเวลาเล่า”
อ่ะอ้าว ทำไมไอ้ติณมันจบแบบพลิกล็อกแบบนี้ล่ะ ทำหน้าตาเคร่งเครียดไล่บี้ถามความจริงจนผมกลัวหัวหด
“เมื่อกี้นี้มึงเดินตามกูไปทำไม”
“เปล่า”
“อย่าโกหกกู หน้าซีดเป็นไก่ต้มน้ำปลาแบบมึงโกหกไม่เก่งเท่ากูหรอก”
นั่นมันชมหรือด่าตัวเองกันล่ะ
“ว่าไง มึงเดินตามกูไปทำไม”
“เราแค่จะเอาชีทไปคืน” ผมบอกความจริงออกไปเพื่อตัดปัญหา ผมจะไม่หน้าซีดหรอกถ้ามันไม่เอาแต่ถามๆๆ โดยไม่เว้นช่องว่างให้ผมได้ตกใจก่อนสักนิด
ผมตัดสินใจหยิบชีทในกระเป๋าที่เก็บเอาไว้สองชุดออกมา ก่อนจะเลือกหยิบชีทของผมที่เป็นของผมจริงๆ มาวางลงบนโต๊ะ แล้วเก็บชีทของผมอีกชุด ที่เป็นชีทของไอ้ติณแต่มันดันเขียนชื่อผมลงไปไว้ในกระเป๋าตามเดิม
“กูบอกแล้วไงว่ากูไม่เอา” ไอ้ติณพยายามบอก แต่ว่าช่างมันเถอะ ผมตั้งใจแล้วว่าผมจะคืนให้มันนี่นา ถ้ามันไม่เอาเดี๋ยวค่อยให้มันเอาไปทิ้งเอง ผมแค่อยากจะทำในสิ่งที่ผมตั้งใจไว้เท่านั้นเอง
ผมหยิบปากกาน้ำเงินออกมาจากกระเป๋าเสื้อ ก่อนจะเขียนชื่อไอ้ติณลงไปที่หัวมุมกระดาษ เหมือนกับที่มันเขียนชื่อผมนั่นแหละ แต่ว่าผมเขียนแค่ชื่อเล่นมันนะ ผมจำตัวสะกดชื่อจริงมันไม่ได้ แต่ว่าขี้เกียจจะถามมันเพราะการพูดกับมันเป็นเรื่องที่ผมคิดว่าเสียเวลามาก
“อ่ะ เราคืนให้” ผมยื่นชีทที่เขียนชื่อไอ้ติณลงไปแล้วส่งให้มัน จากนั้นก็แค่ยิ้มให้มันนิดหน่อยตามมารยาทแต่ทำไมมันกลับทำหน้าเหมือนผมกำลังขู่จะเอาชีทนั่นปาดคอมันให้ตาย
“รับไปสิ เราตั้งใจให้ แต่ถ้านายไม่อยากได้จริงๆ นายจะเอาไปทิ้งก็ได้ เราแค่อยากให้เฉยๆ คิดเสียว่าแลกกัน” ผมยังคงพยายามยิ้ม
“มุกเหี้ยไรของมึง”
“ไม่ใช่มุก นี่เรียกว่าชีท”
“กวนตีนกูแล้วมึงสบายใจสินะ” ไอ้ติณย้อนถาม ก่อนที่ผมจะรู้สึกสบายใจสักทีเมื่อไอ้ติณยอมรับชีทในมือของผมไป ถึงแม้ว่ามันจะยังมองผมด้วยสายตาตื่นๆ ของมันก็เถอะ
“เราไม่ได้เห็นว่าชีทนายไม่สำคัญนะ แต่เพราะเรารู้ว่ามันสำคัญเราถึงอยากให้นายเก็บมันไว้เอง”
“พอๆๆ มึงเลิกพูดได้ละ เดี๋ยวน้ำตากูไหล กับอีแค่ชีทมึงก็ทำให้เป็นเรื่องใหญ่ไปได้ กูไม่ใช่คนคิดเล็กคิดน้อยขนาดนั้น” ไอ้ติณรีบบอกพลางม้วนชีทในมือซะกลมแบบไม่คิดจะเกรงใจผมเลยสักนิด
นั่นชีทผมนะ ถึงจะให้มันแล้วแต่ผมก็เป็นคนปริ้นท์มันมากับมือ ถนอมมันมาตั้งนานแต่ถึงมือไอ้ติณไม่ถึงสองนาทีมันม้วนซะหมดราคาเลย
“นายไม่คิดแต่เราคิด”
“คิดมากไปเดี๋ยวมึงก็แก่เร็วหรอก หรือมึงคิดว่าตัวเองเป็นโคนันที่แดกยาพิษเข้าไปแล้วกลายเป็นคนแก่ในร่างเด็กอยู่ตลอดเวลา” นี่ไอ้ติณมันโยงไปเรื่องโคนันได้ยังไง อีกอย่างคือเมื่อไหร่มันจะเลิกคิดว่าผมเด็กสักที
“เราก็แค่...”
“มึงเลิกก็แค่ๆ สักทีเถอะ กูอึดอัด ป่ะๆ หาไรแดกกัน กูหิวละ” ไอ้ติณชวนเปลี่ยนเรื่องพูดพร้อมกับเอื้อมมือมาตบบ่าผมเบาๆ สองสามที
ไม่รู้ว่าผมเป็นบ้าอะไรถึงได้สบายใจเวลาที่ได้ยินมันพูดหยาบๆ หรือไม่ผมก็คงเริ่มชิน เริ่มคิดแล้วว่าบางทีมีเพื่อนแบบมันก็ไม่ได้เลวร้ายอะไร
ผมแอบถอนหายใจเบาๆ แล้วหันไปยิ้มให้ไอ้ติณอีกนิดหน่อยเมื่อมันเดินเข้ามาคล้องคอผมเพื่อเดินไปด้วยกัน อย่างน้อยตอนนี้ผมก็มีเพื่อนเวลาที่เดินไปไหนต่อไหนแล้ว ไม่ต้องเดินคนเดียวเหมือนเมื่อก่อน ไม่ต้องนั่งทำรายงานคนเดียว ซึ่งถึงแม้จะรู้ว่ามันคงช่วยอะไรไม่ได้มาก แต่กลับรู้สึกว่ามันคงจะดีกว่านั่งทำทุกอย่างเพียงคนเดียวเหมือนที่ผ่านมา
“นายจะล็อกคอเราเดินทำไม เราเดินเองได้” ผมรีบบอกเมื่อรู้สึกว่าตั้งแต่เดินลงมาจากอัฒจันทร์พร้อมไอ้ติณ ก็มีแต่คนที่คอยมองตามเรามาตลอดทางที่เราเดินผ่าน
“ช่างหัวมันเถอะน่า ใครอยากมองก็ให้มองไปสิ หรือมึงรังเกียจที่มีเพื่อนพูดจาไม่เพราะแบบกู” ไอ้ติณถามเหมือนจะรู้ว่าผมกำลังคิดอะไร แต่แทนที่มันรู้แล้วมันจะรีบปล่อย มันกลับล็อกคอผมแน่นกว่าเดิมจนหายใจเกือบไม่ออก
ไอ้ห่านี่แกล้งทีไร ผมรู้สึกเหมือนมันเห็นผมเป็นศัตรูมากกว่าเพื่อนทุกที จะโดนมันฆ่าแบบเนียนๆ วันไหนก็ไม่รู้
“เปล่าๆ แต่ไหนเมื่อเช้านายบอกว่า...เกลียด”
“เออ กูเกลียด แต่กูไม่ได้เกลียดมึง กับมึงกูโอเค แต่กูเกลียดสายตาคนที่เอาแต่มองโดยที่ไม่ได้รู้เหี้ยอะไรแล้วด่วนตัดสินคนอื่นเนี่ย ช่างแม่งเหอะน่า ไม่ได้ขอมันแดกนี่ มึงจะไปรู้สึกกับสายตาคนพวกนั้นทำไม มึงต้องรู้สึกกับกูนี่” ไอ้ติณยังคงพูดจาแบบไม่แคร์โลกเหมือนเคย ถ้าผมเอานิสัยนี้ของมันมาใช้ได้สักครึ่งหนึ่งก็คงดีสินะ แต่ไม่รู้ทำไมผมทำไม่เคยได้เลยสักที อีกอย่างมันอยากให้ผมรู้สึกอะไรกับมัน?
“เราแค่กลัวว่าคนอื่นจะมองนายไม่ดี”
“ไม่เคยมีใครกูมองดีอยู่แล้ว มึงก็ด้วย กูรู้”
อ้าว กลายเป็นมันย้อนมากัดผมซะอย่างนั้น
“ก็แค่เคยน่า”
“เหอะ ตอนนี้มึงเคลิ้มล่ะสิ บอกไว้ก่อนนะว่าเพื่อนก็คือเพื่อน กูไม่ได้รังเกียจเพื่อนแบบมึง แต่ว่าห้ามมึงคิดจะล้วงตูดกูเด็ดขาด ไม่งั้นกูจะชกให้ฟันมึงร่วงหมดปากเลย” ไอ้ติณรีบหันมาขู่ ผมแอบใจหายนิดหน่อยตอนคิดสภาพตัวเองฟันร่วงหมดปากแล้วเหลือแต่เหงือก บรื๋อออ ขนลุกเนอะ
“กูถามมึงจริงๆ นะไอ้คิม มึงเสร็จไอ้ตี๋หล่อนั่นหรือยัง”
มันเปลี่ยนเรื่องอีกละ แถมเรื่องนี้กวนตีนซะด้วย
“ตี๋หล่อ”
“เออ ที่มันมาหามึงเมื่อกี้นี้ไง นี่ถ้าไม่ติดว่าเป็นในมหา’ลัยกูว่ามันขึ้นคร่อมมึงไปละ”
“นายจะบ้ารึไง นั่นพี่ไทม์ พี่เจ้าของร้านที่เราทำงานอยู่ต่างหาก เขาแค่แวะเอาชีทมาให้เพราะเราลืมไว้ที่ร้านเมื่อคืน” ผมรีบอธิบาย พูดเร็วจนลิ้นแทบพันกันแน่ะ
“อ้าว ใครจะรู้ ปกติแล้วผู้ชายเขาไม่เล่นลูบหัวกันนี่หว่า กูเลยนึกว่าคู่ (แหก) ขามึง”
“นายนี่ไม่เคยมีอะไรดีๆ ในสมองเลยหรือไง”
“ไอ้เวร กูถามดีๆ เสือกย้อนมาด่า กูพูดจริงนะ เพราะต่อให้กูจะไม่รู้ว่าไอ้ตี๋นั่นคิดยังไง แต่มึงเนี่ยคิดชัวร์ เมื่อกี้ถ้ามึงเลื้อยได้มึงคงเลื้อยไปแล้ว อายเหี้ยอะไรนักหนาถึงขนาดไม่หันมามองกูเลย”
“ติณ”
“ฮ่าๆๆ กูรู้นะมึงกำลังอ่อย”
“อะ...อะ...ไอ้ติณ”
“กูทันมึงทุกเรื่องนั่นแหละไอ้คิมน้อย พูดนิดพูดหน่อยทำของขึ้น งั้นเอางี้ ยกไอเดียให้กูก็แล้วกัน”
“O_O”
“ไหนๆ มึงก็ไม่ชอบผู้หญิงอยู่แล้ว และไอเดียก็เหมือนจะชอบๆ กูๆ ก็เลยไม่อยากให้เสียของ ตกลงนะมึง”
“ไหนนายบอกไม่สนใจไง”
“ตอนนี้กูเข้าตาจนว่ะ เอาไว้กูจะเล่าให้มึงฟังทีหลัง”