2

2575 Words
20.00 น. ‘ปี๊ดดดดดดดด’ “หมดเวลาสนุกแล้วค่ะปีหนึ่ง พี่ขอให้น้องๆ ทุกคนนั่งลง หลับตา และหยุดคุยกันด้วยนะคะ” เสียงขอพี่สตาฟที่ผมก็จำชื่อไม่ได้ บอกให้เรานั่งลงและทำตามที่บอก แล้วก็มีพี่สตาฟกลุ่มหนึ่งเดินมาจัดแถวที่นั่งให้เรา พร้อมกับเอาเทียนมาวางตรงหน้าเราคนละอัน เทียนค่อยๆ ถูกจุดไปเรื่อยๆ จนครบทุกอันพร้อมกันกับที่เพลงมาร์ชของมหาวิทยาลัยก็ดังขึ้น ผมเห็นรุ่นพี่ทยอยกันเดินเข้ามานั่งตรงหน้าพวกเราในมือมีด้ายสีขาวคนละเส้น เมื่อเพลงจบพี่คนที่อยู่ข้างหน้าผมก็นำด้ายผูกแขนให้พร้อมกล่าวต้อนรับและอวยพรให้ผม รุ่นพี่คนอื่นก็คงจะทำคล้ายๆ กัน ผมยกมือไหว้ขอบคุณ แล้วรุ่นพี่ก็ลุกเดินออกไป ผมแอบได้ยินรุ่นพี่ที่ผูกแขนให้น้ำขอเบอร์โทรศัพท์ของเธอ เธอบอกปฏิเสธเขาอย่างสุภาพ ผมมองเธอที่นั่งอยู่ข้างๆ ผม เธอหันมาและยิ้มให้ผมอีกแล้ว ยิ้มของเธอน่ารักชะมัด “กิจกรรมในค่ำคืนนี้จบลงเพียงเท่านี้นะคะ ขอให้น้องๆ ทุกคนเดินทางกลับที่พักโดยสวัสดิภาพ และพบกันอีกครั้งในงานเฟรชชี่ไนท์นะคะ......” ผมไม่ได้สนใจที่พี่สตาฟพูดเท่าไหร่ ตอนนี้ผมสนใจแค่ผู้หญิงข้างๆ จะไปไหนต่อก็เท่านั้น “น้ำจะกลับเลยหรือเปล่า ให้เราไปส่งไหม” ผมอยากสานสัมพันธ์กับเธอ เพราะเธอสวยน่ารักถูกใจผมมาก “น้ำขับรถมาเอง ดินไม่ต้องไปส่งน้ำหรอก เดี๋ยวน้ำกับเพื่อนๆ กลับกันเองได้” ผมมองเพื่อนที่คุยกับบัดดี้ของพวกมันอย่างชั่งใจ “เอาแบบนั้นก็ได้ ไว้เราจะโทรหานะ ไปเถอะ เดี๋ยวเราไปส่งที่รถ” ผมกับเพื่อนเดินไปส่งน้ำกับเพื่อนของเธอขึ้นรถ ใจหนึ่งก็อยากชวนเธอไปต่อ คงไม่ดีกว่า ผมคิดว่าผมชอบที่เธอสวยน่ารัก แต่เธอดูไม่เหมาะกับการเป็นคู่ควงของผมเท่าไหร่ เธอดู ใสซื่อเกินไป ถ้าผมยุ่งกับเธอมากกว่านี้เธออาจจะผูกมัดผมด้วยคำว่า ‘แฟนหรือคนรัก’ จะคำไหนก็ช่างผมยังไม่พร้อมจะใช้คำพวกนี้ ถึงเธอจะเป็นผู้หญิงคนแรกที่ทำผมใจเต้นรัวก็ตาม ผมมีประสบการณ์เรื่องการคบหากับเพศตรงข้ามมาเยอะ พวกเธอต้องการความรัก การครอบครองเป็นเจ้าของ แต่ผมไม่ชอบ การต้องรายงานความเคลื่อนไหวของเราให้ใครรู้มันไม่อิสระเอาซะเลย การคบกันแบบไม่ผูกมัดคือทางเลือกของผม และผมชอบที่จะใช้ชีวิตแบบนั้น ชีวิตอิสระของหนุ่มโสดที่จะเลือกทำอะไรก็ได้ยังไงล่ะ และตอนนี้ผมก็ยังสนุกกับการใช้ชีวิตแบบนี้อยู่ “ไป ไอ้เสือ ไปหาอะไรกินกัน” วีคลับเป็นร้านประจำของเรา เพราะตั้งแต่เมื่อหนึ่งสัปดาห์ก่อนที่ผมและเพื่อนย้ายมาที่มหาวิทยาลัยนี้ พวกผมก็ตระเวนกินเที่ยวในแถบนี้มาแล้วทุกร้าน มีวีคลับนี่แหละที่โดนใจที่สุด “เฟรชชี่ไนท์” (Freshy Night Party) ทางมหาวิทยาลัยอนุญาตให้รุ่นพี่แต่ละสาขาทำการรับน้องเพียงแค่หนึ่งสัปดาห์เท่านั้น หลังจากเสร็จจากกิจกรรมการรับน้องของแต่ละสาขาแล้วก็จะมีกิจกรรมที่เรียกว่า “เฟรชชี่ไนท์” ที่จัดขึ้นสำหรับน้องใหม่ปีหนึ่งทุกคน มีการแสดงเชียร์หลีดเดอร์ การแสดงวงดนตรี การประกาศผล ‘ดาวและเดือน’ ของมหาวิทยาลัย และปิดท้ายด้วยการแสดงดนตรีสดจากศิลปินนักร้องค่ายดัง สถานที่จัดงานในครั้งนี้คืออาคารรูปวงกลมขาดใหญ่ คล้ายโรงยิม แต่จะต่างกันก็ตรงที่ด้านหน้ามีเวทีขนาดใหญ่และยังมีห้องควบคุมแสงสีเสียงด้านข้างเวทีนั้น สถานที่นี้พวกรุ่นพี่เรียกว่า “รูม เธียเตอร์” เป็นสถานที่ใช้ประกอบกิจกรรมส่วนใหญ่ของสาขานิเทศศาสตร์ และถ้าหากสาขาไหนต้องการใช้สถานที่ก็ทำเรื่องขอใช้สถานที่ได้ สาขาของฉันได้ที่นั่งด้านบนซึ่งอยู่ระหว่างสาขานิเทศศาสตร์และสาขาวิทยาศาสตร์ “กรี๊ดดดดดดด” เสียงกรีดร้องของฉันและเพื่อนที่ร้องเชียร์เพื่อนร่วมสาขาที่เธอสามารถคว้ารางวัลดาวของมหาวิทยาลัยได้สำเร็จ ไม่แปลกใจเลยที่เพื่อนคนนี้จะได้รับเกียรตินี้ ด้วยบุคลิกที่ สวย สง่า และมีความมั่นใจ ไหนจะการตอบคำถามที่ถูกต้องชัดเจนนั้นอีก ฉันไม่ได้เป็นกรรมการเองฉันยังให้ผ่านจนต้องร้องเชียร์ออกไปอย่างสุดใจขาดดิ้นยังไงล่ะ “เพื่อนน้ำเก่งนะ” เสียงที่กระซิบจากด้านหลังทำให้ฉันสะดุ้งหันไปมอง เป็นดินนั่นเอง แล้วเขาเข้ามาในโซนนี้ได้ยังไง เนื่องจากทางมหาวิทยาลัยแบ่งโซนไว้ให้แต่ละสาขานั่งอย่างชัดเจนแล้ว คงเพราะฉันเลือกที่นั่งด้านบนสุด ซึ่งด้านหลังของฉันเป็นทางเดินที่ผู้คนสามารถเดินผ่านไปมาได้ แต่เอ๊ะ! นี่เขานั่งซ้อนด้านหลังฉันอยู่หรอเนี๊ยะ ใกล้เกินไปแล้วนะ “อ้าว! ดินมาได้ไง โซนนี้ของบริหารนะ วิศวะอยู่อีกด้านไม่ใช่หรอ” ฉันขยับตัวเล็กน้อย เพราะเขาเข้าใกล้ฉันมากเกินไป ฉันจำเป็นจะต้องป้องปากถามกลับไปด้วยเสียงที่ดังขึ้นเพราะที่เวทีกำลังเตรียมประกาศผลเดือนของมหาวิทยาลัยอยู่ เสียงที่ดังมากทำให้เราพูดกันไม่ค่อยได้ยิน และฉันก็สงสัยเพราะโซนที่สาขาเขาอยู่กับโซนที่สาขาฉันอยู่ห่างกันคนละฟากเลยทีเดียว “หึ หึ หึ” เขาเพียงยิ้มที่มุมปาก ไม่ยอมตอบคำถามฉัน และฉันก็ไม่ได้ถามอะไรต่อ เพราะที่ด้านหน้าเวทีกำลังประกาศผลดาวของมหาวิทยาลัยอยู่ สิ่งนั้นเรียกความสนใจจากฉันและทุกๆ คน “เพื่อนสาขาดินได้เป็นเดือนด้วยแหละ” ฉันสะกิดบอกเขา เขาทำแค่พยักหน้ารับเท่านั้น “น้ำ กินข้าวมาหรือยัง” เขากระซิบถามฉันที่กำลังสนใจการมอบรางวัลด้านหน้าเวทีอยู่ “น้ำกินมาแล้ว ดินยังไม่กินหรอ ไปซื้อขนมรองท้องที่หน้างานสิ” ก่อนเข้ามาฉันเห็นมีร้านขายขนมเข้ามาขายที่ด้านหน้าหลายร้าน “น้ำไปเป็นเพื่อนหน่อยสิ เพื่อนเรามันไม่ยอมไป เราเลยเดินมาชวนน้ำนี่ไง” “แต่น้ำอยากดูดนตรีนี่นา” “ไม่นานหรอก เราพาน้ำกลับมาทันแน่ ตอนนี้วงของมหาวิทยาลัยขึ้นเล่นแล้วอีกซักพักเลยกว่าศิลปินจะขึ้น น้ำกลับมาทันแน่นอน” “โอเค ตามนั้นก็ได้ ดินต้องรีบพาน้ำกลับมานะ” ฉันกำชับเขาเพราะศิลปินรับเชิญวันนี้เป็นวงที่ฉันชอบมากๆ “ปะ ไปกัน” เขาสะกิดที่หลังฉันเป็นการเร่งให้ฉันรีบลุกขึ้น ฉันเลยสะกิดบอกหนึ่งที่นั่งติดกับฉันและกำลังนั่งคุยกับบัดดี้ของตัวเองอยู่ เห็นชัดเลยว่าดินไม่ได้มาคนเดียว เขาหนีบเพื่อนของเขามาด้วยนั่นเอง หนึ่งพยักหน้าให้ฉันเป็นอันเข้าใจและยิ้มให้ดินเล็กน้อยก็หันไปดูดนตรีต่อ เราเดินมาถึงสุดทางเดินผู้คนก็แน่นขนัดไปหมด แล้วเราจะผ่าดงปีหนึ่งไปยังไงกันละทีนี้ “น้ำ มาทางนี้” เขายื่นมือมาจับมือฉัน ฉันต้องจับมือเขาอย่างเลี่ยงไม่ได้ พอเข้าใจว่าทำไมเราต้องจับมือกัน เพราะคนแน่นมากจริง ในที่สุดเราก็เดินผ่านผู้คนที่แน่นขนัดออกมาได้ ดินเดินจับมือฉันมาหน้าร้านลูกชิ้นปิ้ง กลิ่นหอมของลูกชิ้นทำให้ฉันนึกอยากกินขึ้นมาทันที “เอาอะไรเพิ่มไหมน้ำ” เขาเลือกหยิบเฉพาะลูกชิ้นเนื้อห้าไม้เท่านั้น เขาคงจะชอบเนื้อแน่ๆ “ลูกชิ้นปลาสองไม้ก็พอ ขอแยกน้ำจิ้มได้ไหม” เขาหยิบลูกชิ้นปลาเพิ่มตามจำนวนที่ฉันขอ แล้วสั่งขอแยกน้ำจิ้มกับป้าแม่ค้า ป้าก็ใจดีตักน้ำจิ้มแยกใส่ถ้วยเล็กๆ ให้เราพร้อมกับจัดผักใส่ถุงให้ระหว่างย่างลูกชิ้นที่เราเลือกไว้ “ดื่มน้ำปั่นไหม เราเห็นทางนั้นมีขาย มีผลไม้ปั่นด้วยนะ” เขาถามฉันพร้อมกับชี้ไปทิศที่บอกว่ามีร้านน้ำปั่นตั้งขายอยู่ “เอาสิ ไปดูกันว่ามีเมนูอะไรน่ากินบ้าง” ฉันมองตามมือเขาก็เห็นร้านน้ำปั่นอยู่ไม่ไกล “เดี๋ยวผมมาเอานะครับป้า” เขาจ่ายค่าลูกชิ้นปิ้งพร้อมบอกป้าแม่ค้าก่อนจะเอื้อมมือมาจับมือฉันอีกครั้ง “.........” ฉันมองมือหนาที่กุมมือฉันแล้วเงยหน้าขึ้นมองหน้าเขา “ไปเถอะ....... คนเยอะ เดี๋ยวหลง” ฉันยกมือข้างที่เขาจับขึ้นมาเป็นการถาม เขาทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ พูดแค่นั้นแล้วก็ลากฉันให้เดินตามไปร้านน้ำปั่น ฉันต้องเข้าใจเอาเองว่าเขาจับมือฉันเพราะคนเยอะอีกแล้วใช่ไหม “ดื่มอะไรน้ำ” เขาก้มลงมาถามฉัน เขาปล่อยมือที่จับฉันและดันให้ฉันยืนด้านหน้าแล้วตัวเองก็ยืนซ้อนด้านหลังแต่ไม่ได้เบียดตัวมาชิด ระหว่างเรายังมีช่องว่าเล็กน้อยคงกลัวว่าจะมีคนเดินมาชนเพราะตรงนี้มีคนมากกว่าที่ร้านลูกชิ้นปิ้งมาก “น้ำมะพร้าวนมสดปั่น” “มะพร้าวนมสดปั่นสองแก้วครับ” เขาสั่งเครื่องดื่มให้เราเสร็จ ก็มองไปที่ร้านลูกชิ้นปิ้งที่เราเพิ่งจากมา เขาขมวดคิ้วเหมือนคิดอะไรเล็กน้อย “น้ำยืนรอตรงนี้นะ เดี๋ยวเราไปเอาลูกชิ้นปิ้งก่อน เดี๋ยวมา” เขาจ่ายเงินค่าน้ำปั่นเสร็จก็ดันไหล่ฉันให้เดินไปยืนข้างร้านน้ำปั่น แล้วเดินไปที่ร้านลูกชิ้นปิ้ง เขาคิดว่าฉันดูแลตัวเองไม่ได้หรือยังไงนะ ฉันคิดแบบเคืองๆ “น้ำมะพร้าวนมสดปั่นสองแก้วได้แล้วค่ะ แฟนน้องน่ารักจังนะคะ มีแอบห่วงกลัวคนเดินมาชนแฟนตัวเองด้วย” พี่สาวเจ้าของร้านน้ำปั่นแซวฉันยิ้มๆ “ไม่ใช่ค่ะพี่ เราเป็น.....” ฉันโบกมือพร้อมกับส่ายหน้าปฏิเสธ แต่ยังไม่ทันได้แก้ไขความเข้าใจผิดของพี่สาวเจ้าของร้านน้ำปั่น เขาก็เดินกลับมาพอดี “ได้แล้วหรอน้ำ ทางโน้นมีโต๊ะให้นั่งอยู่นะ เห็นคนนั่งกันเยอะเลย” เขาจับมือฉันให้เดินออกมาด้วยกัน เราเดินห่างออกมาจากโซนขายอาหารและเครื่องดื่มที่ทางมหาวิทยาลัยจัดให้บุคคลภายนอกเข้ามาจับจองเปิดร้านขายสินค้าเล็กๆ น้อยๆ ไม่ไกลจากบริเวณสถานที่จัดงานมากนัก บริเวณนี้มีนักศึกษาทั้งปีหนึ่งและชั้นปีอื่นๆ นั่งจับกลุ่มพูดคุยกันแทบจะทุกโต๊ะ “นั่งตรงนี้แล้วกัน” ผมมาทันได้ยินพี่สาวร้านน้ำปั่นแซวว่าผมกับเธอเป็นแฟนกัน ผมอยากแกล้งเธอเลยรีบตัดบทแล้วพาเธอมานั่งตรงนี้ แอบเห็นคนตัวเล็กข้างๆ ทำปากขมุบขมิบ ก็ได้แต่ขำในใจ เธอน่ารักดีนะ “รีบๆ กินเลยดิน น้ำอยากกลับแล้ว” เธอเร่งผม ขณะที่มือก็หยิบไม้ลูกชิ้นปิ้งมากัดแล้วเคี้ยวแก้มตุ่ย “จะกลับหอ” ผมถามเธอสั้นๆ แค่นั้น “บ้า! ไปดูคอนเสิร์ตสิ นักร้องขึ้นหรือยังก็ไม่รู้” เธอส่งค้อนมาให้ผมหนึ่งที น่ารักอีกแล้ว “หึ หึ หึ นึกว่าจะกลับหอ” ผมยิ้มขำกับท่าทางน่ารักของเธอ “ชอบกินลูกชิ้นปลาหรอ กินลูกชิ้นเนื้อไหม” ผมเห็นเธอกินแค่ลูกชิ้นปลาไปไม้เดียว “กินได้หมดแหละ น้ำไม่เลือกหรอก” เธอยกแก้วน้ำปั่นมาดูด “ทำไมถึงเลือกเรียนบริหารล่ะ” ผมอยากคุยกับเธอต่อ เลยชวนคุย “ไม่รู้สินะ...... น้ำคิดว่าอาจจะเป็นเพราะเราสามารถนำความรู้ไปประยุกต์กับการทำงานได้หลากหลายอาชีพล่ะมั้ง” เธอนั่งไขว่ห้างกอดอกพลางทำท่าคิดไปด้วย “อืม” “แล้วดินล่ะ ทำไมเลือกเรียนวิศวะ” เธอหันมาถามผมแล้วดูดน้ำปั่นอีกครั้ง ท่าทางของเธอดูเป็นธรรมชาติมาก เธอเป็นผู้หญิงคนแรกที่ไม่ทอดสะพานให้ผม “เป็นความสนใจและอยากรู้” ผมตอบแค่นั้น “ดินเป็นคนจังหวัดไหน” เธอคงหาเรื่องมาคุยเพื่อไม่ให้เงียบ “กรุงเทพ...... น้ำล่ะ” ผมตอบเธอตามความจริง และถามเธอกลับ เพราะผมก็อยากรู้ “ชลบุรี” “เราออกมานานแล้ว กลับเข้างานกันเถอะ” เราถามตอบกันอยู่สักพักผมก็ชวนเธอเขาไปในงานต่อ วันนี้ผมรู้เรื่องเธอพอสมควร สิ่งที่ผมไม่คิดว่าเธอจะบอกคือเรื่องครอบครัว พ่อเธอเป็นนายทหาร “ไปสิ คุยกันเพลินเลย ดินคุยสนุกดีนะ ไปเถอะไม่อยากพลาดตอนเปิดตัวด้วย” เธอรีบลุกนำผมไป ผมเดินตามไปติดๆ รู้สึกสนใจผู้หญิงคนนี้เพิ่มขึ้นอีกนิดแล้ว “.........” เธอเงยหน้ามองหน้าผม แล้วขมวดคิ้ว คงเพราะผมจับมือเธออยู่ “คนเยอะ...... เดี๋ยวหลง” ผมพูดแค่นั้น แล้วก็จับมือเธอเดินผ่านผู้คนเข้าไปหากลุ่มเพื่อนที่ตอนนี้ยืนขึ้นเต้นกันหมดแล้ว ดินยังคงจับมือฉันแน่นเหมือนเมื่อตอนที่เขาขอให้ฉันออกมาเป็นเพื่อนเพื่อหาอะไรกินกันหน้างาน เขาเป็นผู้ชายคนหนึ่งที่ฉันสามารถพูดคุยด้วยได้อย่างสบายใจ เขาคุยสนุก เป็นธรรมชาติ และที่สำคัญไม่ได้มีท่าทีจะจีบฉันเหมือนผู้ชายส่วนใหญ่ที่ฉันพบเจอ ฉันเลยคิดว่าเราคงเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันได้ไม่ยาก “วงแรกขึ้นหรือยัง” ฉันเดินมาถึงกลุ่มเพื่อนที่ตอนนี้ยืนเต้นกันอย่างสุดเหวี่ยง โดยมีดินยืนซ้อนอยู่ข้างหลัง “กลับมาทันพอดี วงมหาลัยเพิ่งเล่นจบเมื่อกี้ น้องกำลังจะโทรตามพอดีเลย” น้องพูดขึ้นพร้อมกับใส่โทรศัพท์มือถือเข้ากระเป๋าที่สะพายมา “วงมหาลัยเล่นสนุกมากเลย พลาดแล้วน้ำ” นุ่มนิ่มชะโงกตัวผ่านน้องมาพูดกับฉัน “ไปคุยกับหนุ่มนานเลยนะน้ำ อิอิอิ” หนึ่งขยับเบียดตัวน้องกับนุ่มนิ่มมาคุยเมื่อเห็นว่าฉันกลับมาแล้ว “บ้าแล้ว ไปคุยหนุ่มที่ไหน ดินเค้าหิวเลยพาไปกินลูกชิ้นปิ้ง แค่นั้นไม่มีอะไรมากไปกว่านี้ เพื่อนๆ อย่ามโนค่ะ โน้นวงแรกจะขึ้นแล้วค่ะ” พวกเราสุมหัวคุยกัน และเสียงดนตรีก็ดังขึ้นอีกครั้ง เนื่องจากศิลปินกลุ่มแรกกำลังจะขึ้นเวทีแล้วนั่นเอง พวกเราให้ความสนใจศิลปินวงแรก ซึ่งก็ไม่ทำให้ผิดหวัง ทุกวงที่ทางมหาวิทยาลัยเชิญมาวันนี้เป็นมืออาชีพมาก แสดงสดทุกเพลง ทำให้เราร้องเต้นกันจนหมดแรงเลยทีเดียว
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD