งานแต่ง…
ณ โรงแรมหรูใจกลางเมือง
เสียงเคาะประตูดังขึ้นเบา ๆ ก่อนที่หญิงสาวคนหนึ่งจะก้าวเข้ามาอย่างเกรงใจ
“คุณพัชรีคะ เอ่อ… คือ ตอนนี้เจ้าสาวอยู่ไหนเหรอคะ?” เธอเอ่ยถามอย่างลังเล “ช่างแต่งหน้า ช่างทำผม มารอเกือบสองชั่วโมงแล้ว แต่ยังไม่เห็นเจ้าสาวเลยค่ะ”
คุณพัชรีที่กำลังยืนดูความเรียบร้อยในงานอยู่ชะงัก ก่อนจะหันกลับมามองด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง
“ยังไม่มาเหรอคะ?”
“ค่ะ… โทรหาก็ไม่รับด้วยค่ะ”
รอยยิ้มบาง ๆ ที่เคยประดับบนใบหน้าของคุณพัชรีค่อย ๆ จางหายไปทันที แววตาเริ่มเข้มขึ้น
“จริงเหรอคะ… งั้นเดี๋ยวพี่รีบตามให้เลย ต้องขอโทษทุกคนด้วยนะคะ”
น้ำเสียงยังคงสุภาพ แต่โทนแฝงแรงกดดันชัดเจน
คุณพัชรีหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดต่อหมายเลขของลูกสาวทันที รอ… และรอ… ก่อนที่เสียงตอบรับจากปลายสายจะดังขึ้น
“หมายเลขที่ท่านเรียก ไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้…”
นิ้วเรียวชะงักค้างกลางอากาศ ก่อนที่เธอจะกดโทรซ้ำอีกครั้ง… แล้วอีกครั้ง…
แต่คำตอบก็ยังเหมือนเดิม
เธอเม้มปากแน่น ดวงตาเริ่มแข็งกร้าว “ปิดเครื่องเหรอ… มาปิดเครื่องอะไรตอนนี้?”
เสียงพูดเบา แต่แฝงด้วยแรงอารมณ์จนช่างแต่งหน้าที่ยืนใกล้ ๆ ต้องเบือนหน้าหนีด้วยความอึดอัด
“เดี๋ยวพี่ตามให้นะคะ”
คุณพัชรีพูดกับช่างแต่งหน้าเสียงเรียบ ก่อนจะหมุนตัวออกจากห้องไปด้วยท่าทีเร่งรีบ
เสียงรองเท้าส้นสูงกระทบพื้นพรมดังถี่ขึ้นเรื่อย ๆ จนกระทั่งเธอเห็นคิริวเดินเข้ามาในงานพร้อมอัญชัน ทั้งคู่กำลังทักทายแขกอยู่
ทันทีที่เห็นลูกชาย เธอก็พุ่งตัวเข้าไปคว้าแขนเขาทันที
“คิริว!” น้ำเสียงนั้นทั้งเร่งและสั่นด้วยความโกรธปนกังวล
คิริวชะงัก “แม่? … มีอะไรครับ”
คุณพัชรีไม่พูดพร่ำ เธอกระชากแขนลูกชายพาออกมาด้านข้างของงาน ท่ามกลางสายตาของแขกบางส่วนที่เริ่มหันมามองด้วยความสงสัย
เมื่อถึงมุมลับตาคน เธอหันไปเอ่ยถามเสียงเฉียบ “คิริว เห็นน้องบ้างไหม? แม่โทรไปแล้ว แต่มันปิดเครื่อง!”
คิริวขมวดคิ้วทันที “ไม่นะครับ ผมคิดว่าริสาอยู่ในห้องแต่งตัวซะอีก…”
คุณพัชรีหันขวับไปมองหน้าเขา “ไม่อยู่น่ะสิ! เมื่อกี้ช่างแต่งหน้าเพิ่งมาบอกแม่ ว่าติดต่อริสาไม่ได้ พวกเขารออยู่เกือบสองชั่วโมงแล้ว!”
คิริวเงียบไปครู่หนึ่ง สีหน้าครุ่นคิด แต่แววตาแอบวูบไหว
คุณพัชรีจับจ้องเขาอย่างจับผิด “แล้วนี่เจ้าเดย์ไปไหน? ตั้งแต่เช้ายังไม่เห็นหน้าเลย…”
เธอพูดช้า ๆ ราวกับกำลังเชื่อมโยงบางอย่างเข้าด้วยกัน “เดย์กับคาริสา… ต้องอยู่ด้วยกันแน่ ๆ”
คิริวเม้มปากแน่น แววตาเริ่มหลบเล็กน้อย แค่ชั่วเสี้ยววินาที แต่ไม่รอดพ้นสายตาของคุณพัชรี
“คิริว…” น้ำเสียงของเธอต่ำลง แฝงความโกรธที่เริ่มคุกรุ่น “อย่าบอกนะ ว่าแก… ก็รู้เรื่องนี้ด้วย”
อัญชันที่ยืนอยู่ไม่ไกลถึงกับหน้าซีด เธอเผลอก้าวถอยหลังหนึ่งก้าว ขณะคิริวยืนนิ่ง ไม่ตอบอะไรแม้แต่คำเดียว
แต่ยังไม่ทันที่คิริวจะอ้าปากพูด เสียงไมค์ในงานก็ดังขึ้นแทรกจากลำโพงทั่วห้องโถง
“เชิญแขกทุกท่านนั่งประจำที่กันได้เลยนะคะ…”
“ช่วงเวลานับต่อจากนี้ไป จะเข้าสู่พิธีมงคลสมรสของคุณเกริงพล คาแบล็ค และคุณคาริสา อัครเวทย์ค่ะ!”
เสียงพิธีกรหญิงดังอย่างร่าเริง ท่ามกลางเสียงปรบมือเบา ๆ จากแขกในงานที่ไม่รู้เลย… ว่าเจ้าสาวของงานยังไม่อยู่ที่นี่
กล้องวิดีโอในงานเริ่มหมุนตามคำประกาศ
ไฟสปอร์ตไลต์ส่องไปยังทางเดินพรมแดงหน้าห้องจัดเลี้ยง
ทุกอย่างถูกจัดไว้อย่างสมบูรณ์แบบ… ยกเว้นเพียงอย่างเดียว
ไม่มีเจ้าสาว
พิธีกรชายพูดเสริมด้วยน้ำเสียงร่าเริงเกินจริง “ทั้งคู่ดูเหมาะสมกันมากเลยนะครับ บอกเลยว่าคู่บ่าวสาวของเราในวันนี้ หล่อสวยราวกับหลุดออกมาจากเทพนิยายเลยทีเดียว!”
คำว่า “คู่บ่าวสาว” ดังสะท้อนในหูของคุณพัชรีราวกับมีดบาด เธอยืนนิ่ง ดวงตาเริ่มแข็งกร้าว สีหน้าเริ่มเปลี่ยนจากความตกใจ… เป็นความโกรธที่แผ่วลึก
“คิริว!” เสียงของคุณพัชรีดังขึ้นอีกครั้ง คราวนี้เต็มไปด้วยแรงอารมณ์จนคนรอบข้างเริ่มหันมามอง
“บอกแม่มา คาริสาอยู่ไหน! แม่จะไปตามกลับมาเดี๋ยวนี้!”
คิริวยืนนิ่ง สีหน้าเรียบเย็นอย่างคนที่พยายามควบคุมอารมณ์สุดชีวิต ก่อนจะพูดเสียงเรียบแต่คมกริบ
“ลูกสาวแม่… แม่ก็หาเองสิครับ”
คุณพัชรีชะงัก “ว่าอะไรนะ?”
“ก็แม่เป็นแม่ของคาริสา” คิริวเงยหน้ามองตรง แววตาเยือกเย็นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน “แม่ก็ต้องรู้สิ ว่าลูกสาวแม่จะหนีไปไหน”
เสียงรอบข้างเงียบลงทันที
เหลือเพียงเสียงหอบหายใจของคุณพัชรีที่เริ่มถี่ขึ้น
“คิริว!” เสียงเรียกนั้นดังสะท้อน ทั้งสั่น ทั้งสั่นสะเทือนด้วยอารมณ์ที่ปะทุ “แกกล้าพูดกับแม่แบบนี้เหรอ!”
คิริวสบตาเธอตรง ๆ ไม่มีหลบ
“กล้า… เพราะผมเบื่อแล้วครับ ที่ต้องเห็นคนในบ้านนี้เจ็บไปทีละคน แค่เพราะคำว่าตระกูล”
คุณพัชรีถึงกับนิ่งไป ดวงตาสั่นระริก แต่ไม่พูดอะไรต่อ เหมือนทุกคำของลูกชายกำลังตบหน้าเธอซ้ำแล้วซ้ำเล่า
เสียงไมค์ประกาศดังขึ้นอีกครั้ง แทรกกลางบรรยากาศที่เริ่มแปลกประหลาดในห้องจัดเลี้ยง
“เอาล่ะค่ะ… ถึงเวลาที่ทุกท่านรอคอยแล้วค่ะ!”
“ช่วงเวลาต่อจากนี้ไป จะเข้าสู่พิธีมงคลสมรสระหว่างคุณเกริงพล คาแบล็ค และคุณคาริสา อัครเวทย์ค่ะ!”
เสียงพิธีกรหญิงดังอย่างสดใส ขณะที่ไฟสปอร์ตไลต์เริ่มส่องไปยังทางเดินพรมแดงตรงกลางห้อง แขกหลายคนลุกขึ้นหันไปมองประตูทางเข้าอย่างตื่นเต้น
เจ้าบ่าวที่ยืนอยู่บนเวที มองไปยังประตูทางเข้าด้วยสายตาคาดหวัง
ทุกอย่างในห้องนิ่งสนิท เหลือเพียงเสียงดนตรีบรรเลงเบา ๆ ที่เริ่มกลืนหายไปกับอากาศ
แต่… ประตูยังคงปิดสนิท
เสียงกระซิบเริ่มดังขึ้นทั่วห้องจัดเลี้ยง
“เจ้าสาวยังไม่มาเหรอ?”
“หรือยังแต่งหน้าไม่เสร็จ?”
“เห็นว่าช่างรอตั้งนานแล้วนะ…”
เสียงซุบซิบเหล่านั้นค่อย ๆ ดังขึ้นเรื่อย ๆ จนกลายเป็นคลื่นความสงสัยที่ลอยอยู่กลางห้องหรู
กล้องวิดีโอหมุนช้า ๆ จับภาพไปยังใบหน้าของเจ้าบ่าว
เกริงพล คาแบล็ค ยืนยิ้มฝืนอยู่กลางสปอร์ตไลต์
รอยยิ้มที่เคยมั่นใจเริ่มสั่นไหว ดวงตาเต็มไปด้วยความกระอักกระอ่วนและความอับอายที่เริ่มแผ่กระจายไปทั่วร่าง
คุณพัชรียืนอยู่ไม่ไกลจากเวที ดวงตาเย็นเฉียบไล่มองทั่วห้องอย่างควบคุมอารมณ์ไม่อยู่ เส้นเลือดที่ขมับเริ่มปูดขึ้นอย่างชัดเจน
เสียงของเธอหลุดออกมาแผ่วต่ำ แต่หนักแน่นจนคิริวที่ยืนข้าง ๆ ได้ยินชัด
“คิริว…”
เธอหันขวับไปสบตาลูกชาย “แก… พาน้องไปไหน”
คิริวไม่ตอบ เขายืนนิ่ง มองไปยังเวทีตรงหน้า ที่ตอนนี้ ไฟสปอร์ตไลต์ยังคงส่องว่างเปล่าอยู่ในตำแหน่งของเจ้าสาว
เสียงพิธีกรดังขึ้นอีกครั้ง พยายามกลบความเงียบที่เริ่มกลืนกินทั้งงาน
“และตอนนี้… ขอเสียงปรบมือต้อนรับเจ้าสาวของเรา คุณคาริสา อัครเวทย์ค่ะ!”
เสียงปรบมือดังกึกก้องขึ้นทั่วห้องอย่างเป็นจังหวะ
แต่เวลาผ่านไป… หนึ่งวินาที สองวินาที… แล้วก็สาม…
ประตูทางเข้า ยังคงปิดสนิท
ไม่มีใครออกมา ไม่มีเสียงฝีเท้า ไม่มีแม้แต่เงาของชุดสีขาว ไฟสปอร์ตไลต์ยังคงส่องตรงไปที่ประตูที่ว่างเปล่า
และในวินาทีนั้น เสียงปรบมือทั้งหมดค่อย ๆ เงียบลง เหลือเพียงเสียงลมหายใจที่หนักขึ้นของคุณพัชรี…