กล่าวถึงครอบครัวตระกูลเซียว เดิมที่เฉิงเหวยกั๋วกงในอดีตนั้นเคยเป็นเจ้าสำนักหนึ่งในยุทธภพ ทั้งเป็นสหายกับอดีตฮ่องเต้หลิ่งไท่จู่ ยามนั้นอดีตฮ่องเต้เป็นเพียงแม่ทัพประจำหัวเมือง
ทั้งสองรู้จักกันเพราะเคยร่วมมือปราบโจรป่า นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาทั้งสองตระกูลจึงสนิทสนมคุ้นเคยกัน ฮ่องเต้องค์ปัจจุบันกับฮองเฮาอภิเษกสมรสกันก่อนที่จะสถาปนาก่อตั้งราชวงศ์แล้วเสียอีก
เฉิงเหวยกั๋วกงฮูหยิน มีบุตรสาวอายุห่างจากบุตรชายเกือบสิบปี ในช่วงสงครามเฉิงเหวยกั๋วกงและฮูหยินออกรบ เป็นเซียวเหยาเลี้ยงดูเซียวชงอวี้มาตั้งแต่ยังเล็ก
ความห่วงใยจึงมีมากกว่าเพราะนางเลี้ยงดูเขามากับมือ เฝ้าดูเซียวชงอวี้ค่อย ๆ เจริญเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ ตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ น้องชายเยาว์วัยเมื่อครั้งอดีต กลายเป็นวีรบุรุษสง่างามกล้าหาญยอมเสี่ยงชีวิตเพื่อบ้านเมือง
ทว่า ชื่อเสียงฉาวโฉ่ที่เล่าลือมาจากชายแดนส่งถึงเมืองหลวง ทำให้นางยิ่งกังวลมากกว่าเดิม
อสูรหน้าหยก เลือดเย็น อำมหิต ไฉนเป็นเช่นนี้ไปได้
หลิวซีสังเกตเห็นแววตาของฮองเฮาเต็มไปด้วยความกลัดกลุ้ม
“แม่ทัพเซียวเก่งกล้ามากความสามารถมิต้องให้คนคอยดูแลหรอกเพคะ แต่หม่อมฉันสัญญาว่าจะเขียนจดหมายส่งข่าวเกี่ยวกับท่านแม่ทัพถึงพระองค์บ่อย ๆ แน่นอนเพคะ”
ถึงแม้หญิงสาวจะไม่เคยพบหน้าเซียวซงอวี้ แต่ฉายา ‘อสูรหน้าหยก’ นางเคยได้ยินผู้อื่นพูดถึงกันมาบ้าง ทั้งยังแฝงความหวั่นเกรง
ถึงกระนั้นบรรดาหญิงสาวในเมืองหลวงต่างเฝ้าใฝ่ฝัน รอคอยแม่ทัพเซียวกลับเมือง เพื่อยลโฉมความองอาจหล่อเหลาสง่างาม
โหดเหี้ยมและหล่อเหลา ชื่อเสียงทั้งสองโด่งดังควบคู่กันไป ไม่รู้สึกขัดแย้งกันอย่างแปลก ๆ หรือไร
หลิวซีเคยได้ยินนางกำนัลที่เคยพบหน้าเซียวชงอวี้ในอดีตเมื่อห้าปีก่อน
หล่อเหลาสุภาพสง่างามสมกับเป็นบุรุษมากความสามารถ
คำจำกัดความที่พวกนางให้ไว้ไม่มีคำว่า โหดเหี้ยม ด้วยซ้ำ
“เจ้าไม่เข้าใจความกังวลของข้า” เซียวเหยาทอดถอนใจ พูดเสียงเบาคล้ายเหม่อลอย
“เขาเป็นผู้ใหญ่แล้ว ควรมีเหย้ามีเรือนได้เสียที ช่วงนี้เหล่าบรรดาฮูหยินขุนนางใหญ่พากันเจรจาสอบถามเหมือนโยนหินถามทาง เกี่ยวกับคู่ครองของชงอวี้..แต่ก็ไม่มีอะไร” พลันเหมือนคิดอะไรได้ จึงเมียงมองสาวน้อยที่นั่งข้างเคียง อมยิ้มมุมปาก
“ข้าแค่เป็นห่วงสุขภาพเขา ในเมื่อเจ้าก็เรียนหมอที่สำนักหมอหลวง มิหนำซ้ำยังเป็นลูกศิษย์หมอเทวดาซื่อฉือ ฝีมือย่อมเก่งกาจกว่าหมอชาวบ้านทั่วไป ข้ายังไว้วางใจให้เจ้าดูแลเขา เจ้าเข้าใจข้าใช่หรือไม่”
หลิวซีย่อมเข้าใจจิตใจของพี่สาวที่เป็นห่วงน้องชายซึ่งเลี้ยงมาด้วยตัวเอง ความผูกพันรักใคร่เปรียบดั่งบุตรในอุทร
สำหรับหลิวซีอาชีพหมอหลวงในราชสำนักต้องคำนึงถึงความจงรักภักดีเป็นสำคัญ เพราะเป็นบุคคลที่อยู่ใกล้ความเป็นความตายของฮ่องเต้ ฮองเฮา และเหล่าเชื้อพระวงศ์ทั้งหลาย จะสะเพร่าเลินเล่อไม่ได้ ทั้งต้องไว้วางใจได้อีกด้วย
เมื่อพูดคุยกันอีกสักครู่หญิงสาวขอตัวกลับไปตรวจดูข้าวของ ที่ได้ตระเตรียมไว้อีกครั้งเพื่อความรอบคอบ
เซียวฮองเฮายืนพิงเสาเพียงลำพัง เหม่อมองฝูงปลาจิ๋นหลี่ [ปลาคาร์ป] ว่ายวนกอบัวไปมาในสระน้ำ
จู่ ๆ มีสองแขนโอบกอดมาจากด้านหลัง ร่างบางเพียงสะดุ้งเล็กน้อย เพราะกลิ่นหอมจากกายอันคุ้นเคยพาให้จิตใจผ่อนคลายลง โฉมงามเอนตัวซุกซบอกอุ่นหลับตาพริ้ม
“เป็นห่วงแม่ทัพหลี่เจี๋ยของข้าถึงเพียงนี้เชียวรึ”
เสียงทุ้มต่ำเอ่ยถาม ‘แม่ทัพหลี่เจี๋ย’ เป็นนามตำแหน่งแม่ทัพซึ่งไท่จงฮ่องเต้แต่งตั้งให้เซียวชงอวี้
“พี่เลี่ยงจิน ข้าเป็นห่วงเขามาก”
คางของ ‘พี่เลี่ยงจิน’ วางลงบนไหล่บอบบางของเซียวฮองเฮา
‘เลี่ยงจิน ลู่เลี่ยงจิน หรืออีกพระนามของ ไท่จงฮ่องเต้’ ยามเมื่อทั้งสองอยู่ด้วยกันเพียงลำพังจะเรียกชื่อที่คุ้นเคยเหมือนเช่นเรียกในครั้งอดีต
ลู่เลี่ยงจินตอบด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ข้ารู้ แต่เขาเป็นชายชาตินักรบเป็นธรรมดา ที่ต้องยอมเสียสละเลือดเนื้อเพื่อแว่นแคว้น ข้าก็ช่วยส่งบรรดาหมอซึ่งสมัครใจไปเป็นหมอทหารคอยดูแลยามพวกเขาบาดเจ็บกลับมาไงเล่า”
เมื่อสามเดือนก่อนฮ่องเต้ได้มีพระบัญชา ให้ปิดประกาศทั่วเมืองหลวงและเมืองใกล้เคียง เปิดรับหมอทั่วไปที่สมัครใจไปเป็นหมอทหารประจำชายแดนเหนือ
“เฮ้อ! แต่ถึงอย่างไรก็อดเป็นห่วงเขามิได้ ยิ่งช่วงนี้ได้ยินข่าวว่าสู้รบกับพวกโจรร้ายบ่อย ๆ ”
“มีแม่ทัพซูอยู่เจ้ามิต้องเป็นห่วง เขาไม่เป็นอะไรหรอก”
“ใช่สิ! ท่านยังส่งแม่นางไป๋ซิงเยียนไปด้วยนี่” ปลายน้ำเสียงสูงเจือความไม่พอใจ
ลู่เลี่ยงจินเลิกคิ้ว กระแอมไอเบา ๆ แววตามีความรื่นเริงซ่อนอยู่ หัวเราะกลบเกลื่อนก่อนเอ่ย
“เหยาเหยา เจ้าอย่าลืมที่เราตกลงกันไว้”
ครั้งนี้เขาได้รับรายงานจากด่านเหนือว่า มีหมอทหารลากลับบ้านไปจำนวนหนึ่ง ต้องการคนมาทดแทน จึงส่งหมอที่สมัครใจไปช่วยงานถึงชายแดน ทั้งเซียวฮองเฮายังส่งผ้าห่มเครื่องใช้ไม้สอยสมุนไพรยารักษาโรคไปด้วย
ทว่า ในการนี้ยังซ่อนภารกิจส่วนตัวหมายจับคู่ให้เซียวชงอวี้
ถึงทั้งสองจะนั่งบัลลังก์ครองแผ่นดิน แต่ก็มิใช่เชื้อพระวงศ์มาตั้งแต่กำเนิด พวกเขายังทำตัวปกติดังเดิมอำนาจวาสนาบารมีล้นฟ้า ก็มิได้ทำให้ใจคนแปรเปลี่ยน
เหยาเหยา เซียวเหยา หรือเซียวฮองเฮา ขืนตัวออกจากอ้อมกอด หันมาตวัดสายตามองค้อนอย่างทรงเสน่ห์ ฮองเต้ไท่จงถึงกับพระทัยสั่นสะท้าน
นางยังคงงดงามดุจแม่นางน้อยซุกซนในใจเขาคนเดิม ยิ่งมีอายุยิ่งแพรวพราวไปด้วยความเย้ายวน แววตาเป็นประกายดั่งดวงดารา ริมฝีปากอวบอิ่มฉ่ำแดงนั่น ช่างยั่วคนให้ถึงตายได้!
ลู่เลี่ยงจินกลายเป็นคน อับจนไร้สายตามองหญิงใดได้อีก
เสียงเล่าลือโจษจันว่าเขาเกรงกลัวฮองเฮา จึงไม่คิดเติมเต็มวังหลัง
ใช่! เขายอมรับ
ถึงแม้คำกล่าวนั้นจะไม่ถูกต้องไปทั้งหมด ความจริงแล้วเขาให้เกียรตินาง เพราะเป็นคนสำคัญที่สุดในชีวิต หากเห็นน้ำตานางไหลสักหยด เขากลับรู้สึกเจ็บปวดแทน
เหมือนน้ำตาเป็นดั่งใบมีดกรีดแทงหัวใจให้ร้าวราน
“ท่านเสาะหาบุตรสาวของขุนนางช่างประจบพวกนั้น ข้าไม่คิดให้ชงอวี้ออกเรือนเพื่อผลประโยชน์หรอกนะ” เซียวเหยาแสร้งแง่งอน ดวงตาลุกวาว
ลู่เลี่ยงจินจงใจดึงแขนนาง เสียงหวีดร้องดังขึ้น ร่างบางเซถลาล้มลงบนตัก สายตางามรีบมองรอบด้าน ยังดีที่ก่อนเขาจะเดินเข้ามา ได้โบกมือให้เหล่าขันทีนางกำนัลออกห่างจากศาลาหมดแล้ว
“ข้าล้วนตามใจเจ้า เขาเป็นน้องชายเจ้า แต่ก็ควรเปิดโอกาสได้เลือกหญิงสาวที่ดีงามสักคนเหมาะสมกับเขา”
เดิมทีลู่เลี่ยงจินเองก็ไม่อยากยุ่งเรื่องใครจะออกเรือนไปกับใครหรอกนะ ลำพังแค่งานบริหารบ้านเมืองก็ยุ่งมากติดพันรัดตัวแล้ว
แต่เพราะเขาเห็นความกลัดกลุ้มกังวลใจของเซียวเหยา นางกลัวว่าน้องชายจะเป็นอะไรไปในสนามรบ ยังไม่ทันจะมีทายาทสืบสกุล
อีกอย่างอายุของเซียวชงอวี้ก็ถึงวัยเหมาะสม ส่วนตัวเขาเองยังเคยเห็นเซียวชงอวี้มาตั้งแต่เล็ก ๆ ไม่ได้ต่างจากน้องชาย หรือญาติสนิท อีกทั้งตนยังเป็นเขยของเฉิงเหวยกั๋วกงผู้เฒ่า เป็นพี่เขยของเซียวชงอวี้
ดังนั้น เขาย่อมมีสิทธิ์ช่วยดูตัวหรือหาคู่หมายให้น้องชายภรรยา ถ้ามองในฐานะฮ่องเต้นับว่าเป็นเรื่องปกติถ้าขุนนางในราชสำนักยังไม่มีเหย้าไม่มีเรือน ก็สามารถยื่นมือช่วยพระราชทานสมรสให้
ไป๋ซิงเยียน เป็นธิดาของเสนาบดีกรมพิธีการ รูปร่างหน้าตางดงามโดดเด่น อีกทั้งมากความสามารถในศาสตร์ทั้งสี่ ดนตรี อักษร หมากล้อม วาดภาพ ล้วนทำได้ดี และมีชื่อเสียงดีงามไม่มีข่าวเสียหาย
เพราะลู่เลี่ยงจินให้ความสำคัญกับน้องชายภรรยาคนนี้มาก จึงส่งคนไปสืบมาและเหมือนว่าท่าทีของเสนาบดีกรมพิธีการ ก็คล้ายเต็มใจยินยอมที่จะเกี่ยวดองอีกด้วย
เป็นคู่สร้างคู่สมเหมาะสมกันทุกด้าน
ยิ่งคิดหาเหตุผลให้ตนเองมากเท่าไร ยิ่งมั่นใจว่าตนเองคิดถูกต้อง
หญิงงามยกมือดันอกแกร่งไว้ เนื่องจากวงแขนกว้างบีบรัดนางแน่นเหมือนจะหลอมละลายให้ติดกัน เซียวเหยาเบี่ยงหน้าหลบจุมพิตใบหน้าหล่อเหลาที่ยื่นมาแนบประชิด ทำให้หน้าหล่อเหลาฝังอยู่ในซอกคอขาว
“ผู้คนเยอะแยะ ท่านอย่าทำตัวรุ่มร่ามเช่นนี้ได้หรือไม่” ใบหน้างามขึ้นสีแดงระเรื่อ พยายามดิ้นรนออกจากอ้อมกอด
“ลองใครพูดออกไปสิ ข้าจะตัดลิ้นคนผู้นั้น” แววตาผู้ครองแผ่นดินฉายแสงวิบวับ ขณะที่จมูกยังไล่ดอมดมกลิ่นกายจรุงหอมกรุ่น
เซียวเหยาอ่อนระทวยซบหน้ากับไหล่กว้าง นิ้วเรียวงามดั่งลำเทียนลูบไล้หน้าอกเขาอย่างพึงใจ
“พี่เลี่ยงจิน ข้าเข้าใจ ท่านก็ส่งคนของท่าน ส่วนข้าก็ส่งคนของข้าไป ข้าเชื่อสายตาตัวเอง รู้ใจว่าชงอวี้ชอบสตรีแบบไหน ทั้งยังเหมาะสมเข้ากับเขาได้ดี”
มือนุ่มนิ่มช้อนใบหน้าเขาขึ้นมา จ้องมองในแววตาดำเข้มที่เจืออารมณ์ความรู้สึกชวนให้นางหน้าแดง ถึงแม้นพวกเขาจะอายุสามสิบกว่า ๆ แต่ความรักความหลงใหลในกันและกันไม่เคยลดน้อยลง
“แต่เจ้าควรให้เขาได้เลือก เขาเปรียบเหมือนน้องชายข้าคนหนึ่ง” น้ำเสียงทุ้มต่ำแฝงอารมณ์รักใคร่
เซียวเหยาขบคิด ความรักเป็นเรื่องฝืนใจกันมิได้ ทั้งต้องสร้างโอกาสให้พวกคนได้สานสัมพันธ์ แต่นางก็ยังลังเลเพราะฮ่องเต้ส่งสาวงามไปให้ กลัวว่าเซียวชงอวี้จะมีจิตใจตื้นเขินเสียแล้ว
ใบหน้างามฉายแววลำบากใจ นางชมชอบหลิวซีมากจริง ๆ พลางกัดริมฝีปากครุ่นคิดกว่าจะพูดออกมาได้
“ได้ในเมื่อท่านส่งแม่นางมากความสามารถทั้งรูปโฉมงดงามอันดับหนึ่งในลั่วหยางไป ข้าเห็นถึงจิตใจที่ท่านหวังดี จับคู่ยวนยาง
แต่แม่นางที่ข้าเลี้ยงดูฟูมฟักมาก็มีสิทธิ์เหมือนกัน ขึ้นอยู่ว่าพวกเขาจะใจตรงกันหรือไม่ หรืออาจจะเป็นคนอื่นอีกก็เป็นได้"
“เจ้าว่าอย่างไรก็ตามนั้น ข้าไม่อยากเห็นเจ้าคิดเรื่องคนอื่นอีก ใจเจ้าจะได้คิดถึงแต่ข้าเพียงผู้เดียว”
เซียวเหยาแสร้งทำตาโต มือตีแขนเขาเสียงดัง “เพี๊ยะ!”
“ท่านช่าง! ช่างพูดออกมาได้ นั้นชงอวี้นะ” ทอดสายตามองค้อนอย่างอ่อนหวาน ยิ่งทำให้ภายในใจของลู่เลี่ยงจินเกิดอาการคันยุบยิบ ยิ่งกอดกระชับนางแน่น ริมฝีปากหยักยิ้มแนบชิดใบหูพลางกระซิบ
“วันนี้ไม่มีภารกิจอะไรต่ออีกแล้ว เราเข้าตำหนักในกันเถอะ” แววตาเต็มไปด้วยความรักใคร่ลุ่มหลง
เซียวเหยาถึงกับพูดไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก ลู่เลี่ยงจินช่างมีความรักเร่าร้อนเหมือนเช่นยามหนุ่ม ทั้งที่ครองคู่กันมานาน นางควรจะดีใจมากใช่หรือไม่ ความรักที่เขามีให้ล้วนทุ่มเททั้งหมดให้นางเพียงผู้เดียว
เสียงหัวเราะต่อกระซิกคิกคักกันสองคน ยิ่งทำให้บรรยากาศในวังหลวงมีแต่ความอบอุ่นอ่อนหวาน
แต่ทว่า ภายในใจของทั้งสองนั้นรู้ดี จิตใจลู่เลี่ยงจินยังคงมั่นใจว่าจะอย่างไรเสีย เซียวชงอวี้ต้องเลือกสตรีที่เขาหามาให้อย่างแน่นอน เพราะเป็นสตรีต้นแบบซึ่งชายทั่วเมืองหลวงล้วนชื่นชอบ
ส่วนเซียวเหยาเองก็กระหยิ่มยิ้มย่อง เสียงในใจไม่มีทางยอมพ่ายแพ้ต่อสามีตน
หลิวซีไม่ทันรู้ตัวหรอกว่า นางถูกหมายตาจับคู่ให้แล้ว
ความคิดของเซียวเหยาเป็นเช่นนี้ เพราะนางเติบโตในยุทธภพเรื่องชั้นวรรณะสูงต่ำของฐานะไม่เคยใส่ใจ สนใจเพียงว่าขอให้พวกเขารักกันเข้ากันได้ก็พอ