เตชินท์นั่งชันเข่าอยู่ข้างเตียง สายตาจับจ้องอยู่ที่ร่างบอบบางที่อยู่ภายใต้ผ้าห่ม อินทิราค่อยๆ หันใบหน้าหวานมามองเขา แววตาของเธอเต็มไปด้วยความสงสัยและความสับสน ผู้ชายคนนี้เป็นใคร? ทำไมถึงเข้ามาอยู่ในห้องนอนส่วนตัวของเธอได้?
แต่เมื่อดวงตากลมโตของเธอสบเข้ากับแววตาคมกริบที่จ้องมองกลับมาอย่างเป็นห่วง ความรู้สึกอับอายก็ถาโถมเข้ามาอีกครั้ง แก้มใสเริ่มแดงระเรื่อ อินทิราเบี่ยงหน้าหนีสายตาของเขาไปยังอีกทางหนึ่ง ไม่กล้าสบตาด้วยความรู้สึกประหลาดที่ตีตื้นขึ้นมาในอก
ความเงียบปกคลุมไปทั่วห้อง มีเพียงเสียงลมหายใจแผ่วเบาของอินทิรา และเสียงหัวใจที่เต้นแรงของเธอเท่านั้นที่ดังอยู่ในความรู้สึก
"คุณเจ็บตรงไหนไหม จะไปโรงพยาบาลหรือเปล่า" ในที่สุดเตชินท์ก็เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงนุ่มทุ้ม
อินทิรารีบส่ายหน้าปฏิเสธ "มะ...ไม่เป็นไรค่ะ" เธอหันมามองเขาอย่างรวดเร็ว และอีกครั้งที่ดวงตากลมโตประสานเข้ากับสายตาคมกริบของเขา ความรู้สึกเขินอายก็แล่นริ้วไปทั่วใบหน้าหวาน เธอรีบหันหน้าหนี ก้มหน้างุดด้วยความประหม่า
เตชินท์ยกยิ้มเล็กน้อยที่มุมปาก ดวงตาที่เขามองเธอเป็นประกายระคนขบขัน "ผมต้องขอโทษด้วย ไม่คิดว่าจะมีใครเข้ามาอยู่ในห้องนอนผม แถมยังมาใช้ห้องน้ำของผมอีก"
เมื่อได้ยินเช่นนั้น อินทิราก็เบิกตากว้างด้วยความตกใจและประหลาดใจ เธอค่อยๆ ยันตัวลุกขึ้นนั่ง พยายามรวบผ้าห่มผืนโตให้แนบกับร่างมากที่สุด "นี่มันห้องนอนฉันนะคะ ฉันอยู่ที่นี่มานานแล้ว"
"อ๋อ งั้นเหรอ" เตชินท์เลิกคิ้วเล็กน้อย "ก็คงจะเป็นอย่างนั้นแหละ เพราะผมเองก็ไม่ได้กลับมาที่นี่ตั้งสามปีแล้ว ถ้าจะมีใครมานอนห้องผมแทนก็คงไม่แปลก"
"หมายความว่ายังไงคะ?" อินทิราถามด้วยความสงสัย
"ผมเตชินท์ครับ หลานชายของคุณปู่ขุนเดชเจ้าของที่นี่" เตชินท์แนะนำตัวเอง
อินทิราเบิกตากว้างยิ่งกว่าเดิม ภาพเมื่อสองปีก่อนผุดขึ้นมาในความคิด วันที่เธอเข้ามาสมัครงานที่ไร่องุ่นชมดาวแห่งนี้ ท่านขุนเดช พิมุกต์เมธานนท์ ชายชราวัย 86 ปี เป็นคนรับเธอเข้าทำงานด้วยตัวเอง ท่านเป็นเจ้าของไร่องุ่นชมดาวและโรงบ่มไวน์วินเทจไวน์เนอรี่ขนาดใหญ่ที่มีชื่อเสียง ท่านมอบหมายงานให้เธอเป็นผู้จัดการและดูแลไร่แห่งนี้ทั้งหมด ควบคุมคนงาน ดูแลไร่และผลผลิต โดยที่ท่านขุนเดชยกบ้านหลังนี้ให้เธอพักอาศัยระหว่างทำงาน ส่วนตัวท่านเองนั้นไปใช้ชีวิตบั้นปลายอยู่ที่บ้านอีกหลังในวังน้ำเขียว โดยที่กำลังจะวางมือจากกิจการทั้งหมด เพื่อเตรียมยกให้กับเตชินท์ หลานชายแท้ๆ เพียงคนเดียวของท่าน
ตลอดระยะเวลาสองปี อินทิราตั้งใจและมุ่งมั่นในการทำหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายอย่างเต็มที่ โดยที่ไม่เคยล่วงรู้มาก่อนเลยว่า เจ้าของที่แท้จริงกำลังจะกลับมา
"คะ??" อินทิราอุทานออกมาด้วยความประหลาดใจ ราวกับถูกตัดบทสนทนา เธออ้าปากค้างเล็กน้อย แต่กลับไม่สามารถเรียบเรียงคำพูดใดๆ ออกมาได้ ได้แต่เงียบงัน
เตชินท์ยังคงทอดสายตาคมกริบไปยังใบหน้าหวานที่ฉายชัดถึงความตกใจและสับสนของหญิงสาว ความรู้สึกบางอย่างที่ไม่เคยสัมผัสมาก่อนเริ่มก่อตัวขึ้นในอก ราวกับกระแสไฟฟ้าอ่อนๆ ที่แล่นแปลบปลาบ เขารู้สึกถึงความงามที่ซ่อนอยู่ภายใต้ความตกใจนั้น ก่อนที่จะตัดสินใจลุกขึ้นยืนเต็มความสูงสง่า
"ผมไม่รบกวนคุณแล้ว" เตชินท์เอ่ยด้วยน้ำเสียงสุภาพ ก่อนจะเสริมด้วยความรู้สึกผิด "แล้วก็ต้องขอโทษด้วย ถ้าทำให้คุณรู้สึกอึดอัด" เขาหมายถึงเหตุการณ์ที่เขาบังเอิญมาเห็นเธอในสภาพเปลือยเปล่านั้น ด้วยความเป็นสุภาพบุรุษ เตชินท์จึงหันหลังเดินออกจากห้องอย่างเงียบเชียบ และปิดประตูให้เธอเบาๆ
ปล่อยให้อินทิรานั่งอยู่บนเตียงด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย ทั้งตกใจ ประหลาดใจ และยังคงอับอายกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อครู่
เตชินท์เดินออกมาจากบ้านพัก ก้าวขึ้นไปยังรถก่อนจะสตาร์ทเครื่องยนต์ เสียงเครื่องยนต์ทุ้มนุ่มคำรามเบาๆ รถสปอร์ตคันหรูก็เคลื่อนตัวออกไปอย่างนุ่มนวล
เตชินท์ขับรถไปตามเส้นทางที่คุ้นเคย มุ่งหน้าไปยังวังน้ำเขียว จุดหมายปลายทางคือบ้านของท่านขุนเดช ผู้เป็นปู่ เขาต้องการไปกราบและรายงานตัวถึงการกลับมาของเขา หลังจากที่สำเร็จการศึกษาจากประเทศอังกฤษ การกลับมาครั้งนี้มีความหมายมากกว่าการเยี่ยมเยียนญาติผู้ใหญ่ มันคือการกลับมาเพื่อสานต่อกิจการของครอบครัวตามความประสงค์ของผู้เป็นปู่
ทิวทัศน์สองข้างทางค่อยๆ เปลี่ยนไปจากไร่องุ่นเขียวขจี เป็นทิวเขาและป่าไม้ที่อุดมสมบูรณ์ แสงแดดยามบ่ายส่องกระทบใบไม้เป็นสีทองอร่าม เตชินท์ขับรถด้วยความเร็วที่ไม่เร็วนัก ปล่อยใจไปกับบรรยากาศที่เงียบสงบและความทรงจำเกี่ยวกับสถานที่แห่งนี้ที่ค่อยๆ หวนคืนมา
ความรู้สึกเคารพรักและผูกพันต่อผู้เป็นปู่เอ่อล้นอยู่ในใจ เตชินท์ตั้งใจไว้ว่าจะรายงานทุกอย่างให้ท่านทราบถึงการกลับมา และพร้อมที่จะเรียนรู้งานทุกอย่างเพื่อสืบทอดเจตนารมณ์ของท่าน
บ้านพักของท่านขุนเดชที่วังน้ำเขียวเป็นบ้านไม้สักสองชั้นขนาดใหญ่ ที่ถูกออกแบบอย่างเรียบง่ายแต่สง่างาม ตั้งอยู่ท่ามกลางสวนสวยที่เต็มไปด้วยต้นไม้น้อยใหญ่ร่มรื่น เสียงนกร้องเจื้อยแจ้วดังแว่วมาเป็นระยะ บรรยากาศโดยรอบเงียบสงบและร่มเย็น
ภายในห้องทำงานที่ตกแต่งอย่างหรูหราด้วยเฟอร์นิเจอร์ไม้เนื้อดี ผนังห้องประดับประดาด้วยภาพวาดและของเก่าแก่ที่สะสมมา ท่านขุนเดช นั่งอยู่บนเก้าอี้หนังตัวใหญ่หลังโต๊ะทำงานไม้สักตัวหนา แสงแดดยามบ่ายอ่อนๆ ส่องลอดผ่านหน้าต่างบานใหญ่เข้ามาในห้อง
ในมือที่เหี่ยวย่นตามวัยของท่าน ถือกรอบรูปสีทองเก่าคร่ำคร่า ภายในกรอบเป็นภาพถ่ายสีซีดจาง ภาพของท่านในวัยกลางคน กำลังอุ้มเด็กชายตัวน้อยนั่งอยู่บนตัก เด็กชายในรูปมีดวงตากลมโตเป็นประกายและรอยยิ้มสดใส ท่านขุนเดชทอดสายตาอบอุ่นไปยังภาพนั้น แววตาของท่านเต็มไปด้วยความรักและความคิดถึง
รอยยิ้มบางๆ ปรากฏขึ้นบนใบหน้าที่เต็มไปด้วยร่องรอยแห่งวัย ท่านใช้นิ้วลูบไล้ไปบนภาพใบหน้าของเด็กชายในรูปอย่างแผ่วเบา ราวกับกำลังสัมผัสตัวตนจริงๆ ของเขา ความทรงจำเกี่ยวกับช่วงเวลานั้นไหลย้อนกลับมาในความคิด
ประตูห้องทำงานไม้สักค่อยๆ เปิดออก ปรากฏร่างสูงสง่าของเตชินท์ยืนอยู่ตรงธรณีประตู สายตาของท่านขุนเดชที่กำลังทอดมองภาพถ่ายในมือ เลื่อนขึ้นมาจับจ้องที่หลานชายเพียงคนเดียวของท่านทันที
แวบแรก ท่านขุนเดชยังคงนิ่งงัน ราวกับไม่แน่ใจในสิ่งที่เห็น แต่แล้วรอยยิ้มกว้างก็ค่อยๆ ปรากฏขึ้นบนใบหน้าเหี่ยวย่น ดวงตาที่เคยฉายแววคิดถึงเมื่อครู่ กลับเปล่งประกายเจิดจ้าด้วยความยินดีอย่างหาที่สุดมิได้
เตชินท์เดินเข้ามาในห้องอย่างสุภาพ ก้มศีรษะลงเล็กน้อยเพื่อแสดงความเคารพต่อบุคคลที่นั่งอยู่ตรงหน้า "ผมกลับมาแล้วครับคุณปู่" เสียงทุ้มนุ่มของเขาเอ่ยขึ้นด้วยความเคารพรัก
ต่อมา ทั้งสองมานั่งเผชิญหน้ากันบนโซฟาตัวยาวในบริเวณห้องนั่งเล่น บรรยากาศอบอวลไปด้วยความอบอุ่นและความผูกพัน ใบหน้าของทั้งคู่ประดับด้วยรอยยิ้ม
"เรียนจบตั้งนานแล้ว แต่ไม่ยอมกลับมาเสียที ถ้าฉันไม่บอกว่าป่วยใกล้ตาย คงไม่เห็นหน้าแก" ท่านขุนเดชเอ่ย
ท่านขุนเดชทอดสายตามองหลานชายด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย แม้จะดีใจที่เตชินท์กลับมาถึงบ้านอย่างปลอดภัยและสำเร็จการศึกษาตามที่ตั้งใจไว้ แต่ก็อดตำหนิไม่ได้ที่หลังจากเรียนจบปริญญาโทเศรษฐศาสตร์และการเงินจากประเทศอังกฤษแล้ว เตชินท์กลับใช้เวลาหลังจากนั้นไปกับการท่องเที่ยวและแสวงหาความสุขส่วนตัวอยู่พักใหญ่ ราวกับลืมเลือนไปถึงภาระหน้าที่ที่รอคอยอยู่
เตชินท์ยิ้มแหยๆ "ผมก็...เห็นว่าคุณปู่ยังดูแข็งแรง ไม่ป่วยง่ายๆ หรอกครับ"
แววตาของท่านขุนเดชฉายความเศร้าลึกๆ "ฉันคิดถึงแกทุกวัน ตั้งแต่ที่พ่อแกตาย ตัวแกก็ไปใช้ชีวิตอยู่เมืองนอก ไม่มีวี่แววว่าจะกลับมา ส่วนตัวฉันก็แก่มากแล้ว ไม่รู้ว่าจะตายวันตายพรุ่ง"
ความเงียบปกคลุมชั่วครู่ ก่อนที่ท่านขุนเดชจะถอนหายใจแผ่วเบา พลางหวนรำลึกถึงอดีตเมื่อ 40 ปีก่อน คุณพิชญะ ลูกชายคนเดียวของท่าน ถูกบังคับให้แต่งงานกับคุณณหทัย จนให้กำเนิดเตชินท์ แต่ตลอดชีวิตของคุณพิชญะไม่เคยมีความสุขเลย เพราะก่อนที่จะถูกบังคับให้แต่งงานกับคุณณหทัย เขามีคนรักของตัวเองอยู่แล้วคือนาฏนรี ซึ่งเป็นคนงานสาวในไร่องุ่นชมดาวนั้นเอง แต่ด้วยคำสั่งของท่านขุนเดชจึงไม่อาจฝืนได้
หลังจากที่คุณพิชญะเสียชีวิตด้วยวัยเพียง 59 ปีจากโรคหัวใจล้มเหลว คุณณหทัยได้ย้ายกลับไปยังบ้านของตัวเอง เพราะเธอสำนึกมาตลอดว่าการแต่งงานของเธอกับสามีนั้นเป็นเพียงการแต่งงานเพื่อธุรกิจของผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่าย ตัวเธอเองถึงแม้จะมีความรักให้กับคุณพิชญะ แต่เธอกลับไม่เคยได้รับความรักตอบแทนจากเขาเลย เสมือนมีชีวิตแต่งงานกันเพียงแค่ในนามเท่านั้น เพราะหัวใจของคุณพิชญะมีเพียงนาฏนรี หญิงสาวชาวไร่ธรรมดาคนนั้น
ท่านขุนเดชถึงแม้จะทราบเรื่องนี้ดี แต่ก็ไม่อาจยอมรับว่าที่สะใภ้สาวชาวไร่ซึ่งเป็นเพียงลูกจ้างธรรมดาในไร่องุ่นคนนั้นได้
ด้วยเหตุนี้ ทำให้ท่านขุนเดชได้ตระหนักรู้แล้วว่า การบังคับคนในเรื่องของจิตใจและความรู้สึกนั้น มันเหมือนกับการฆ่าเขาคนนั้นให้ตายทั้งเป็น เมื่อมองดูหน้าเตชินท์ หลานชายเพียงคนเดียวแล้ว ท่านจะไม่ทำแบบนั้นเพื่อความสุขส่วนตัวของตัวเองอีกต่อไป
"ว่าแต่แกเถอะ" ท่านขุนเดชเปลี่ยนเรื่อง "กลับมาถึงไร่แล้วเป็นยังไงบ้าง"