ฉันมองหน้าสายป่าน ยังไม่ได้รับมันมาในทันที เพราะกำลังคิดสงสัยว่าทำไมฉันต้องออกไปเมื่อเห็นนามบัตรนี้
“เฮ้อ” ฉันถอนหายใจให้กับคนตรงหน้า และเพื่อคลายความสงสัยก็รีบหยิบนามบัตรนั้นมาดู
เมื่อนามบัตรมาอยู่ในมือแล้ว ฉันก็กวาดสายตาอ่านทุกตัวอักษร
“บริษัทใหญ่นี่เอง” ฉันพึมพำออกมา นึกว่าจะเป็นคนรู้จักเสียอีก ที่แท้ก็เป็นบริษัทยักษ์ใหญ่นี่เอง
คิดว่าฉันรู้แล้วจะยอมขายให้หรือไง เอาอะไรมามั่นใจขนาดนั้น
พรึบ
ฉันโยนนามบัตรนั่นลงบนโต๊ะอย่างไม่ไยดี
“หือ” แต่แล้วบางอย่างก็ทำให้หยิบมันขึ้นมาใหม่ พอเพ่งดูชื่อผู้บริหารอีกทีแล้วก็ชวนให้เอะใจ
ไทม์ งั้นหรือ
ชื่อนี้ทำให้ฉันนึกถึงใครบางคนขึ้นมา
“เขาบอกว่าไงนะ คนที่ให้นามบัตรนี้มา” ฉันชูนามบัตรขึ้นถามสายป่านถึงรายละเอียดอีกครั้ง
“บอกว่าถ้าพี่ได้เห็นนามบัตรนี้ พี่ต้องออกไปหาเขาแน่นอนค่ะ” สายป่านยกยิ้ม พร้อมกับมองอย่างต้องการแซวฉันผ่านสายตา
“รู้จักเหรอคะ” อีกฝ่ายยื่นหน้าเข้ามากระซิบถามใกล้ ๆ
“ไม่รู้จัก” ฉันพูดออกไปนิ่ง ๆ เพื่อตัดบท
ไม่ใช่ว่าไม่รู้จัก แต่ยังไม่แน่ใจ...ว่าใช่เขาคนนั้นหรือเปล่า
“หรือว่าเขากำลังตามจีบพี่อยู่” สายป่านถามด้วยความสงสัยไม่เลิก
“ชักจะไปไกลแล้ว...” เมื่อโดนจี้ ฉันก็โพล่งเสียงดังออกไป
“...ออกไปทำงานเถอะ” ก่อนจะไล่ให้สายป่านไปทำงานของตัวเองต่อ
มีหวังได้เอาเรื่องนี้ไปเมาท์มอยกันแน่ ๆ
ฉันลุกขึ้นจากเก้าอี้ เพราะจะออกไปเจอคนนั้นเสียหน่อย ดูสิว่าจะเป็นคนเดียวกับที่คิดหรือไม่
“ยิ้มอะไร” แต่ก็ไม่วายได้เห็นสายตาของสายป่านที่มองมา
“เปล่าค่ะ” พูดจบเลขาสาวก็ถอยหลังเล็กน้อย เพื่อหลีกทางให้ฉันเดินออกจากห้อง
“ต้องมีอะไรแน่ ๆ” ฉันเดินออกมาไม่ทันพ้นประตู ก็ได้ยินเสียงสายป่านเล็ดลอดออกมา
ฉันกัดริมฝีปากแน่น ใจเต้นแรงขึ้นอย่างบอกไม่ถูก คงไม่บังเอิญขนาดนั้นหรอกมั้ง
แต่ถ้าเป็นเขาคนนั้นล่ะ ก็ไม่แน่...เพราะเขามักทำเรื่องที่ฉันคิดว่าบังเอิญ
แต่สำหรับเขา...คือความตั้งใจ
อย่างเรื่องในคืนนั้น...
ที่เขาตั้งใจเข้ามาหาฉันตั้งแต่แรก
....
“เจอกันอีกแล้วนะครับ”
เมื่อฉันเปิดประตูเข้ามาก็พบกับเขาคนนั้น
“ทำไมเป็นคุณ” ตอนแรกก็ไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่คิด แต่พอเป็นเขาจริง ๆ ก็แทบไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง
“พรหมลิขิตมั้งครับ” ใบหน้าหล่อเผยยิ้ม ทำเอาฉันนึกถึงคืนนั้นของเราในทันที
“ยังไงฉันก็ไม่ค่ะ” ฉันรีบหลบสายตาและตัดบทเพื่อจบประเด็นอย่างที่เคยปฏิเสธทุกบริษัทที่มาก่อนหน้า
แค่มองใบหน้าของเขา ภาพเมื่อคืนก่อนก็วนกลับมาให้ได้นึกถึงและเห็นเป็นฉาก ๆ อีกครั้ง
เราจบกันด้วยดีและสุขสมกันทั้งคู่
ความสัมพันธ์วันไนต์สแตนด์ ก็คือชั่วข้ามคืน
จบแล้วก็แยกย้าย ไม่มีสานสัมพันธ์อะไรต่อจากวันนั้น
จนกระทั่งมาวันนี้...
“อ่านข้อเสนอก่อนสิครับ”
“ฉันไม่ชอบพูดอะไรซ้ำ ๆ” ฉันมองหน้าเขา ในขณะที่เรากำลังพูดเรื่องงาน แต่สมองฉันกลับคิดไปเรื่องอื่น
ยัยลลิน แกต้องตั้งสติไว้ก่อน
“ก็ได้ ถ้าคุณอยากให้คลิปของเราในคืนนั้นถูกเผยแพร่ว่อนอินเทอร์เน็ต...” และสิ่งที่เขาพูดออกมาก็ดึงฉันกลับมาในทันที
“...ถึงตอนนั้น จะเกิดอะไรตามมาบ้าง” ไม่เพียงพูดเปล่าเขายังค่อย ๆ ก้าวมาหาฉันทีละนิด พร้อมกับแววตาที่กำลังข่มขู่ให้ฉันหวาดกลัว
Time & Lalin 4 - เจอกันอีกแล้วนะครับ
“เอาสิ ฉันไม่กลัวอยู่แล้ว จากที่จะเป็นด้านลบ อาจจะเป็นสิ่งที่ดีก็ได้...” เขาคงไม่รู้ว่าฉันก็เป็นคนที่สู้คนเป็นเหมือนกัน
“...ฉันว่าคืนนั้น ฉันก็ทำอย่างเต็มที่อยู่นะ เผลอ ๆ คนอาจจะชอบจนฉันได้เปิดแอคมาสร้างสรรค์ผลงานแนวนั้นโดยเฉพาะก็ได้” ฉันยืดอกจ้องตาสู้กลับ
“...ถึงตอนนั้น ฉันจะเชิญคุณมาเป็นเกสต์คนแรกเลย” จบประโยคใบหน้าหล่อก็เคร่งขรึมขึ้น
ไม่รู้ว่าคำพูดฉันไปสะกิดใจอะไรเขาหรือเปล่า เพราะเขาค่อย ๆ ก้าวมาชิดฉันยิ่งกว่าเดิม
มือแกร่งจับเข้าที่ข้อมือของฉันเอาไว้ในตอนที่ฉันกำลังจะเดินหนี
“อ๊ะ คุณทำอะไร” พร้อมกับผลักหลังฉันติดกำแพง
“ตัวจริงคุณเป็นอย่างนี้นี่เองสินะ” แววตาของเขาตอนนี้ราบเรียบ ฉันเดาไม่ออกเลยว่าตอนนี้เขากำลังคิดอะไรอยู่
“มะ หมายความว่าไง” เขาคาดหวังว่าฉันจะเป็นคนแบบไหนกันนะ
“ปากดีและอวดเก่ง” นี่สินะที่เขามองเห็น
“ปล่อย” ฉันสะบัดแขนอย่างแรงเพื่อให้หลุดจากการเกาะกุม
“แบบนี้ผมยิ่งอยากเอาชนะคุณให้ได้” คำพูดของเขาทำให้ฉันเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง
เราสองคนสบตากัน ทำไมใจฉันเต้นแรงขึ้นอย่างนี้ล่ะ ทันใดนั้นกลิ่นน้ำหอมของเขาก็ลอยแตะจมูก
“อื้อ หยุดนะ” ฉันเผลอจ้องมองเขานานเท่าไรไม่รู้ รู้ตัวอีกทีใบหน้าหล่อเหลาก็เข้ามาใกล้ แทบจะประกบปากกับฉันอยู่แล้ว แต่ดีที่ยังมีสติและยกมือบังได้ทัน
“ยังไงฉันก็ไม่ยอมหรอกนะ” ฉันพูดถึงทั้งเรื่องงานและเรื่องนี้ที่เขากำลังจะฉวยโอกาสด้วย
“คุณยังมีสิทธิ์บริหารต่อไป แค่มาอยู่ในเครือ..” คนตัวสูงพูดถึงเรื่องงานต่อ
“ไม่” ฉันโพล่งพูดออกไป ปฏิเสธเขาทุกทาง
“ไม่ก็คือไม่ กลับไปเถอะคุณอย่าเสียเวลาเลย ยังไงฉันก็ไม่เปลี่ยนใจ” ฉันดันตัวเขาออกห่าง ซึ่งคราวนี้เขายอมผละออกแต่โดยดี
“เรามาคุยกันอย่างเป็นทางการดีกว่า” เมื่อเดินไปนั่งลงเก้าอี้แล้วเขาก็เอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง
“อีกหน่อยแอปพลิเคชันจะมีผู้ใช้บริการมากขึ้นกว่าช่วงทดลอง คุณคิดว่าบุคลากรที่มีอยู่เพียงพอแล้วหรือยัง...”
ได้ยินดังนั้นทำเอาฉันฉุกคิด
“...ผมคงไม่ต้องอธิบายเยอะหรอกใช่ไหม”
“เฮ้อ ฉันลืมคิดส่วนนี้ไปเลย...” ตอนนี้ฉันได้กลับมานั่งในห้องทำงานของตัวเองแล้ว
ส่วนเขาคนนั้นกว่าฉันจะไล่กลับไปก็ใช้เวลานานอยู่เหมือนกัน
สิ่งที่เขาบอกช่วยเตือนให้ฉันฉุกคิด พิจารณาแล้วก็พบว่ามันจริงอย่างที่เขาว่ามา
เขาเป็นถึงผู้บริหารระดับสูงของบริษัทยักษ์ใหญ่ คนมีวิสัยทัศน์ย่อมมองขาดอยู่แล้วว่าอะไรจะเกิดขึ้นบ้าง