เสียงบางอย่างดังแว่วเข้ามาในหูท่ามกลางความฝันอันพร่าเลือน…
“ตื่นขึ้นมาเดี๋ยวนี้ คาริสา! แม่บอกให้ตื่น!”
เปลือกตาของคาริสาขยับเล็กน้อย ก่อนจะค่อย ๆ เปิดขึ้นช้า ๆ แสงแดดอ่อนจากหน้าต่างส่องผ่านม่านสีครีมเข้ามาแตะใบหน้า ร่างบางกระพริบตา มองไปรอบ ๆ อย่างงงงัน เพดานสีขาวคุ้นตา เตียงใหญ่ ผ้าปูเนี๊ยบเรียบ…
เธอขมวดคิ้ว นี่มัน… ห้องในคฤหาสน์?
“คาริสา! อย่ามัวแต่นอนอยู่แบบนั้น แม่พูดไม่เข้าหูหรือไง!”
เสียงเข้มของ “คุณหญิงพัชรี” ดังขึ้นอีกครั้ง คราวนี้ชัดเจนและเฉียบคมพอจะทำให้เธอสะดุ้ง
คาริสารีบยันตัวลุกขึ้นนั่ง ผมยุ่งนิด ๆ จากการนอนทั้งคืน
“มะ…แม่ มาตั้งแต่เมื่อไหร่…”
“ตั้งแต่รู้ว่าลูกตัวดีของแม่หนีงานแต่งงานกลางพิธี!”
คุณหญิงพัชรียืนเท้าสะเอวอยู่ปลายเตียง ดวงตาคมส่องประกายกร้าวจนอากาศในห้องแทบเย็นลงในพริบตา
คาริสากลืนน้ำลายลงคอเบา ๆ “แม่… ริสาอธิบายได้นะ…”
“อธิบาย?” เสียงคุณหญิงสูงขึ้นทันที “อธิบายว่ายังไงดีล่ะ? ว่าลูกสาวคนเดียวของแม่หนีเจ้าบ่าวหนีแขกหนีพิธี แล้วไปให้บอดี้การ์ดของพี่ชายแบกกลางถนนตอนตีสามเนี่ยนะ?”
คาริสาเบิกตาโพลง “แม่รู้ได้ยังไง…”
“ก็เฮียคิริวนั่นแหละที่เล่าให้ฟังหมดแล้ว!”
เสียงในห้องเงียบลงชั่วขณะ เหลือเพียงเสียงนาฬิกาแขวนที่เดินติ๊กต่อกอย่างใจร้าย
คาริสานั่งนิ่ง หน้าเริ่มซีด มือกำผ้าห่มแน่นจนข้อนิ้วขึ้นสีขาว
“ทำไมทำตัวแบบนี้ หนีงานแต่งแบบนี้ได้ยังไง! แม่ไม่เคยสอนให้ลูกทำตัวไม่รู้จักกาลเทศะแบบนี้นะ คาริสา!”
เสียงของคุณหญิงพัชรีดังลั่นไปทั่วห้อง ก่อนฝ่ามือจะฟาดเข้าที่แขนลูกสาวจนเกิดเสียง เพี้ยะ!
“โอ๊ยยย… แม่! ริสาเจ็บนะ!” คาริสาเบะปาก มือกุมแขนพร้อมถอยหนี
“เจ็บก็ดี จะได้จำ!” คุณหญิงสวนเสียงเข้ม
“แม่ก็ฟังริสาก่อนสิ!” คาริสาเสียงสั่น ทั้งโกรธ ทั้งน้อยใจ “ริสาบอกตั้งแต่แรกแล้วว่าไม่แต่ง! จะให้ริสาไปแต่งกับใครก็ไม่รู้ มีแต่เขาที่เคยเห็นริสา แต่ริสาไม่เคยเห็นหน้าเขาด้วยซ้ำ!”
“แต่งไปก่อนสิ เดี๋ยวมันก็รักกันเอง ไม่เคยได้ยินคำนี้หรือไง!”
“แม่! นั่นมันโบราณจะตาย!” เธอเถียงกลับทั้งน้ำตาคลอ “สมัยนี้แล้วนะ ใครเขายังคลุมถุงชนลูกตัวเองอยู่!”
“ก็แม่นี่ไง!” คุณหญิงพัชรีตอบสวนทันควัน สีหน้าทั้งดื้อและมั่น “แม่อุตส่าห์หาผู้ชายดี ๆ มีหน้ามีตาในสังคม จะได้มีอนาคตที่ดี ไม่ต้องเหนื่อยเหมือนแม่ไง!”
“แต่แม่ลืมไปหรือเปล่าว่าริสายังเรียนอยู่! เพิ่งจะปีสองเองนะ ยังไม่พร้อมจะเป็นเมียใครทั้งนั้น!”
“แล้วไง! เดี๋ยวนี้เด็กสิบแปดสิบเก้าเขาก็แต่งกันหมดแล้ว!”
คาริสาเงยหน้าขึ้น ดวงตาแดงแต่ยังแข็งกล้า “ก็ใช่… แต่นั่นมัน คนอื่น! แต่ริสาไม่ใช่คนอื่น ริสาเป็นลูกของแม่ไง คนที่แม่ควรจะเข้าใจมากที่สุด!”
“ยัยเด็กนี่!” คุณหญิงพัชรีสะบัดหน้าอย่างหงุดหงิด “เถียงทุกคำจริง ๆ มานี่เลย ไปอาบน้ำแต่งตัวให้เรียบร้อย เดี๋ยวสาย ๆ คุณเกริงพลจะเข้ามา!”
คาริสาขมวดคิ้วทันที “ใครคือเกริงพล?”
“ก็เจ้าบ่าวแกไง!”
“หา!!!” เสียงของคาริสาดังลั่น ห้องทั้งห้องเงียบลงในเสี้ยววินาที ก่อนที่เธอจะโพล่งออกมาด้วยน้ำเสียงทั้งตกใจและไม่อยากเชื่อ
“ชื่อเหมือนคนแก่เลย!?”
เสียงของคาริสาดังขึ้น พร้อมทำหน้าตกใจจริงจัง
“คาริสา!”
เสียงของคุณหญิงพัชรีขึ้นสูงทันที แววตาเริ่มวาว “อย่าพูดจาแบบนั้น!”
คาริสาเม้มปากแน่น ก่อนพูดเสียงหนักแน่นขึ้น “แม่… ริสาขอถามตรง ๆ ได้ไหม ทำไมตอนเฮียคิริว แม่ถึงยอมง่ายจัง? เฮียไม่อยากแต่งก็ไม่ว่าอะไร แต่พอเป็นริสา ทำไมแม่ถึงต้องบังคับขนาดนี้!”
คุณหญิงชะงักไปเล็กน้อย แต่ยังคงน้ำเสียงเย็นเฉียบ “ก็เฮียเขามีคนที่รักอยู่แล้ว”
คาริสาเงยหน้าขึ้น ดวงตาแดงจัด “แล้วริสาล่ะ… ริสาก็มีคนที่ริสารักอยู่เหมือนกัน!”
“โอ๊ยยย…หยุดพูดเลยคาริสา!” เสียงคุณหญิงดังลั่น “ถ้าเธอหมายถึง บอดี้การ์ดส่วนตัวของเฮียเธอ ก็หยุดความคิดนั้นเดี๋ยวนี้!”
“ทำไมล่ะ!” คาริสาตะโกนถาม น้ำเสียงสั่นเครือระคนดื้อรั้น “ทำไมถึงคิดว่าริสารักเขาไม่ได้!”
“เพราะความเหมาะสมมันไม่มี!”
คุณหญิงพัชรีพูดชัดทุกคำ ดวงตาคมเฉียบ “คาริสา เธอเป็นลูกสาวคนเดียวของตระกูลมาเฟีย อัครเวทย์! เธอจะไปคบกับบอดี้การ์ดได้ยังไง ไม่มีใครเขาทำกัน!”
คาริสากำมือแน่น ดวงตาเริ่มมีน้ำตาคลอ “ก็ริสานี่ไง… จะทำให้ดู ว่าความรักมันไม่ต้องมีชนชั้นอะไรทั้งนั้น!”
“หยุดคิดฝันเพ้อเจ้อแบบนั้นเดี๋ยวนี้!”
คุณหญิงขึ้นเสียงอีกครั้ง เสียงเธอสั่นจนแฝงความกลัวมากกว่าความโกรธ “แม่สั่ง! ห้ามเด็ดขาด ไม่ว่าเมื่อไหร่ เธอจะ ไม่มีวัน คบกับบอดี้การ์ดของเฮียคิริวได้! เข้าใจไหมคาริสา!”
คาริสานิ่ง… น้ำตาเริ่มไหลช้า ๆ แต่รอยยิ้มมุมปากกลับผุดขึ้นอย่างดื้อรั้น
“งั้นก็รอดู… เพราะริสา ไม่ฟังคำสั่งนี้แน่”
คุณพัชรีไม่ได้พูดอะไรต่อ มีเพียงสายตาเย็นนิ่งที่มองตรงมาทางคาริสา นิ่งเสียจนคาริสาไม่แน่ใจว่าในแววตานั้นคือความผิดหวัง หรือความเสียใจ
ความเงียบระหว่างเรากินเวลายาวนาน จนกระทั่งเสียงใส ๆ ดังขึ้นจากหน้าประตู
“พี่ริสา… ทานข้าวค—”
เสียงสดใสของอัญชันชะงักลงกลางคันทันทีที่เธอเห็นคาริสากับคุณพัชรีจ้องกันอยู่ในบรรยากาศที่เหมือนมีแรงกดอัดในอากาศ
“เอ่อ… คุณแม่ทานข้าวหรือยังคะ?”
อัญชันรีบพูดตัดความเงียบ ยกมือไหว้อย่างสุภาพแต่สีหน้ากลับเกร็งนิด ๆ
คุณพัชรีละสายตาจากคาริสาไปมองอัญชันแทน ก่อนตอบด้วยน้ำเสียงที่กลับมาเรียบเฉยอีกครั้ง
“เรียบร้อยแล้วจ้ะ อัญชัน… แล้วนี่จะมาชวนคาริสาไปทานข้าวเหรอ?”
“ใช่ค่ะ” อัญชันพยักหน้าหงึก ๆ อย่างตั้งใจ
คุณพัชรีพยักหน้าช้า ๆ พลางปรายตามาทางคาริสา “งั้นก็ดีเลย พายัยเด็กแสบคนนี้ไปอาบน้ำให้เรียบร้อย แล้วพาลงไปทานข้าวด้วยนะอัญชัน”
“ได้ค่ะ” อัญชันรับคำเสียงแผ่ว ก่อนเดินเข้ามาหาคาริสาช้า ๆ
“แม่ฝากด้วยนะอัญชัน เดี๋ยวจะมีแขกมา”
คุณพัชรีเอ่ยเสียงเรียบ น้ำเสียงฟังดูสงบแต่ยังแฝงแรงกดไว้ในทุกถ้อยคำ “ฝากดูความเรียบร้อยของคาริสาด้วยนะ”
“ได้ค่ะ คุณแม่ไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ” อัญชันตอบอย่างนอบน้อม ก่อนส่งยิ้มบาง ๆ เพื่อคลายบรรยากาศตึงเครียดที่ยังคงอบอวลในห้อง
คุณพัชรีพยักหน้าช้า ๆ ก่อนหมุนตัวเดินออกจากห้องไปอย่างเงียบงัน เสียงส้นรองเท้ากระทบพื้นดัง กึก…กึก… จนประตูปิดลงอย่างนุ่มนวล
เหลือเพียงคาริสาและอัญชันที่ยืนอยู่กลางห้อง
อัญชันหันมามองคาริสาอย่างลังเล ก่อนเอ่ยเสียงเบา “พี่ริสา… ไปอาบน้ำเถอะนะคะ เดี๋ยวคุณแม่จะว่าอีก”
คาริสาไม่ได้ตอบในทันที เพียงปรายตามองประตูที่แม่เพิ่งเดินออกไป ก่อนจะพ่นลมหายใจเบา ๆ แล้วพยักหน้าช้า ๆ อย่างจำยอม