“ไม่มีเจ้าสาว…”

1369 Words
งานแต่ง… ณ โรงแรมหรูใจกลางเมือง เสียงเคาะประตูดังขึ้นเบา ๆ ก่อนที่หญิงสาวคนหนึ่งจะก้าวเข้ามาอย่างเกรงใจ “คุณพัชรีคะ เอ่อ… คือ ตอนนี้เจ้าสาวอยู่ไหนเหรอคะ?” เธอเอ่ยถามอย่างลังเล “ช่างแต่งหน้า ช่างทำผม มารอเกือบสองชั่วโมงแล้ว แต่ยังไม่เห็นเจ้าสาวเลยค่ะ” คุณพัชรีที่กำลังยืนดูความเรียบร้อยในงานอยู่ชะงัก ก่อนจะหันกลับมามองด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง “ยังไม่มาเหรอคะ?” “ค่ะ… โทรหาก็ไม่รับด้วยค่ะ” รอยยิ้มบาง ๆ ที่เคยประดับบนใบหน้าของคุณพัชรีค่อย ๆ จางหายไปทันที แววตาเริ่มเข้มขึ้น “จริงเหรอคะ… งั้นเดี๋ยวพี่รีบตามให้เลย ต้องขอโทษทุกคนด้วยนะคะ” น้ำเสียงยังคงสุภาพ แต่โทนแฝงแรงกดดันชัดเจน คุณพัชรีหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดต่อหมายเลขของลูกสาวทันที รอ… และรอ… ก่อนที่เสียงตอบรับจากปลายสายจะดังขึ้น “หมายเลขที่ท่านเรียก ไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้…” นิ้วเรียวชะงักค้างกลางอากาศ ก่อนที่เธอจะกดโทรซ้ำอีกครั้ง… แล้วอีกครั้ง… แต่คำตอบก็ยังเหมือนเดิม เธอเม้มปากแน่น ดวงตาเริ่มแข็งกร้าว “ปิดเครื่องเหรอ… มาปิดเครื่องอะไรตอนนี้?” เสียงพูดเบา แต่แฝงด้วยแรงอารมณ์จนช่างแต่งหน้าที่ยืนใกล้ ๆ ต้องเบือนหน้าหนีด้วยความอึดอัด “เดี๋ยวพี่ตามให้นะคะ” คุณพัชรีพูดกับช่างแต่งหน้าเสียงเรียบ ก่อนจะหมุนตัวออกจากห้องไปด้วยท่าทีเร่งรีบ เสียงรองเท้าส้นสูงกระทบพื้นพรมดังถี่ขึ้นเรื่อย ๆ จนกระทั่งเธอเห็นคิริวเดินเข้ามาในงานพร้อมอัญชัน ทั้งคู่กำลังทักทายแขกอยู่ ทันทีที่เห็นลูกชาย เธอก็พุ่งตัวเข้าไปคว้าแขนเขาทันที “คิริว!” น้ำเสียงนั้นทั้งเร่งและสั่นด้วยความโกรธปนกังวล คิริวชะงัก “แม่? … มีอะไรครับ” คุณพัชรีไม่พูดพร่ำ เธอกระชากแขนลูกชายพาออกมาด้านข้างของงาน ท่ามกลางสายตาของแขกบางส่วนที่เริ่มหันมามองด้วยความสงสัย เมื่อถึงมุมลับตาคน เธอหันไปเอ่ยถามเสียงเฉียบ “คิริว เห็นน้องบ้างไหม? แม่โทรไปแล้ว แต่มันปิดเครื่อง!” คิริวขมวดคิ้วทันที “ไม่นะครับ ผมคิดว่าริสาอยู่ในห้องแต่งตัวซะอีก…” คุณพัชรีหันขวับไปมองหน้าเขา “ไม่อยู่น่ะสิ! เมื่อกี้ช่างแต่งหน้าเพิ่งมาบอกแม่ ว่าติดต่อริสาไม่ได้ พวกเขารออยู่เกือบสองชั่วโมงแล้ว!” คิริวเงียบไปครู่หนึ่ง สีหน้าครุ่นคิด แต่แววตาแอบวูบไหว คุณพัชรีจับจ้องเขาอย่างจับผิด “แล้วนี่เจ้าเดย์ไปไหน? ตั้งแต่เช้ายังไม่เห็นหน้าเลย…” เธอพูดช้า ๆ ราวกับกำลังเชื่อมโยงบางอย่างเข้าด้วยกัน “เดย์กับคาริสา… ต้องอยู่ด้วยกันแน่ ๆ” คิริวเม้มปากแน่น แววตาเริ่มหลบเล็กน้อย แค่ชั่วเสี้ยววินาที แต่ไม่รอดพ้นสายตาของคุณพัชรี “คิริว…” น้ำเสียงของเธอต่ำลง แฝงความโกรธที่เริ่มคุกรุ่น “อย่าบอกนะ ว่าแก… ก็รู้เรื่องนี้ด้วย” อัญชันที่ยืนอยู่ไม่ไกลถึงกับหน้าซีด เธอเผลอก้าวถอยหลังหนึ่งก้าว ขณะคิริวยืนนิ่ง ไม่ตอบอะไรแม้แต่คำเดียว แต่ยังไม่ทันที่คิริวจะอ้าปากพูด เสียงไมค์ในงานก็ดังขึ้นแทรกจากลำโพงทั่วห้องโถง “เชิญแขกทุกท่านนั่งประจำที่กันได้เลยนะคะ…” “ช่วงเวลานับต่อจากนี้ไป จะเข้าสู่พิธีมงคลสมรสของคุณเกริงพล คาแบล็ค และคุณคาริสา อัครเวทย์ค่ะ!” เสียงพิธีกรหญิงดังอย่างร่าเริง ท่ามกลางเสียงปรบมือเบา ๆ จากแขกในงานที่ไม่รู้เลย… ว่าเจ้าสาวของงานยังไม่อยู่ที่นี่ กล้องวิดีโอในงานเริ่มหมุนตามคำประกาศ ไฟสปอร์ตไลต์ส่องไปยังทางเดินพรมแดงหน้าห้องจัดเลี้ยง ทุกอย่างถูกจัดไว้อย่างสมบูรณ์แบบ… ยกเว้นเพียงอย่างเดียว ไม่มีเจ้าสาว พิธีกรชายพูดเสริมด้วยน้ำเสียงร่าเริงเกินจริง “ทั้งคู่ดูเหมาะสมกันมากเลยนะครับ บอกเลยว่าคู่บ่าวสาวของเราในวันนี้ หล่อสวยราวกับหลุดออกมาจากเทพนิยายเลยทีเดียว!” คำว่า “คู่บ่าวสาว” ดังสะท้อนในหูของคุณพัชรีราวกับมีดบาด เธอยืนนิ่ง ดวงตาเริ่มแข็งกร้าว สีหน้าเริ่มเปลี่ยนจากความตกใจ… เป็นความโกรธที่แผ่วลึก “คิริว!” เสียงของคุณพัชรีดังขึ้นอีกครั้ง คราวนี้เต็มไปด้วยแรงอารมณ์จนคนรอบข้างเริ่มหันมามอง “บอกแม่มา คาริสาอยู่ไหน! แม่จะไปตามกลับมาเดี๋ยวนี้!” คิริวยืนนิ่ง สีหน้าเรียบเย็นอย่างคนที่พยายามควบคุมอารมณ์สุดชีวิต ก่อนจะพูดเสียงเรียบแต่คมกริบ “ลูกสาวแม่… แม่ก็หาเองสิครับ” คุณพัชรีชะงัก “ว่าอะไรนะ?” “ก็แม่เป็นแม่ของคาริสา” คิริวเงยหน้ามองตรง แววตาเยือกเย็นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน “แม่ก็ต้องรู้สิ ว่าลูกสาวแม่จะหนีไปไหน” เสียงรอบข้างเงียบลงทันที เหลือเพียงเสียงหอบหายใจของคุณพัชรีที่เริ่มถี่ขึ้น “คิริว!” เสียงเรียกนั้นดังสะท้อน ทั้งสั่น ทั้งสั่นสะเทือนด้วยอารมณ์ที่ปะทุ “แกกล้าพูดกับแม่แบบนี้เหรอ!” คิริวสบตาเธอตรง ๆ ไม่มีหลบ “กล้า… เพราะผมเบื่อแล้วครับ ที่ต้องเห็นคนในบ้านนี้เจ็บไปทีละคน แค่เพราะคำว่าตระกูล” คุณพัชรีถึงกับนิ่งไป ดวงตาสั่นระริก แต่ไม่พูดอะไรต่อ เหมือนทุกคำของลูกชายกำลังตบหน้าเธอซ้ำแล้วซ้ำเล่า เสียงไมค์ประกาศดังขึ้นอีกครั้ง แทรกกลางบรรยากาศที่เริ่มแปลกประหลาดในห้องจัดเลี้ยง “เอาล่ะค่ะ… ถึงเวลาที่ทุกท่านรอคอยแล้วค่ะ!” “ช่วงเวลาต่อจากนี้ไป จะเข้าสู่พิธีมงคลสมรสระหว่างคุณเกริงพล คาแบล็ค และคุณคาริสา อัครเวทย์ค่ะ!” เสียงพิธีกรหญิงดังอย่างสดใส ขณะที่ไฟสปอร์ตไลต์เริ่มส่องไปยังทางเดินพรมแดงตรงกลางห้อง แขกหลายคนลุกขึ้นหันไปมองประตูทางเข้าอย่างตื่นเต้น เจ้าบ่าวที่ยืนอยู่บนเวที มองไปยังประตูทางเข้าด้วยสายตาคาดหวัง ทุกอย่างในห้องนิ่งสนิท เหลือเพียงเสียงดนตรีบรรเลงเบา ๆ ที่เริ่มกลืนหายไปกับอากาศ แต่… ประตูยังคงปิดสนิท เสียงกระซิบเริ่มดังขึ้นทั่วห้องจัดเลี้ยง “เจ้าสาวยังไม่มาเหรอ?” “หรือยังแต่งหน้าไม่เสร็จ?” “เห็นว่าช่างรอตั้งนานแล้วนะ…” เสียงซุบซิบเหล่านั้นค่อย ๆ ดังขึ้นเรื่อย ๆ จนกลายเป็นคลื่นความสงสัยที่ลอยอยู่กลางห้องหรู กล้องวิดีโอหมุนช้า ๆ จับภาพไปยังใบหน้าของเจ้าบ่าว เกริงพล คาแบล็ค ยืนยิ้มฝืนอยู่กลางสปอร์ตไลต์ รอยยิ้มที่เคยมั่นใจเริ่มสั่นไหว ดวงตาเต็มไปด้วยความกระอักกระอ่วนและความอับอายที่เริ่มแผ่กระจายไปทั่วร่าง คุณพัชรียืนอยู่ไม่ไกลจากเวที ดวงตาเย็นเฉียบไล่มองทั่วห้องอย่างควบคุมอารมณ์ไม่อยู่ เส้นเลือดที่ขมับเริ่มปูดขึ้นอย่างชัดเจน เสียงของเธอหลุดออกมาแผ่วต่ำ แต่หนักแน่นจนคิริวที่ยืนข้าง ๆ ได้ยินชัด “คิริว…” เธอหันขวับไปสบตาลูกชาย “แก… พาน้องไปไหน” คิริวไม่ตอบ เขายืนนิ่ง มองไปยังเวทีตรงหน้า ที่ตอนนี้ ไฟสปอร์ตไลต์ยังคงส่องว่างเปล่าอยู่ในตำแหน่งของเจ้าสาว เสียงพิธีกรดังขึ้นอีกครั้ง พยายามกลบความเงียบที่เริ่มกลืนกินทั้งงาน “และตอนนี้… ขอเสียงปรบมือต้อนรับเจ้าสาวของเรา คุณคาริสา อัครเวทย์ค่ะ!” เสียงปรบมือดังกึกก้องขึ้นทั่วห้องอย่างเป็นจังหวะ แต่เวลาผ่านไป… หนึ่งวินาที สองวินาที… แล้วก็สาม… ประตูทางเข้า ยังคงปิดสนิท ไม่มีใครออกมา ไม่มีเสียงฝีเท้า ไม่มีแม้แต่เงาของชุดสีขาว ไฟสปอร์ตไลต์ยังคงส่องตรงไปที่ประตูที่ว่างเปล่า และในวินาทีนั้น เสียงปรบมือทั้งหมดค่อย ๆ เงียบลง เหลือเพียงเสียงลมหายใจที่หนักขึ้นของคุณพัชรี…
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD