ตอนที่ 2 กิจการร้อยล้านดอลลาร์

2423 Words
นอกจากซ่งอวี่ฉิงแล้ว สาว ๆ ตระกูลซ่งคนอื่น ๆ ต่างก็ไม่มีใครชื่นชอบเขยตกอับคนนี้ ซ่งอวี่เหมียนเอาศอกกระทุ้งซ่งอวี่ถงเบา ๆ แล้วพูดขึ้นด้วยเสียงกระซิบ “พี่ ดูเขาสิ แม้แต่แม่ก็ยังกล้าเถียง” ซ่งอวี่โหมวที่อยู่อีกด้านหนึ่งกำลังแกะเปลือกลำไยแล้วใส่เข้าปาก ก็เข้าร่วมวงสนทนา “น้องเอ๋ย พี่ไม่เข้าใจเลยจริง ๆ คนแบบนี้เธอก็ยังทนมาได้จนถึงตอนนี้”  “หากเป็นฉันนะ...คงจะเลิกรากันไป 18 ตลบแล้ว” ความเหนื่อยหน่ายปรากฏขึ้นในดวงตาของซ่งอวี่ถง เธอเคยรู้สึกประทับใจในชายหนุ่มรูปงามร่างสูงใหญ่คนนี้ในตอนแรกที่พบเจอ แต่เมื่อได้รับฟังสถานการณ์ที่ลำบากของครอบครัวของเขา เธอก็รู้สึกสิ้นหวัง ทั้งพี่สาวและน้องสาวล้วนได้คู่ครองที่ดี เพราะเหตุใดตนถึงมีชีวิตคู่เช่นนี้ เธอเกลียด เกลียดที่พ่อและแม่ของเธอให้เธอแต่งงานเร็วเกินไป เธอเสียใจ ทำไมไม่รีบหาแฟนที่เหมาะสมตั้งแต่ตอนที่เธออยู่ต่างประเทศ เธอโกรธ ห้าปีที่ผ่านมา เนื้อสุนัขก็ยังเป็นเนื้อสุนัข ไม่เคยได้ขึ้นโต๊ะร่วมฉลองในงานเลี้ยง ซ่งอวี่ถงรอคอยและตั้งความหวังมาถึงห้าปี มาบัดนี้เธอท้อแล้ว บางทีเขาอาจเป็นแค่เศษไม้ที่ตายไปแล้ว “พูดบ้า ๆ ฉันว่าพี่เขยออกจะดี แล้วก็จริงใจกับพี่สาวมากด้วย ดีกว่าพวกคุณชายเหลาะแหละพวกนั้นอีก” ซ่งอวี่ฉิงพูดแทรกขึ้นเพื่อทวงคืนความยุติธรรมให้พี่เขย เมื่อซ่งอวี่โหมวและซ่งอวี่เหมียนได้ยินก็อดขำไม่ได้ จึงเอามือลูบสันจมูกของซ่งอวี่ฉิง “เธอยังเด็ก ยังไม่เข้าใจเรื่องพวกนี้ การแต่งงานโดยไม่มีรากฐานทางวัตถุน่ะ มันไม่สามารถคงอยู่ได้นานหรอกนะ ฝันหวานให้มันน้อย ๆ หน่อย” ฝั่งนี้ผู้หญิงสี่คนรวมตัวพูดคุยกัน อีกด้านหนึ่งเขยทั้งสามก็เริ่มเปิดเกมรบ คังเล่อเหว่ยนิ่งเงียบมาตลอด เขาดูแคลนหลิงอวิ๋นจากก้นบึ้งของหัวใจ เขานับว่าเป็นตัวอะไร แค่คนเสเพลที่กินอยู่ฟรีไปวัน ๆ เท่านั้น เขาไม่เคยเห็นหลิงอวิ๋นอยู่ในสายตา คังเล่อเหว่ยหยิบเอากล่องผ้าที่ห่อบรรจุอย่างสวยงามออกมา แล้วผลักไปตรงหน้าหวางอวิ๋น “คุณแม่ ผมไปทำงานต่างประเทศมา นี่เป็นของฝากเล็กน้อย ได้โปรดรับไว้ด้วย” เมื่อหวางอวิ๋นได้รับของขวัญ เธอยิ้ม “หายากนะ เธอยังคิดถึงแม่ ไม่เหมือนใครบางคน..." พูดจบยังชำเลืองตามองหลิงอวิ๋น หลิงอวิ๋นมองกลับไม่หลบสายตา หวางอวิ๋นรู้สึกว่าตนเองพูดเกินไป จึงเบือนสายตาไปทางอื่น เธอเปิดกล่องผ้าและร้องออกมาด้วยความชื่นชมยินดี เป็นรูปสลักเจ้าแม่กวนอิมหยกขาว หยกมันนวลสีขาวประดุจดวงจันทร์ แกะสลักจากหยกทั้งชิ้น ชายกระโปรงของเจ้าแม่กวนอิมที่ปลิวไสวอยู่ทำให้ดูขลัง มองเพียงปราดเดียวก็รู้ว่าราคาไม่เบาเลย ดูอ่อนโยนและสมบูรณ์ หวางอวิ๋นชอบจนวางไม่ลงเลย หญิงสาวทั้งสี่ก็ถูกความวิจิตรของกวนอิมหยกขาวดึงดูด ต่างแสดงความชื่นชมอย่างจริงใจ ใบหน้าของซ่งอวี่โหมวอิ่มเอิบไปด้วยความสุข เธอภูมิใจอย่างที่สุด  “คุณแม่ เล่อเหว่ยรู้ว่าคุณแม่ชอบเครื่องหยก ของขวัญชิ้นนี้เล่อเหว่ยตั้งใจเลือกให้คุณแม่เลยนะคะ เป็นหยกมันแพะบริสุทธิ์ ส่วนงานฝีมือก็ระดับช่างชั้นครูเลย”  “ดี ดี ดี แม่ก็ว่ามองตรงไหนก็สวยงามไปหมด! ” คังเล่อเหว่ยคาดเดาได้ตั้งแต่แรกแล้วถึงปฏิกิริยาของแม่ยาย และในขณะที่เขากำลังสุขใจ ก็เหลือบไปเห็นซ่งอวี่ถงและหลิงอวิ๋นที่นั่งอยู่อีกด้าน ดวงตาของเขาเป็นประกาย และทันใดนั้นแผนการก็บังเกิดขึ้นในใจ “น้องเขยหลิงอวิ๋น เป็นอย่างไรบ้าง ของสิ่งนี้ไม่เลวเลยใช่ไหม” หลิงอวิ๋นไม่คาดคิดว่า คังเล่อเหว่ยจะหันมาถามตน เขาพยักหน้าคล้อยตาม “น้องเขย อย่างนั้นนายรู้ไหมว่าของสิ่งนี้ราคาเท่าไร นายอยู่ข้างกายอวี่ถงมาตั้งนานแล้ว ควรจะพอมีประสบการณ์บ้างสินะ” คำพูดของคังเล่อเหว่ยช่างเหี้ยมโหดนัก หนึ่งคำสองนัย เขาตั้งใจจะเยาะเย้ยว่าหลิงอวิ๋นนั้นไร้ความสามารถ เอาแต่เกาะผู้หญิงกิน อีกหนึ่งเขามั่นใจว่าหลิงอวิ๋นนั้นไม่สามารถประเมินราคาได้อย่างแน่นอน เมื่อถึงตอนนั้นหลิงอวิ๋นก็จะกลายเป็นตัวตลกให้ทุกคนได้หัวเราะกัน หวางอวิ๋นเหลือบมองหลิงอวิ๋น เธอรู้ว่าเขาไม่มีความสามารถด้านนี้ อย่างไรเสียเขาก็เป็นลูกเขยคนรองของตน และเป็นสามีของอวี่ถงอีกด้วย เธอจึงคิดจะปัดหัวข้อสนทนานี้ให้พ้นไป “จะทายอะไรกัน กำลังจะกินข้าวกันอยู่แล้ว เตรียมตัวกินข้าวกันได้แล้ว! ” แต่คังเล่อเหว่ยยังคงไม่ยอมหยุด จะต้องได้คำตอบเรื่องราคาเจ้าแม่กวนอิมหยกขาวจากของปากหลิงอวิ๋นให้ได้ ในขณะที่ทุกคนกำลังรอจะยิ้มเยาะเขา พลันเกิดความผ่องใสในสมองของหลิงอวิ๋น กลั่นเป็นคำตอบออกมา “เจ้าแม่กวนอิมนั้นถูกอัญเชิญมาเพื่อปกปักรักษาให้ครอบครัวร่มเย็น หากจะพูดถึงราคานั้น เกรงว่าจะเป็นการลบหลู่รูปปั้นศักดิ์สิทธิ์ โชคและลาภที่เจ้าแม่กวนอิมประทานให้นั้นประเมินค่าไม่ได้หรอก” คำตอบของหลิงอวิ๋นทำให้ทุกคนประหลาดใจ ซ่งอวี่ฉิงรู้สึกตัวเป็นคนแรก ปรบมือชอบใจ กล่าวว่านี้คือคำตอบที่ดีที่สุด อวี๋จิ่งส่งสายตาชื่นชม แอบยกนิ้วโป้งให้ เขาก็ไม่ค่อยชอบคังเล่อเหว่ยนัก เพียงแต่ยังต้องการไว้หน้ากันบ้างจึงไม่คิดจะพูดอะไรมากมายนัก หวางอวิ๋นและบรรดาสาว ๆ ตระกูลซ่งต่างตกตะลึง พวกเธอไม่คาดคิดว่าไอ้เศษสวะคนนี้จะพูดจาแบบนี้เป็นด้วย คังเล่อเหว่ยก็คาดไม่ถึง ความอับอายปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขาแวบหนึ่งและหายไปอย่างรวดเร็ว ทำได้เพียงพูดติดตลกขึ้น “ประเมินไม่ได้ก็คือไม่ได้ ไม่จำเป็นต้องเลี่ยงบาลีเลย อีกหน่อยน้องเขยไปต่างประเทศด้วยกันกับฉันก็จะเข้าใจเอง...” ซ่งอวี่ถงได้ยินดังนั้นรู้สึกไม่สบอารมณ์ จึงขัดจังหวะคำพูดของคังเล่อเหว่ย ตอบอย่างดูแคลนว่า “พี่เขย ในสายตาของคุณทุกอย่างต้องประเมินออกมาเป็นตัวเลขหรือ ไม่ง่ายไปหน่อยหรือคะ? ” หวางอวิ๋นเห็นเค้าลางไม่ดี จึงรีบตัดบท “ไม่เอาน่า พอได้แล้ว เล่อเหว่ยให้รูปปั้นเจ้าแม่กวนอิมกับแม่มาถือเป็นเจตนาที่ดี และแม่ก็ชอบมากเลย! ” “เอาล่ะ แม่บ้านจ้าว บอกในครัวให้เสิร์ฟอาหารได้แล้ว” “คุณพ่อล่ะคะ? ” ซ่งอวี่โหมวถามขึ้น “ไม่ต้องรอเขา เขาไปธุระต่างเมือง วันนี้ก็มีเพียงพวกเราไม่กี่คนนี่แหละ” อาหารทยอยออกมาจนครบ ทุกคนต่างนั่งประจำที่ของตน หวางอวิ๋นนั่งอยู่ตำแหน่งประธาน เหล่าลูกเขยนั่งอยู่ทางซ้ายมือ ทางขวามือเป็นบรรดาสาว ๆ ตระกูลซ่ง เดิมทีควรนั่งตามลำดับเขยคนโต เขยคนรอง และเขยคนที่สาม ตำแหน่งของหลิงอวิ๋นนั้นอยู่ตรงกลาง แต่ซ่งอวี่เหมียนบังคับให้อวี๋จิ่งและหลิงอวิ๋นแลกที่นั่งกัน ให้หลิงอวิ๋นนั่งอยู่อันดับสุดท้าย แม้ว่าใบหน้าของซ่งอวี่ถงจะแสดงออกถึงความไม่พอใจ แต่เธอก็ไม่ปริปากพูดอะไรออกมา หลิงอวิ๋นระงับความโกรธของเขาไว้ เขารู้สึกเหมือนตัวเองกำลังจะระเบิดออกมา งานเลี้ยงภายในครอบครัวก็ได้เริ่มด้วยบรรยากาศที่แปลกประหลาดนี้ หลังจากดื่มไปสามรอบ ซ่งอวี๋เหมียนก็เริ่มบทสนทนา เธอบอกว่าอวี๋จิ่งกำลังจะได้เลื่อนขั้นเป็นศาสตราจารย์แล้ว ถือเป็นศาสตราจารย์อายุน้อยที่สุดของมหาวิทยาลัยอวิ๋นโจว อวี๋จิ่งเกาหัวและยิ้มอย่างเขินอาย หวางอวิ๋นดีใจอย่างที่สุด ว่ากันตามตรงแล้ว ตระกูลซ่งนั้นไม่ขาดแคลนเงินทอง แต่การได้คนมีความรู้สูงอย่างอวี๋จิ่งมาประดับตระกูล นั่นคือเกียรติยศ ลูกสาวไม่ได้เลือกคนผิด และตนเองก็มองคนไม่พลาด “เป็นเรื่องดี ดีมาก เป็นข่าวดีเรื่องที่สองของวันนี้เลย ประเดี๋ยวค่ำสักหน่อยค่อยบอกพ่อ เขาต้องดีใจกับพวกเธออย่างแน่นอน! ” เขยใหญ่ร่ำรวยเงินทอง เขยสามอุดมปัญญา คิดมาถึงตรงนี้ก็อดไม่ได้ที่จะคิดถึงเขยสองผู้ไร้ประโยชน์ สีหน้าของหวางอวิ๋นพลันเปลี่ยน และพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวล “อวี่ถง ดูพี่ ๆ น้อง ๆ ของเธอสิ ดูสามีคนอื่นที่ได้รับการอบรม เธอน่ะ ต้องคอยเรียนรู้ไว้บ้างนะ” คำพูดของเธอเหมือนกับประกายไฟที่จุดประกายความโกรธของหลิงอวิ๋นในทันที เขาลุกพรวดยืนขึ้น ดวงตาของเขาเบิกกว้างราวกับระฆังทองแดง ความมืดหม่นปรากฏในดวงตาเมื่อนึกถึงความคับข้องใจที่เขาได้รับตลอดหลายปีที่ผ่านมา มือทั้งสองกำหมัดแน่นจนเกิดเสียงดังของกล้ามเนื้อที่เบียดเสียดกัน. เดิมทีเขาคิดอยากจะล้มโต๊ะ ไม่ต้องกงต้องกินมันแล้ว สติหนึ่งเดียวที่ยังคงควบคุมไม่ให้อารมณ์ของเขากระเจิดกระเจิงไปมากกว่านี้ คือหัวใจที่อัดอั้นไปด้วยความสุขและความทุกข์ระคนกันไป ตอนนี้หลิงอวิ๋นคิดเพียงอยากจะออกจากสถานการณ์ที่วุ่นวายนี้ให้เร็วที่สุด “นายเป็นอะไรไป นั่งลงเดี๋ยวนี้ ไม่ฟังคำพูดของฉันแล้วหรือ? ” “พี่ ดูเขาสิ ทำอะไรน่ะ เอาใหญ่แล้ว! ” “น้องเขย ซื้อของขวัญไม่ไหวก็อย่าพาลสิ กลับไปที่บริษัทของฉัน ตำแหน่งในสายการผลิตยังว่างอยู่” หลิงอวิ๋นได้ยินเสียงด่าทอ เสียงเยาะเย้ย เสียงถอนหายใจ... เขาเหลือบมองซ่งอวี่ถง ความสัมพันธ์ฉันสามีภรรยาตั้งหลายปี พูดอะไรสักประโยคก็ยังดี แต่ซ่งอวี่ถงไม่ เธอก้มหน้าจ้องมองชามกระเบื้อง หยิบช้อนและตักอาหารขึ้นใส่ปากช้า ๆ โดยไม่ได้พูดอะไรสักคำ ความทุกข์ใดก็ไม่เท่าหัวใจที่แห้งตาย หลิงอวิ๋นรู้สึกว่าเขาไม่จำเป็นต้องหลงเหลือความรู้สึกใด ๆ เขาถอดเสื้อผ้าออก เสื้อผ้าชุดนี้เป็นสิ่งเดียวที่ซ่งอวี่ถงซื้อให้ เขาเดินออกจากบ้านตระกูลซ่งไปโดยไม่หันกลับมามอง หวางอวิ๋นโกรธจนมือสั่น ตะโกนก่นด่าออกไป “เขาทำแบบนี้ให้ใครดูกัน ให้ฉันดูหรือ ไอ้คนอกตัญญู กินอยู่กันฉันแล้วยังชักสีหน้าใส่ฉันอีก หมาป่าเลี้ยงไม่เชื่องจริง ๆ ...” “คุณแม่ พอทีเถอะ! ” ซ่งอวี่ถงโยนช้อนลงในชามกระเบื้องเกิดเสียงดัง เธอลุกขึ้นและเดินไปข้างบน ไม่ว่าหวางอวิ๋นจะตะโกนเรียกอย่างไรเธอก็ไม่กลับลงมา คราวนี้ตระกูลซ่งก็อึกทึกวุ่นวายเป็นการใหญ่ ช่างเป็นบรรยากาศการทานข้าวที่คึกคักเสียจริง ——— หลังจากที่หลิงอวิ๋นออกจากตระกูลซ่ง เขาก็ไม่รู้จะไปที่ไหน ในใจอัดแน่นจนแทบหายใจไม่ออก เขาเดินเข้าไปในร้านเหล้าเล็ก ๆ ริมถนน เขาสั่งกับแกล้ม ตระเตรียมดื่มเหล้าเพื่อให้ลืมความทุกข์ ที่งานเลี้ยงครอบครัวเขาไม่ได้ดื่มแม้แต่น้อย เขารู้สึกอัดอั้นตันใจ หลังจากออกจากตระกูลซ่ง เขารู้สึกโล่งอก สบายจริง ๆ ไม่ได้รู้สึกผ่อนคลายแบบนี้มานานแล้ว เปิดขวดแล้วดื่ม กระทั่งรู้ตัวอีกทีก็เมาไม่รู้เรื่องแล้ว ในเวลานี้ มีไฟรถกระพริบอยู่ด้านนอกร้าน สายตาพร่าของหลิงอวิ๋นเห็นชายคนหนึ่งเดินเข้ามา ชายคนนั้นสวมชุดสูทและรองเท้าหนัง แลดูกระฉับกระเฉง ชายคนนั้นหยุดยืนที่ตรงหน้าหลิงอวิ๋นพร้อมถามว่า ตรงนี้มีคนนั่งไหม? หลิงอวิ๋นส่ายศีรษะ เขาจึงนั่งลง หลิงอวิ๋นยิ้มเยาะ ไอ้คนนี้จะมาขอเหล้ากินฟรี เขาจึงเรียกพนักงานจัดจานและตะเกียบอีกชุด แล้วเติมเหล้าให้จนเต็มแก้วด้วยตัวของเขาเอง  “ดื่ม ไม่ต้องเกรงใจ ผมเลี้ยงเอง” ชายคนนั้นยิ้มไม่พูดจา และดื่มเป็นเพื่อนหลิงอวิ๋นจนหมดแก้ว “ไอ้หยา เป็นถึงกับเขยรองตระกูลซ่ง ทำไมถึงตกต่ำขนาดมาเมาที่ร้านเหล้าเล็ก ๆ อย่างนี้ได้? ” หลิงอวิ๋นได้ยินดังนั้นก็ถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยหน่าย ที่ไหนก็มีแต่คนมาถากถางเขา แม่งเอ้ย กระทั่งร้านเหล้าเล็ก ๆ ยังหนีไม่พ้น เหล้านี้หมดรสชาติไปเสียแล้ว หลิงอวิ๋นวางธนบัตรร้อยหยวนเตรียมตัวจะออกไป เขาขี้เกียจจะเอาเรื่องเอาราวกับคนคนนี้ “จะไปแบบนี้เหรอ หลังจากเมาแล้วตื่นขึ้นมามีแผนอะไรบ้างไหม? ” คำถามนี้แทงใจหลิงอวิ๋น นั่นสิ คืนนี้เมาแล้ว พรุ่งนี้จะเป็นอย่างไร เขามาถึงจุดที่ไม่มีบ้านให้กลับแล้ว คิดแล้วช่างน่าขัน หลิงอวิ๋นนั่งลงตรงหน้าประตูร้านเหล้า สะอึกน้ำเมา จ้องมองไปในผืนฟ้าสีดำอันกว้างใหญ่ ดวงตาของเขาพร่ามัว ไม่รู้ควรทำอย่างไร ชายคนนั้นนั่งเขยิบเข้ามากใกล้ เอามือตบบ่าหลิงอวิ๋นพลางพูดที่ข้างหูของเขา “น้องชาย คิดจะกลับมายืนหยัดอีกครั้งไหม? ฉันมีธุรกิจต้องการให้คุณร่วมมือ” แม้ว่าหลิงอวิ๋นจะเมาแล้ว แต่เขาไม่ได้เลอะเลือน นี่มันพวกต้มตุ๋นชัด ๆ เขาปัดมือชายคนนั้นออกพร้อมตะโกนด่าออกไป “จนถึงขนาดนี้แล้ว แกยังมาหลอกฉันอีก ไปให้พ้น จะทำอะไรก็ไปซะ” ชายคนนั้นไม่โกรธ กลับพูดตอบกลับอย่างช้า ๆ “คุณคิดว่า คุณยังเหลืออะไรให้ผมหลอกอีกหรือ?” หลิงอวิ๋นตกตะลึง เขาสร่างเมากึ่งหนึ่งในทันที ใช่แล้ว เขาไม่เหลืออะไรเลย ไม่มีค่าเพียงพอให้ใครมาหลอกลวงทั้งสิ้น เขาจึงลองเลียบถามดูว่าเป็นธุรกิจอะไรกัน คนคนนั้นยกนิ้วชี้ขึ้น “หนึ่งหมื่นหรือ? ” “เพิ่มคำว่าหมื่นต่อท้ายเข้าไปข้างหลัง แล้วพูดใหม่อีกครั้ง” “หนึ่งหมื่นหมื่น ร้อยล้าน? ” ชายคนนั้นพยักหน้าและเอ่ยตัวเลขที่ทำให้หลิงอวิ๋นต้องอ้าปากค้าง ธุรกิจร้อยล้านดอลลาร์สหรัฐ
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD