คาริสาที่อาบน้ำเสร็จออกมาจากห้องน้ำ ใส่ชุดคลุมผ้าบางสีขาวพลางเช็ดผมตัวเองเบา ๆ ก่อนจะหยุดยืนพิงโต๊ะเครื่องแป้ง มองอัญชันที่กำลังยืนรื้อชุดอยู่หน้า ตู้เสื้อผ้า
“อัญชัน ไม่ต้องหาหรอก หยิบ ๆ มาเถอะ ใส่อะไรก็ได้แหละ”
คาริสาพูดขณะมองเล็บตัวเองอย่างไม่ใส่ใจนัก
“ไม่ได้หรอกค่ะ เดี๋ยวคุณแม่ก็ดุพี่ริสาอีก”
อัญชันตอบเสียงอ่อน พลางก้ม ๆ เงย ๆ เลือกชุดอย่างตั้งใจราวกับกำลังแก้โจทย์ยากในชีวิต
คาริสาถอนหายใจเฮือกใหญ่ “เห้อ… น่าเบื่อ พี่ไม่ได้อยากแต่งงานซะหน่อย ทำไมต้องคอยบังคับกันด้วยก็ไม่รู้”
พูดจบ เธอหันกลับมาทำหน้าคิดจริงจังอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนแววตาจะวูบขึ้นอย่างมีแผนในหัว “อัญชัน…”
“คะ?”
“พี่ว่าพี่หนีไปอยู่ลำปาง บ้านอัญชันดีไหม?”
เสียงของคาริสาทำเอาอัญชันชะงักมือทันที ชุดในมือตกลงพื้นโดยไม่รู้ตัว
“ห๊ะ! พี่ริสาจะหนีอีกแล้วเหรอคะ!?”
คาริสาหลุดหัวเราะเบา ๆ “ก็พี่ไม่อยากแต่งนี่นา จะให้ยืนเฉย ๆ ให้เขายัดแหวนใส่มือหรือไง”
อัญชันทำตาโต “แต่คุณแม่พี่รู้เข้าคราวนี้ พี่ริสาได้โดนดุอีกแน่เลยนะคะ”
คาริสายักคิ้ว พลางยิ้มมุมปาก “ช่างแม่สิ… คราวนี้พี่จะหนีให้ถึงลำปางเลย คอยดูสิ”
“แต่อัญชันว่าตอนนี้…”
เสียงของอัญชันดังขึ้นเบา ๆ แต่ชัดพอจะหยุดความคิดในหัวของคาริสาได้
“พี่ริสาเลิกคิดเรื่องหนีไปก่อนเถอะค่ะ ไปแต่งตัวแล้วไปด้านล่างดีกว่า ป่านนี้คุณแม่กับพี่คิริวน่าจะรอกันอยู่แล้ว”
คาริสาเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะถอนหายใจยาวออกมา “เห้อ… อัญชันนี่นะ พูดเหมือนแม่ไม่มีผิดเลย”
“ก็อัญชันเป็นห่วงค่ะ”
อัญชันพูดพร้อมรอยยิ้มบาง ๆ ดวงตาเต็มไปด้วยความจริงใจ “พี่ริสาหนีได้หนึ่งครั้ง แต่หนีไปตลอดไม่ได้หรอกนะคะ”
คาริสาเลิกคิ้วมองเพื่อนรุ่นน้อง “พูดเหมือนคนแก่เลยนะเรา”
อัญชันหัวเราะเบา ๆ “ก็พี่ริสาทำตัวเหมือนเด็กหนีโรงเรียนอยู่ทุกวันนี่คะ”
“แหม พูดงี้พี่เสียฟอร์มหมดเลย” คาริสาว่าพลางหัวเราะในลำคอ “ก็ได้ ๆ เดี๋ยวพี่ลงไป… แต่อัญชันต้องลงไปด้วยนะ”
“แน่นอนค่ะ” อัญชันตอบพร้อมพยักหน้าแรง ๆ
หลังจากนั้น คาริสารีบเดินไปหยิบผ้าขนหนูเช็ดผมต่ออีกเล็กน้อย ก่อนจะเปิดตู้เสื้อผ้าที่อัญชันเพิ่งรื้อไว้เมื่อครู่
ชุดเดรสสีขาวที่ถูกเลือกไว้แขวนอยู่ตรงหน้า เรียบร้อย เรียบหรู และสุภาพจนแทบจะเป็นภาพลักษณ์ที่คุณแม่ต้องการเป๊ะทุกอย่าง
“อันนี้เหรอ?” คาริสาเอ่ยพลางยกชุดขึ้นมาดู ก่อนถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ “ดูเรียบร้อยเกินไปหน่อยไหมอัญชัน…”
อัญชันพยักหน้าช้า ๆ “คุณแม่เลือกไว้ให้ค่ะ พี่ริสาใส่แล้วต้องสวยแน่เลย”
“นั่นสิ… สวยเหมือนหุ่นในตู้กระจกแน่ ๆ” คาริสาบ่นพลางโยนชุดลงบนเตียงแบบไม่ใส่ใจ
เธอหันไปเปิดตู้เสื้อผ้าอีกฝั่ง หยิบเกาะอกสีดำเรียบขึ้นมา พร้อมกางเกงยีนส์เข้ารูป “อันนี้ดีกว่า ดูเป็นริสามากกว่าเยอะ”
อัญชันตาโตทันที “พี่ริสา! ชุดนั้นมัน… จะดีเหรอคะ”
“ดีกว่าชุดเดรสคุณหนูขาวจั๊วะนั่นเยอะเลย” คาริสาตอบพร้อมยิ้มเจ้าเล่ห์ ก่อนสวมชุดอย่างรวดเร็ว พอแต่งเสร็จก็ยืนมองเงาตัวเองในกระจกแล้วหันไปถามเสียงใส
“ว่าไงอัญชัน พอผ่านไหม?”
อัญชันกัดริมฝีปากพลางพยักหน้าอย่างจำใจ “ผ่านค่ะ… แต่ถ้าคุณแม่เห็น อัญชันไม่ช่วยนะคะ”
คาริสาหัวเราะเบา ๆ “ไม่ต้องช่วย แค่ไม่ฟ้องก็พอ”
เสียงส้นรองเท้ากระทบพื้นดังขึ้นเป็นจังหวะสม่ำเสมอ เมื่อคาริสาเดินลงมาจากบันไดพร้อมอัญชันที่ตามมาด้านหลัง
เธอสวมเกาะอกสีดำตัดกับผิวขาวเนียนและกางเกงยีนส์เข้ารูป ดูโดดเด่นและมั่นใจในแบบที่ตรงข้ามกับบรรยากาศเคร่งครัดของโต๊ะอาหารโดยสิ้นเชิง
ห้องอาหารใหญ่ของคฤหาสน์เงียบลงชั่วขณะทันทีที่ทั้งคู่ก้าวเข้ามา
คุณพัชรีนั่งหัวโต๊ะ สีหน้าเรียบแต่แววตาฉายชัดถึงความไม่พอใจ
ข้างขวาของเธอคือคิริวที่กำลังจิบน้ำชาอยู่เงียบ ๆ ส่วนด้านหลังเป็นเดย์ ยืนกุมมือไว้ข้างหน้า ก้มหน้านิด ๆ เหมือนพยายามหลบสายตาใครบางคน
อัญชันเดินตามหลังคาริสาเข้ามา ก่อนรีบตรงไปนั่งข้างคิริวอย่างเงียบ ๆ
คาริสายืนอยู่ปลายโต๊ะ ดวงตากวาดมองรอบห้องเพียงครู่เดียวก็เห็นชายแปลกหน้าที่ยังไม่เคยเจอมาก่อนนั่งอยู่ฝั่งซ้ายของโต๊ะ เขาดูอายุมากกว่าเธอหลายปี ใบหน้าเรียบนิ่งแต่รอยยิ้มที่มุมปากกลับทำให้คาริสารู้สึกหนาววาบ
“มาแล้วเหรอ ริสา!”
เสียงของคุณพัชรีดังขึ้นเรียบ ๆ แต่แฝงด้วยความไม่พอใจ “มานั่งข้างคุณเกริงพลสิลูก”
แววตาของแม่กวาดมองตั้งแต่หัวจรดเท้า รอยยิ้มที่มุมปากแทบไม่เหลืออยู่เมื่อเห็นชุดของคาริสา เกาะอกสีดำรัดรูปกับยีนส์เอวสูงที่เรียกสายตาทุกคู่ในห้องให้หันมามอง
คาริสาเม้มปากแน่น ก่อนยกยิ้มบาง ๆ กลับไปอย่างท้าทาย “ชุดนี้ไม่เหมาะเหรอคะ แม่?”
คุณพัชรีนิ่งไปครู่ ก่อนตอบเสียงเย็น “เหมาะสิ… ถ้าไปเดินเล่น ไม่ใช่มานั่งกินข้าวกับแขกผู้ใหญ่”
“ไม่เป็นไรหรอกครับ”
เสียงทุ้มเรียบของชายแปลกหน้าดังขึ้น ขาดเพียงรอยยิ้มเล็ก ๆ ที่แตะมุมปากอย่างผู้ดี
“น้องริสามานั่งสิครับ”
เขาพูดพลางเลื่อนเก้าอี้ข้างตัวออกอย่างสุภาพ ท่าทางใจเย็นแต่แฝงอำนาจบางอย่างที่คาริสารับรู้ได้ทันที
คาริสาชะงักไปเล็กน้อย แต่ก็ยอมขยับเดินเข้าไปอย่างเสียไม่ได้ เสียงส้นรองเท้ากระทบพื้นห้องดัง แกร๊ก… แกร๊ก… ท่ามกลางความเงียบของทุกสายตาที่จับจ้อง
เธอนั่งลงอย่างระวัง ก่อนจะเอ่ยเสียงเบา “ขอบคุณค่ะ”
ในจังหวะนั้นเอง สายตาคมของเดย์ซึ่งยืนอยู่ด้านหลังก็เผลอสบเข้ากับเธอพอดี เพียงเสี้ยววินาที แต่เหมือนเวลาทั้งห้องหยุดนิ่ง
แววตานั้นนิ่ง เรียบ แต่เต็มไปด้วยบางอย่างที่คาริสาอ่านออก… ความไม่พอใจ หรืออาจเป็นห่วง เธอเองก็ไม่แน่ใจ
คาริสาหลบตาอย่างรวดเร็ว มือเรียวกำชายกางเกงไว้แน่นใต้โต๊ะ พยายามบังคับหัวใจตัวเองไม่ให้เต้นแรงเกินไป
“รู้จักกันไว้สิลูก ไหน ๆ ริสาก็ยังไม่เคยเห็นหน้า…”
เสียงของคุณพัชรีดังขึ้นอย่างตั้งใจ เธอหันมาทางคาริสาก่อนจะปรายตาไปยังชายหนุ่มที่นั่งข้าง ๆ
“ริสา นี่คุณเกริงพล ลูกชายคนเดียวของตระกูลคาแบล็ค เขามีร้านทองใหญ่ทั่วประเทศเชียวนะ”
“ฮ่า ๆ คุณป้าก็พูดเกินไปครับ”
เกริงพลหัวเราะเบา ๆ เสียงทุ้มอบอุ่นแต่ฟังดูประดิษฐ์เล็กน้อย “จริง ๆ ก็ไม่ใช่ของผมหรอกครับ ทั้งหมดเป็นของคุณพ่อท่านทั้งนั้น ผมแค่ช่วยดูแลเฉย ๆ ครับ”
คาริสาเหลือบตามองเขาเพียงเสี้ยววินาที ก่อนพูดเสียงเรียบเย็น “ริสาไม่ได้อยากรู้ค่ะ มีอะไรก็พูดมาเลยดีกว่าค่ะ”
เสียงในห้องเงียบลงชั่วขณะ มีเพียงเสียงช้อนกระทบจานเบา ๆ จากอัญชันที่แทบไม่กล้าหายใจแรง
“คาริสา มีมารยาทหน่อย”
น้ำเสียงเข้มของคิริวดังขึ้นจากอีกฝั่งของโต๊ะ เขาวางแก้วน้ำลงเบา ๆ ดวงตาคมจ้องน้องสาวนิ่งอย่างตำหนิ
คาริสาหันไปมองพี่ชาย แววตาแข็งกร้าวขึ้นในทันที “เฮียก็รู้ใช่ไหม ว่าริสาไม่อยากแต่ง แล้วทำไมต้องให้มารยาทกับคนที่ไม่ได้อยากรู้จักด้วยล่ะ?”
คุณพัชรีถึงกับวางช้อนลงบนจานเสียงดัง แกร๊ง!
“คาริสา!”
บรรยากาศบนโต๊ะอาหารตึงเครียดขึ้นอีกขั้น เดย์ที่ยืนอยู่ด้านหลังคิริวกำมือแน่นโดยไม่รู้ตัว ส่วนเกริงพลเพียงแค่ยิ้มบาง ๆ เหมือนไม่ถือสา แต่แววตาที่มองคาริสาราวกับมีบางอย่างมากกว่าความสุภาพธรรมดา