นอกจากซ่งอวี่ฉิงแล้ว สาว ๆ ตระกูลซ่งคนอื่น ๆ ต่างก็ไม่มีใครชื่นชอบเขยตกอับคนนี้
ซ่งอวี่เหมียนเอาศอกกระทุ้งซ่งอวี่ถงเบา ๆ แล้วพูดขึ้นด้วยเสียงกระซิบ “พี่ ดูเขาสิ แม้แต่แม่ก็ยังกล้าเถียง”
ซ่งอวี่โหมวที่อยู่อีกด้านหนึ่งกำลังแกะเปลือกลำไยแล้วใส่เข้าปาก ก็เข้าร่วมวงสนทนา “น้องเอ๋ย พี่ไม่เข้าใจเลยจริง ๆ คนแบบนี้เธอก็ยังทนมาได้จนถึงตอนนี้”
“หากเป็นฉันนะ...คงจะเลิกรากันไป 18 ตลบแล้ว”
ความเหนื่อยหน่ายปรากฏขึ้นในดวงตาของซ่งอวี่ถง เธอเคยรู้สึกประทับใจในชายหนุ่มรูปงามร่างสูงใหญ่คนนี้ในตอนแรกที่พบเจอ
แต่เมื่อได้รับฟังสถานการณ์ที่ลำบากของครอบครัวของเขา เธอก็รู้สึกสิ้นหวัง
ทั้งพี่สาวและน้องสาวล้วนได้คู่ครองที่ดี เพราะเหตุใดตนถึงมีชีวิตคู่เช่นนี้
เธอเกลียด เกลียดที่พ่อและแม่ของเธอให้เธอแต่งงานเร็วเกินไป
เธอเสียใจ ทำไมไม่รีบหาแฟนที่เหมาะสมตั้งแต่ตอนที่เธออยู่ต่างประเทศ
เธอโกรธ ห้าปีที่ผ่านมา เนื้อสุนัขก็ยังเป็นเนื้อสุนัข ไม่เคยได้ขึ้นโต๊ะร่วมฉลองในงานเลี้ยง
ซ่งอวี่ถงรอคอยและตั้งความหวังมาถึงห้าปี มาบัดนี้เธอท้อแล้ว
บางทีเขาอาจเป็นแค่เศษไม้ที่ตายไปแล้ว
“พูดบ้า ๆ ฉันว่าพี่เขยออกจะดี แล้วก็จริงใจกับพี่สาวมากด้วย ดีกว่าพวกคุณชายเหลาะแหละพวกนั้นอีก”
ซ่งอวี่ฉิงพูดแทรกขึ้นเพื่อทวงคืนความยุติธรรมให้พี่เขย
เมื่อซ่งอวี่โหมวและซ่งอวี่เหมียนได้ยินก็อดขำไม่ได้ จึงเอามือลูบสันจมูกของซ่งอวี่ฉิง
“เธอยังเด็ก ยังไม่เข้าใจเรื่องพวกนี้ การแต่งงานโดยไม่มีรากฐานทางวัตถุน่ะ มันไม่สามารถคงอยู่ได้นานหรอกนะ ฝันหวานให้มันน้อย ๆ หน่อย”
ฝั่งนี้ผู้หญิงสี่คนรวมตัวพูดคุยกัน อีกด้านหนึ่งเขยทั้งสามก็เริ่มเปิดเกมรบ
คังเล่อเหว่ยนิ่งเงียบมาตลอด เขาดูแคลนหลิงอวิ๋นจากก้นบึ้งของหัวใจ
เขานับว่าเป็นตัวอะไร แค่คนเสเพลที่กินอยู่ฟรีไปวัน ๆ เท่านั้น
เขาไม่เคยเห็นหลิงอวิ๋นอยู่ในสายตา
คังเล่อเหว่ยหยิบเอากล่องผ้าที่ห่อบรรจุอย่างสวยงามออกมา แล้วผลักไปตรงหน้าหวางอวิ๋น
“คุณแม่ ผมไปทำงานต่างประเทศมา นี่เป็นของฝากเล็กน้อย ได้โปรดรับไว้ด้วย”
เมื่อหวางอวิ๋นได้รับของขวัญ เธอยิ้ม “หายากนะ เธอยังคิดถึงแม่ ไม่เหมือนใครบางคน..."
พูดจบยังชำเลืองตามองหลิงอวิ๋น หลิงอวิ๋นมองกลับไม่หลบสายตา
หวางอวิ๋นรู้สึกว่าตนเองพูดเกินไป จึงเบือนสายตาไปทางอื่น
เธอเปิดกล่องผ้าและร้องออกมาด้วยความชื่นชมยินดี
เป็นรูปสลักเจ้าแม่กวนอิมหยกขาว
หยกมันนวลสีขาวประดุจดวงจันทร์ แกะสลักจากหยกทั้งชิ้น ชายกระโปรงของเจ้าแม่กวนอิมที่ปลิวไสวอยู่ทำให้ดูขลัง มองเพียงปราดเดียวก็รู้ว่าราคาไม่เบาเลย ดูอ่อนโยนและสมบูรณ์ หวางอวิ๋นชอบจนวางไม่ลงเลย
หญิงสาวทั้งสี่ก็ถูกความวิจิตรของกวนอิมหยกขาวดึงดูด ต่างแสดงความชื่นชมอย่างจริงใจ
ใบหน้าของซ่งอวี่โหมวอิ่มเอิบไปด้วยความสุข เธอภูมิใจอย่างที่สุด
“คุณแม่ เล่อเหว่ยรู้ว่าคุณแม่ชอบเครื่องหยก ของขวัญชิ้นนี้เล่อเหว่ยตั้งใจเลือกให้คุณแม่เลยนะคะ เป็นหยกมันแพะบริสุทธิ์ ส่วนงานฝีมือก็ระดับช่างชั้นครูเลย”
“ดี ดี ดี แม่ก็ว่ามองตรงไหนก็สวยงามไปหมด! ”
คังเล่อเหว่ยคาดเดาได้ตั้งแต่แรกแล้วถึงปฏิกิริยาของแม่ยาย และในขณะที่เขากำลังสุขใจ ก็เหลือบไปเห็นซ่งอวี่ถงและหลิงอวิ๋นที่นั่งอยู่อีกด้าน ดวงตาของเขาเป็นประกาย และทันใดนั้นแผนการก็บังเกิดขึ้นในใจ
“น้องเขยหลิงอวิ๋น เป็นอย่างไรบ้าง ของสิ่งนี้ไม่เลวเลยใช่ไหม”
หลิงอวิ๋นไม่คาดคิดว่า คังเล่อเหว่ยจะหันมาถามตน เขาพยักหน้าคล้อยตาม
“น้องเขย อย่างนั้นนายรู้ไหมว่าของสิ่งนี้ราคาเท่าไร นายอยู่ข้างกายอวี่ถงมาตั้งนานแล้ว ควรจะพอมีประสบการณ์บ้างสินะ”
คำพูดของคังเล่อเหว่ยช่างเหี้ยมโหดนัก
หนึ่งคำสองนัย เขาตั้งใจจะเยาะเย้ยว่าหลิงอวิ๋นนั้นไร้ความสามารถ เอาแต่เกาะผู้หญิงกิน อีกหนึ่งเขามั่นใจว่าหลิงอวิ๋นนั้นไม่สามารถประเมินราคาได้อย่างแน่นอน
เมื่อถึงตอนนั้นหลิงอวิ๋นก็จะกลายเป็นตัวตลกให้ทุกคนได้หัวเราะกัน
หวางอวิ๋นเหลือบมองหลิงอวิ๋น เธอรู้ว่าเขาไม่มีความสามารถด้านนี้ อย่างไรเสียเขาก็เป็นลูกเขยคนรองของตน และเป็นสามีของอวี่ถงอีกด้วย
เธอจึงคิดจะปัดหัวข้อสนทนานี้ให้พ้นไป
“จะทายอะไรกัน กำลังจะกินข้าวกันอยู่แล้ว เตรียมตัวกินข้าวกันได้แล้ว! ”
แต่คังเล่อเหว่ยยังคงไม่ยอมหยุด จะต้องได้คำตอบเรื่องราคาเจ้าแม่กวนอิมหยกขาวจากของปากหลิงอวิ๋นให้ได้
ในขณะที่ทุกคนกำลังรอจะยิ้มเยาะเขา พลันเกิดความผ่องใสในสมองของหลิงอวิ๋น กลั่นเป็นคำตอบออกมา
“เจ้าแม่กวนอิมนั้นถูกอัญเชิญมาเพื่อปกปักรักษาให้ครอบครัวร่มเย็น หากจะพูดถึงราคานั้น เกรงว่าจะเป็นการลบหลู่รูปปั้นศักดิ์สิทธิ์ โชคและลาภที่เจ้าแม่กวนอิมประทานให้นั้นประเมินค่าไม่ได้หรอก”
คำตอบของหลิงอวิ๋นทำให้ทุกคนประหลาดใจ
ซ่งอวี่ฉิงรู้สึกตัวเป็นคนแรก ปรบมือชอบใจ กล่าวว่านี้คือคำตอบที่ดีที่สุด
อวี๋จิ่งส่งสายตาชื่นชม แอบยกนิ้วโป้งให้ เขาก็ไม่ค่อยชอบคังเล่อเหว่ยนัก เพียงแต่ยังต้องการไว้หน้ากันบ้างจึงไม่คิดจะพูดอะไรมากมายนัก
หวางอวิ๋นและบรรดาสาว ๆ ตระกูลซ่งต่างตกตะลึง พวกเธอไม่คาดคิดว่าไอ้เศษสวะคนนี้จะพูดจาแบบนี้เป็นด้วย
คังเล่อเหว่ยก็คาดไม่ถึง ความอับอายปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขาแวบหนึ่งและหายไปอย่างรวดเร็ว ทำได้เพียงพูดติดตลกขึ้น “ประเมินไม่ได้ก็คือไม่ได้ ไม่จำเป็นต้องเลี่ยงบาลีเลย อีกหน่อยน้องเขยไปต่างประเทศด้วยกันกับฉันก็จะเข้าใจเอง...”
ซ่งอวี่ถงได้ยินดังนั้นรู้สึกไม่สบอารมณ์ จึงขัดจังหวะคำพูดของคังเล่อเหว่ย ตอบอย่างดูแคลนว่า “พี่เขย ในสายตาของคุณทุกอย่างต้องประเมินออกมาเป็นตัวเลขหรือ ไม่ง่ายไปหน่อยหรือคะ? ”
หวางอวิ๋นเห็นเค้าลางไม่ดี จึงรีบตัดบท “ไม่เอาน่า พอได้แล้ว เล่อเหว่ยให้รูปปั้นเจ้าแม่กวนอิมกับแม่มาถือเป็นเจตนาที่ดี และแม่ก็ชอบมากเลย! ”
“เอาล่ะ แม่บ้านจ้าว บอกในครัวให้เสิร์ฟอาหารได้แล้ว”
“คุณพ่อล่ะคะ? ” ซ่งอวี่โหมวถามขึ้น
“ไม่ต้องรอเขา เขาไปธุระต่างเมือง วันนี้ก็มีเพียงพวกเราไม่กี่คนนี่แหละ”
อาหารทยอยออกมาจนครบ
ทุกคนต่างนั่งประจำที่ของตน หวางอวิ๋นนั่งอยู่ตำแหน่งประธาน เหล่าลูกเขยนั่งอยู่ทางซ้ายมือ ทางขวามือเป็นบรรดาสาว ๆ ตระกูลซ่ง
เดิมทีควรนั่งตามลำดับเขยคนโต เขยคนรอง และเขยคนที่สาม
ตำแหน่งของหลิงอวิ๋นนั้นอยู่ตรงกลาง แต่ซ่งอวี่เหมียนบังคับให้อวี๋จิ่งและหลิงอวิ๋นแลกที่นั่งกัน ให้หลิงอวิ๋นนั่งอยู่อันดับสุดท้าย
แม้ว่าใบหน้าของซ่งอวี่ถงจะแสดงออกถึงความไม่พอใจ แต่เธอก็ไม่ปริปากพูดอะไรออกมา
หลิงอวิ๋นระงับความโกรธของเขาไว้ เขารู้สึกเหมือนตัวเองกำลังจะระเบิดออกมา
งานเลี้ยงภายในครอบครัวก็ได้เริ่มด้วยบรรยากาศที่แปลกประหลาดนี้
หลังจากดื่มไปสามรอบ ซ่งอวี๋เหมียนก็เริ่มบทสนทนา
เธอบอกว่าอวี๋จิ่งกำลังจะได้เลื่อนขั้นเป็นศาสตราจารย์แล้ว ถือเป็นศาสตราจารย์อายุน้อยที่สุดของมหาวิทยาลัยอวิ๋นโจว
อวี๋จิ่งเกาหัวและยิ้มอย่างเขินอาย
หวางอวิ๋นดีใจอย่างที่สุด ว่ากันตามตรงแล้ว ตระกูลซ่งนั้นไม่ขาดแคลนเงินทอง แต่การได้คนมีความรู้สูงอย่างอวี๋จิ่งมาประดับตระกูล นั่นคือเกียรติยศ
ลูกสาวไม่ได้เลือกคนผิด และตนเองก็มองคนไม่พลาด
“เป็นเรื่องดี ดีมาก เป็นข่าวดีเรื่องที่สองของวันนี้เลย ประเดี๋ยวค่ำสักหน่อยค่อยบอกพ่อ เขาต้องดีใจกับพวกเธออย่างแน่นอน! ”
เขยใหญ่ร่ำรวยเงินทอง เขยสามอุดมปัญญา
คิดมาถึงตรงนี้ก็อดไม่ได้ที่จะคิดถึงเขยสองผู้ไร้ประโยชน์
สีหน้าของหวางอวิ๋นพลันเปลี่ยน และพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวล “อวี่ถง ดูพี่ ๆ น้อง ๆ ของเธอสิ ดูสามีคนอื่นที่ได้รับการอบรม เธอน่ะ ต้องคอยเรียนรู้ไว้บ้างนะ”
คำพูดของเธอเหมือนกับประกายไฟที่จุดประกายความโกรธของหลิงอวิ๋นในทันที
เขาลุกพรวดยืนขึ้น ดวงตาของเขาเบิกกว้างราวกับระฆังทองแดง ความมืดหม่นปรากฏในดวงตาเมื่อนึกถึงความคับข้องใจที่เขาได้รับตลอดหลายปีที่ผ่านมา มือทั้งสองกำหมัดแน่นจนเกิดเสียงดังของกล้ามเนื้อที่เบียดเสียดกัน.
เดิมทีเขาคิดอยากจะล้มโต๊ะ ไม่ต้องกงต้องกินมันแล้ว
สติหนึ่งเดียวที่ยังคงควบคุมไม่ให้อารมณ์ของเขากระเจิดกระเจิงไปมากกว่านี้ คือหัวใจที่อัดอั้นไปด้วยความสุขและความทุกข์ระคนกันไป ตอนนี้หลิงอวิ๋นคิดเพียงอยากจะออกจากสถานการณ์ที่วุ่นวายนี้ให้เร็วที่สุด
“นายเป็นอะไรไป นั่งลงเดี๋ยวนี้ ไม่ฟังคำพูดของฉันแล้วหรือ? ”
“พี่ ดูเขาสิ ทำอะไรน่ะ เอาใหญ่แล้ว! ”
“น้องเขย ซื้อของขวัญไม่ไหวก็อย่าพาลสิ กลับไปที่บริษัทของฉัน ตำแหน่งในสายการผลิตยังว่างอยู่”
หลิงอวิ๋นได้ยินเสียงด่าทอ เสียงเยาะเย้ย เสียงถอนหายใจ...
เขาเหลือบมองซ่งอวี่ถง ความสัมพันธ์ฉันสามีภรรยาตั้งหลายปี พูดอะไรสักประโยคก็ยังดี
แต่ซ่งอวี่ถงไม่ เธอก้มหน้าจ้องมองชามกระเบื้อง หยิบช้อนและตักอาหารขึ้นใส่ปากช้า ๆ โดยไม่ได้พูดอะไรสักคำ
ความทุกข์ใดก็ไม่เท่าหัวใจที่แห้งตาย
หลิงอวิ๋นรู้สึกว่าเขาไม่จำเป็นต้องหลงเหลือความรู้สึกใด ๆ
เขาถอดเสื้อผ้าออก เสื้อผ้าชุดนี้เป็นสิ่งเดียวที่ซ่งอวี่ถงซื้อให้
เขาเดินออกจากบ้านตระกูลซ่งไปโดยไม่หันกลับมามอง
หวางอวิ๋นโกรธจนมือสั่น ตะโกนก่นด่าออกไป “เขาทำแบบนี้ให้ใครดูกัน ให้ฉันดูหรือ ไอ้คนอกตัญญู กินอยู่กันฉันแล้วยังชักสีหน้าใส่ฉันอีก หมาป่าเลี้ยงไม่เชื่องจริง ๆ ...”
“คุณแม่ พอทีเถอะ! ” ซ่งอวี่ถงโยนช้อนลงในชามกระเบื้องเกิดเสียงดัง เธอลุกขึ้นและเดินไปข้างบน ไม่ว่าหวางอวิ๋นจะตะโกนเรียกอย่างไรเธอก็ไม่กลับลงมา
คราวนี้ตระกูลซ่งก็อึกทึกวุ่นวายเป็นการใหญ่ ช่างเป็นบรรยากาศการทานข้าวที่คึกคักเสียจริง
———
หลังจากที่หลิงอวิ๋นออกจากตระกูลซ่ง เขาก็ไม่รู้จะไปที่ไหน ในใจอัดแน่นจนแทบหายใจไม่ออก
เขาเดินเข้าไปในร้านเหล้าเล็ก ๆ ริมถนน เขาสั่งกับแกล้ม ตระเตรียมดื่มเหล้าเพื่อให้ลืมความทุกข์
ที่งานเลี้ยงครอบครัวเขาไม่ได้ดื่มแม้แต่น้อย เขารู้สึกอัดอั้นตันใจ
หลังจากออกจากตระกูลซ่ง เขารู้สึกโล่งอก สบายจริง ๆ ไม่ได้รู้สึกผ่อนคลายแบบนี้มานานแล้ว
เปิดขวดแล้วดื่ม กระทั่งรู้ตัวอีกทีก็เมาไม่รู้เรื่องแล้ว
ในเวลานี้ มีไฟรถกระพริบอยู่ด้านนอกร้าน สายตาพร่าของหลิงอวิ๋นเห็นชายคนหนึ่งเดินเข้ามา ชายคนนั้นสวมชุดสูทและรองเท้าหนัง แลดูกระฉับกระเฉง
ชายคนนั้นหยุดยืนที่ตรงหน้าหลิงอวิ๋นพร้อมถามว่า ตรงนี้มีคนนั่งไหม?
หลิงอวิ๋นส่ายศีรษะ
เขาจึงนั่งลง
หลิงอวิ๋นยิ้มเยาะ ไอ้คนนี้จะมาขอเหล้ากินฟรี เขาจึงเรียกพนักงานจัดจานและตะเกียบอีกชุด แล้วเติมเหล้าให้จนเต็มแก้วด้วยตัวของเขาเอง
“ดื่ม ไม่ต้องเกรงใจ ผมเลี้ยงเอง”
ชายคนนั้นยิ้มไม่พูดจา และดื่มเป็นเพื่อนหลิงอวิ๋นจนหมดแก้ว
“ไอ้หยา เป็นถึงกับเขยรองตระกูลซ่ง ทำไมถึงตกต่ำขนาดมาเมาที่ร้านเหล้าเล็ก ๆ อย่างนี้ได้? ”
หลิงอวิ๋นได้ยินดังนั้นก็ถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยหน่าย ที่ไหนก็มีแต่คนมาถากถางเขา แม่งเอ้ย กระทั่งร้านเหล้าเล็ก ๆ ยังหนีไม่พ้น
เหล้านี้หมดรสชาติไปเสียแล้ว
หลิงอวิ๋นวางธนบัตรร้อยหยวนเตรียมตัวจะออกไป เขาขี้เกียจจะเอาเรื่องเอาราวกับคนคนนี้
“จะไปแบบนี้เหรอ หลังจากเมาแล้วตื่นขึ้นมามีแผนอะไรบ้างไหม? ”
คำถามนี้แทงใจหลิงอวิ๋น นั่นสิ คืนนี้เมาแล้ว พรุ่งนี้จะเป็นอย่างไร เขามาถึงจุดที่ไม่มีบ้านให้กลับแล้ว
คิดแล้วช่างน่าขัน หลิงอวิ๋นนั่งลงตรงหน้าประตูร้านเหล้า สะอึกน้ำเมา จ้องมองไปในผืนฟ้าสีดำอันกว้างใหญ่ ดวงตาของเขาพร่ามัว ไม่รู้ควรทำอย่างไร
ชายคนนั้นนั่งเขยิบเข้ามากใกล้ เอามือตบบ่าหลิงอวิ๋นพลางพูดที่ข้างหูของเขา “น้องชาย คิดจะกลับมายืนหยัดอีกครั้งไหม? ฉันมีธุรกิจต้องการให้คุณร่วมมือ”
แม้ว่าหลิงอวิ๋นจะเมาแล้ว แต่เขาไม่ได้เลอะเลือน นี่มันพวกต้มตุ๋นชัด ๆ
เขาปัดมือชายคนนั้นออกพร้อมตะโกนด่าออกไป “จนถึงขนาดนี้แล้ว แกยังมาหลอกฉันอีก ไปให้พ้น จะทำอะไรก็ไปซะ”
ชายคนนั้นไม่โกรธ กลับพูดตอบกลับอย่างช้า ๆ “คุณคิดว่า คุณยังเหลืออะไรให้ผมหลอกอีกหรือ?”
หลิงอวิ๋นตกตะลึง เขาสร่างเมากึ่งหนึ่งในทันที ใช่แล้ว เขาไม่เหลืออะไรเลย ไม่มีค่าเพียงพอให้ใครมาหลอกลวงทั้งสิ้น
เขาจึงลองเลียบถามดูว่าเป็นธุรกิจอะไรกัน
คนคนนั้นยกนิ้วชี้ขึ้น
“หนึ่งหมื่นหรือ? ”
“เพิ่มคำว่าหมื่นต่อท้ายเข้าไปข้างหลัง แล้วพูดใหม่อีกครั้ง”
“หนึ่งหมื่นหมื่น ร้อยล้าน? ”
ชายคนนั้นพยักหน้าและเอ่ยตัวเลขที่ทำให้หลิงอวิ๋นต้องอ้าปากค้าง
ธุรกิจร้อยล้านดอลลาร์สหรัฐ