รอยรัก ตอนที่ 3 ทั้งรักทั้งแค้น

1884 Words
ตึก ตัก ตึก ตัก ~ น้ำพิงค่อยเลื่อนมือที่ปิดที่ตรวจครรภ์ออกอย่างช้าๆ "กรี๊ดดดด... .ไม่....ไม่จริง" น้ำพิงกรีดร้องสุดเสียงก่อนจะทรุดตัวลงไปกับพื้นห้องน้ำ ปัง!! ปัง!! เสียงเคาะประตูจากทางด้านนอก "น้ำพิงแกเป็นอะไร เปิด เปิดประตูออกมาเดี๋ยวนี้" น้ำตาลเคาะประตูร้องเรียกด้วยความเป็นห่วง เอี๊ยดด~ เสียงเปิดประตูดังขึ้น "น้ำตาล...ฉันท้อง ฮือออ" น้ำพิงโผเข้ากอดน้ำตาลก่อนจะปล่อยโฮออกมาแทบขาดใจ "ฮือๆ ฉันจะทำอย่างไงดี ฮือออ" "โถ่...น้ำพิง" น้ำตาลมองเพื่อนอย่างสงสารจับใจ -วันซ้อมรับปริญญาคณะวิทย์- "แกแน่ใจนะว่าจะบอกมันจริงๆ"น้ำตาลย้ำถามฉันอีกครั้ง "อย่างน้อยถ้าเค้ายังมีความเป็นคนอยู่บ้างก็น่าจะช่วยดูแลเด็กที่จะเกิดมาได้" หลังจากที่ทำใจอยู่พักใหญ่ ฉันตัดสินใจที่จะมาบอกเรื่องนี้กับเขา ต่อให้ฉันจะเกลียดเขามากแค่ไหนแต่อย่างน้อยเขาก็เป็นพ่อของลูก ฉันกับน้ำตาลเรามาแอบมองเขาอยู่นานก่อนจะเป็นฉันที่ส่งข้อความไปหาเขา นัดไปคุยกันที่หลังตึกคณะวิทย์เพราะวันนี้น่าจะเป็นที่ที่ไม่ค่อยจะมีคนผ่านไปมาเท่าไรนัก เวไนย talk แชะ แชะ แชะ ~ วันนี้เป็นวันซ้อมรับปริญญาของผมเพื่อนๆพี่น้องที่รู้จักต่างมาถ่ายรูปร่วมเเสดงความยินดีกับผมอย่างไม่ขาดสาย จริงๆ ถ้าระหว่างผมกับเธอมันไม่มีเรื่องร้ายๆเกิดขึ้นเธอคงมาร่วมถ่ายรูปยินดีกับผมในฐานะคนรักแบบคู่อื่นๆแล้ว ถ้าถามความรู้สึกลึกๆในใจผมเองก็รู้สึกผิดกับเธอไม่น้อย ถึงผมจะเป็นหนุ่มแบดบอยอย่างที่ใครๆว่า แต่การที่ผมเข้าหาเธอตามจีบเธอมันเกิดจากความรู้สึกจริงๆที่ผมรู้สึกกับเธอถึงขั้นที่ว่า 'รัก' เลยทีเดียวแหละ แต่พอผมได้รู้ว่าเธอเป็นสาเหตุที่ทำให้น้องชายคนเดียวของผมต้องตาย ความรู้สึกของผมมันก็เปลี่ยนไปมัน'ทั้งรักทั้งแค้น' มันทำให้ใจผมสับสนอยู่นานจนสุดท้ายผมก็เลือกที่จะ "แค้น" และแก้แค้นเธอคนที่ผม 'รัก' ติ้ง~ Dr.Namping : ขอคุยด้วยหน่อยได้ไหม สำคัญจริงๆ เจอที่หลังตึกคณะวิทย์ เสียงข้อความจากคนที่ผมกำลังนึกถึงอยู่ในใจดังขึ้น ในรอบหลายเดือนหลังจากที่เธอคอยหลบหน้าหลบตาผมอยู่ตลอดจนมาวันนี้กับเป็นฝ่ายเรียกร้องอยากพบผมเอง -หลังตึกคณะวิทย์- "น้ำพิงแกคิดว่ามันจะมามั้ย" น้ำตาลเอ่ยถามฉันขึ้นหลังจากที่ฉันกับน้ำตาลนั่งรออยู่นาน "ไม่รู้สิ" ฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาจะมามั้ยเพราะฉันอาจจะไม่ได้มีความสำคัญอะไรกับเขาขนาดนั้น ตึก ตึก ตึก ~ เสียงฝีเท้าของใครบางคนกำลังเดินเข้ามาแล้วหยุดอยู่ตรงหน้าฉัน ใช่มันคือเขาเองคนที่ฉันกำลังรออยู่ "มีเรื่องอะไรจะคุยกับฉัน ถ้าอยากจะมาถามรูปกับผัวทำไมไม่ไปถ่ายหน้างานดีๆละครับ คุณหมอน้ำพิง" เวไนยกล่าวทักทายด้วยท่าทางยียวนกวนประสาท "มาถึงก็กวน*ีน เพื่อนฉันเลยนะ" น้ำตาลพูดขึ้น "หึ..ถ้าจะคุยกับฉันก็ให้เพื่อนเธอออกไปจากตรงนี้ซะ ถ้าไม่อย่างนั้นฉันก็ไม่คุย"เวไนยหันไปพูดเสียงแข็งกับน้ำพิง "แต่ฉันไม่ไว้ใจให้เพื่อนฉันอยู่กับนาย 2 ต่อ 2 " "ออกไปก่อนนะน้ำตาล ถ้ามีอะไรเดี๋ยวฉันเรียก" ฉันพยักหน้าบอกให้น้ำตาลออกไปรออยู่ห่างๆก่อนซึ่งน้ำตาลก็ยอมทำแต่โดยดี "นึกว่าจะหลบหน้าหลบตาฉันไปตลอดสะอีก" "ก็ไม่ได้อยากจะเจอคนเ*ี้ยๆแบบนายสักเท่าไรหรอกนะถ้าไม่จำเป็น" "หึ..ไม่ได้โดน....นานปากดีขึ้นเยอะเลยนะ" เวไนยปลายตามองน้ำพิงไปหัวจดเท้า "นี่!! หยุดมองแบบนั้นเดี๋ยวนี้นะ" น้ำพิงตวาดเสียงใส่ "ก็นึกว่าอยาก....เห็นมาหาถึงที่ นี่คงไม่ได้กำลังติดใจลีลาฉันอยู่ใช่ไหม" เวไนยเดินเข้าไปคว้าเอวคอดของน้ำพิงแล้วยื่นหน้าไปใกล้ เพี๊ยะ!! น้ำพิงผลักเวไนยออกไปทันทีแล้วฟาดฝ่ามือเรียวไปที่หน้าเขาอย่างจัง "นายมันก็คงจะมีแต่ความคิดต่ำๆ สกปรกๆ คนอย่างนายมันคงคิดได้แต่เรื่องแบบนี้สินะ ฉันคงจะคิดผิดไปจริงๆ ที่คิดว่าคนอย่างนายมันจะ....(เป็นพ่อคนได้) ช่างเถอะต่อไปนี้ฉันจะไม่ยุ่งกับนายอีกแล้วที่ผ่านมาฉันจะคิดสะว่าฉันชดใช้เวรกรรมที่เคยทำมากับนายไว้แต่ชาติปางก่อนก็แล้วกัน ฉันไม่น่ามาเสียเวลามาคุยกับคนอย่างนายเลยจริงๆ" น้ำพิงพูดจบแล้วเดินออก หมับ~ เวไนยคว้ามือของน้ำพิงไว้อย่างไว "คิดว่าฉันจะยอมให้เธอเรียกฉันมาตบแล้วก็จะเดินหนีไปง่ายๆแบบนี้น่ะหรอ ไม่มีทาง!! อ่อแล้วที่บอกว่าใช้เวรใช้กรรมให้ฉันตั้งแต่ชาติปางก่อนอ้ะมันไม่ใช่นะ แต่มันเป็นชาตินี้ต่างหาก" "นายหมายความว่าไง ฉันไปทำอะไรให้นาย" น้ำพิงสงสัยในคำพูดของเวไนยยิ่งนัก "ไม่ใช่ฉัน!! แต่เป็นน้องชายฉันต่างหาก" เวไนยขึงตากัดฟันมองน้ำพิงอย่างโกรธแค้น "นะ...น้องชาย นายมีน้องชายด้วยหรอ แล้วฉันไปทำอะไรให้น้องชายนายกัน แล้วฉันจะไปรู้จักกับน้องชายนายได้ไง" ฉันมึนงงไปหมดนี่มันเรื่องอะไรกัน "ไม่รู้จักหรอก? เธอนี่มันแอ๊บใสเก่งนะคงจะเอาไว้หลอกล่อผู้ชายจนเคยชิน แต่กับฉันมันใช้ไม่ได้ผลกับฉันหรอกนะ" เวไนยบีบข้อมือของน้ำพิงอย่างแรง "โอ้ย..เจ็บ ฉันเปล่านะฉันไม่รู้จริงๆ" "วาที!!! วาทีไงคนที่เธอหลอกให้เค้ารักหัวปักหัวปำ ปั่นหัวเล่น คนที่เธอไล่เค้าให้ไปตายไง" เวไนยน้ำตาไหลออกมาอย่างกั้นไม่อยู่ เขาเสียใจมาที่ 'วาที' น้องชายสุดที่รักที่เป็นครอบครัวที่เหลืออยู่เพียงคนเดียวต้องจากไป "พี่เวย์...." น้ำพิงตกใจเรียกชื่อเขาไปเบาๆ เมื่อเห็นน้ำตาลูกผู้ชายไหลออกมา "ไง พอจะจำได้รึยัง? แล้วรู้รึยังว่าทำไมฉันถึงทำกับเธอแบบนั้น" เวไนยก้มปาดน้ำตาแล้วหันกับมาพูดกับน้ำพิง "ฉันรู้ว่านายว่านายเสียใจนะ แต่ฉันยังยืนยันคำเดิมว่าไม่เคยรู้จักคนที่ชื่อ วาที จริงๆ" "เธอ....แม่ง...จนป่านนี้ยังจะกล้าปฏิเสธอีก" เวไนยกระชากร่างน้ำพิงเข้ามาใกล้ๆ แล้วบีบไปที่แขนทั้ง 2 ข้างอย่างเเรง "โอ้ย..เจ็บ ฉันป่าวนะ ฉันพูดเรื่องจริง นายกำลังเข้าใจผิด" "เข้าใจผิดหรอ ห้ะ!!!" เวไนยบีบแขนของน้ำพิงอย่างแรงจนเธอรู้สึกเจ็บราวกับแขนจะหัก "โอ้ย....เจ็บนะ...ปล่อยยยย" น้ำพิงร้องออกมาด้วยความเจ็บ เจ็บจนทนไม่ไหว เวไนยได้สติเห็นหน้าเหยเกของน้ำพิงจึงผลักเธอออกไป "โอ้ยย..." แรงผลักทำให้น้ำพิงกระแทกลงไปกับพื้นอย่างแรง "วันนี้ฉันจะปล่อยเธอไป โชคดีของเธอนะที่ตอนนี้ฉันมีเรื่องที่สำคัญกว่าต้องทำไม่งั้นเธอได้แหลกคามือฉันแน่ หลบให้พ้นล่ะอย่าเปิดโอกาสให้ฉันได้เข้าใกล้อีก เพราะฉันสัญญาเลยว่า ถ้าได้เจอเธออีกครั้งฉันจะไม่มีวันปล่อยให้เธอมีความสุขแน่ๆ" เวไนยชี้ไปที่หน้าของน้ำพิงแล้วเดินจากไป ด้านน้ำตาลพอเห็นเวไนยเดินออกไปก็รีบเดินเข้าไปหาน้ำพิงทันที "น้ำพิง!!!แกเป็นอะไร!! มันทำอะไรแก!! ทำไมหน้าแกซีดขนาดนั้น"น้ำตาลเห็นน้ำพิงที่นั่งอยู่กับพื้นมีสีหน้าไม่ค่อยดีนักจึงรีบเข้าไปดู "ฉัน...ฉันเจ็บ เจ็บมากเลย" น้ำพิงตอบอย่างติดๆขัดๆ "แกลุกไหวไหมเดี๋ยวฉันช่วย" น้ำตาลรีบเข้าช่วยพยุงน้ำพิงขึ้น "น้ำพิง...แก..ละ...เลือด" "ห้ะ!!" น้ำพิงตกใจหน้าซีด ทั้งสองตกใจมากที่เห็นเลือดนองอยู่ที่พื้นตรงบริเวณที่น้ำพิงนั่งอยู่ @โรงพยาบาล P. Hospital "คุณน้ำพิงปลอดภัยดีแล้วนะครับ แต่ผมต้องเสียใจด้วยนะครับที่ไม่สามารถช่วยเด็กในท้องไว้ได้" หมอชายวัยกลางคนพูดขึ้น "ถ้าอย่างไงผมขอให้คุณหมอเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับด้วยนะครับ"ภูดิศขอร้องแกรมออกคำสั่ง "ไม่ต้องห่วงหรอกครับเรื่องนี้จะเป็นความลับแน่นอน" "ขอบคุณมากครับคุณหมอ" "ถ้าอย่างนั้นผมขอตัวก่อนนะครับ"ภูดิศพยักหน้าตอบกลับ "พี่พิงเป็นไงบ้างพี่ภู" พริ้งพราวที่พึ่งมากล่าวถามพี่ชาย "ปลอดภัยดี เพื่อนยัยพิงดูแลอยู่ แต่หลานในท้องไม่อยู่แล้ว" "หลาน!! นี่มันเกิดบ้าอะไรขึ้นนี่" พริ้งพราวมองไปยังเตียงที่มีพี่สาวนอนอยู่แล้วค่อยเดินไปหา "อื้ม..."น้ำพิงรู้สึกตัวตื่นขึ้นมาสะลึมสะลือ ไม่รู้ว่าตัวเองหลับไปนานแค่ไหน "พี่พิงฟื้นแล้วพี่ภู พี่พิงเป็นไงบ้าง" พริ้งพราวถามด้วยความห่วงใย "พิ้งค์ พี่ภู!!" น้ำพิงตกใจทันทีที่เห็นพี่ชายและน้องสาวยืนมองเธออยู่ "ฉันขอโทษนะแกที่พาแกมาที่นี้ แต่ฉันว่าเรื่องนี้คนในครอบครัวแกควรรู้" น้ำตาลพูดขึ้นเมื่อเห็นสายตาของเพื่อนที่มองมา "เอ่อ..งั้นน้ำตาลกลับนะคะพี่ภู น้องพิ้งค์" "ครับ ขอบใจมากนะที่ช่วยดูแลยัยพิง" "ไม่เป็นไรค่ะ น้ำพิงฉันไปแล้วนะค่อยๆเล่าให้พี่กับน้องแกฟังนะ ว่ามันเกิดอะไรขึ้น"น้ำตาลหันไปบอกลาเพื่อนแล้วเดินออกไป "อยากเล่าให้พี่กับยัยพิ้งค์ฟังไหม" "ฮือ..."น้ำพิงพยักหน้า ข่มใจเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ภูดิศและพริ้งพราวฟัง แต่เธอไม่ยอมบอกหรือเอ่ยใดๆถึงผู้ชายใจร้ายคนนั้นเลย "น้ำพิงขอนะ พี่ภูกับยัยพิ้งค์อย่าเอาเรื่องนี้ไปบอกคุณพ่อเด็ดขาด ขอให้มันจบแค่นี้ เรื่องที่เกิดขึ้นให้มันกลายเป็นแค่บทเรียนชีวิตของพิงก็พอ" ภูดิศและพริ้งพราวยอมทำตามที่น้ำพิงขอปิดเรื่องราวทั้งหมดเอาไว้เป็นความลับไม่ให้ใครรู้ หลังจากผ่านเรื่องราวเลวร้ายไปแล้ว ทุกชีวิตต่างดำเนินต่อไปอยากปกติสุข น้ำพิงและน้ำตาลเรียนจบทั้งคู่เข้าทำงานเป็นหมอที่โรงพยาบาลครอบครัวของน้ำพิง ส่วนน้ำพิงเองนอกจากจะเป็นหมอแล้วยังพ่วงตำแหน่งผู้บริหารด้วยโรงพยาบาลอีกด้วย --ฝากติดตามเเละเป็นกำลังใจให้ด้วยนะคะ--
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD