หลิวซีลืมตาขึ้นมา พร้อมความรู้สึกอ่อนเพลีย แสงแดดจ้าจนต้องหรี่ตาลง ยกมือป้องใบหน้า ท้องฟ้าสว่างแล้วและฝนก็หยุดตก ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปกี่ชั่วยาม
นางตื่นเพราะร่างถูกเขย่าจากมือเล็ก ๆ เป็นเด็กชายตัวน้อยใบหน้านองน้ำตา ความเจ็บปวดรวดร้าวเหมือนร่างกายจะถูกแยกส่วนออกจากกัน มาพร้อมกับการตื่น จนคิดอยากจะหลับ ๆ ไปเสียดีกว่า
ความเจ็บปวดผุดขึ้นมาทุกอณูทั่วตัว โดยเฉพาะศีรษะปวดเหมือนจะถูกผ่าออกเป็นเสี่ยง ๆ ราวกับแตงโมผ่าซีก หลุดเสียงครางโอดโอยออกมา
จู่ๆ หัวคิ้วขมวดมุ่น รับรู้ถึงความผิดปกติมีบางอย่างไม่ถูกต้อง นางสัมผัสถึงการโอบกอดอยู่ในอ้อมอกอุ่นร้อน หูได้ยินเสียงเต้นของหัวใจ จมูกยังได้กลิ่นกายของบุรุษผสมกับกลิ่นดินกลิ่นหญ้าเปียกชื้น
ใบหน้าของหลิวซีเปลี่ยนจากซีดขาวเป็นแดงก่ำ ความเขินอายกลบเกลื่อนเป็นนึกโมโหตนเอง
ที่ไม่เอาไหน นอนตายหรือไร! ถึงไม่รู้ตัวสักนิดว่าอยู่ในอ้อมกอดของผู้อื่น!
รีบแกะมือหนาที่รัดตนเองออกเป็นพัลวัน ตะเกียกตะกายกว่าจะหลุดออกมาได้ ขยับมือตบศีรษะสองสามที เพื่อเรียกสติให้กลับคืนมา
ช่วงเวลาไม่กี่วันนี้ สมองนางถูกกระทบกระเทือนบ่อยครั้ง ต้องจัดเทียบยารักษาตัวแล้ว
ความทรงจำผุดขึ้นมาเรื่อย ๆ
เมื่อคืนท่ามกลางสายฝนนางต่อสู้กับบุรุษผู้นี้ ทั้งยังพลัดตกจากหน้าผา เขายังติดตามลงมาคล้ายเงาอาฆาตวิญญาณแค้น
จากนั้นเหมือนว่าพวกนางจะกอดกันตกลงในแม่น้ำ น่าจะถูกน้ำพัดมาจนถึงนี่กระมัง
จำได้ว่าช่วงตกจากหน้าผาดิ่งลงมาด้วยความเร็ว เขาใช้กระบี่กรีดผาหินเป็นทางยาวช่วยชะลอให้ช้าลง เพียงคาดไม่ถึงว่าเบื้องล่างจะเป็นแม่น้ำ
หลิวซีมองสำรวจรอบทิศทาง เบื้องหน้าเป็นแม่น้ำ ด้านหลังเป็นภูเขา
ก้มหน้าดูสภาพตัวเอง ลอบทอดถอนใจ ก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งมองเงาในน้ำ ดวงตาแทบถลนออกนอกเบ้า ด้วยความผวาตกใจ ยกมือทาบอก
ผีสาวอดอาหารตายอดตายอยากที่ไหนกันนี่!
ผมเผ้ายุ่งเหยิง ใบหน้าซีดขาว ดวงตาแดงก่ำ เสื้อผ้าทั้งขาดและสกปรก สภาพเรียกได้ว่ายับเยินดูไม่ได้ อาภรณ์ที่เซียวฮองเฮามอบให้นั้น บัดนี้ จำเค้าความงดงามเดิมไม่ได้อีกแล้ว
หลิวซีทำใจไปด้วย ปลอบเด็กชายตัวน้อยซึ่งอิงซบนางไปด้วย คาดว่าเขาน่าจะเห็น
ภาพผีสาวนอนนิ่ง คงคิดว่านางตายแล้วกระมัง
เมื่อสภาพจิตใจเริ่มกลับมาเป็นปกติ ลงมือจับชีพจร ตรวจดูสภาพทั่วร่างกายของคนตัวเล็ก ดูจากเค้าหน้าตาคล้ายคนต่างเผ่า
น่าจะถูกจับตัวข้ามชายแดนมากระมัง รอฝังเข็มรักษาอาการใบ้ อาจจะสอบถามอะไรได้บ้าง
ไม่รู้จะเข้าใจภาษาจงหยวนหรือไม่ ตอนนางถามว่าเจ็บปวดตรงไหน เห็นเพียงส่ายหน้า คงจะพอเข้าใจอยู่บ้างเล็กน้อย หรืออาศัยการสื่อสารท่าทางขยับมือแล้วคาดเดาความหมาย
มีเพียงบาดแผลภายนอกถลอกเล็กน้อย ใส่ยาทาให้ นอกนั้นไม่มีที่ใดบุบสลายก็วางใจลง
ก้มมองสำรวจตัวเองนอกจากเจ็บปวดทั่วตัว กับบาดแผลถลอกฟกช้ำ แขนเสื้อขาดมีรอยเลือดแห้งกรังติดกับบาดแผล เกิดจากคมกระบี่ฝีมือชายผู้นั้น
นอกจากนั้นไม่มีบาดแผลร้ายแรงถึงขั้นแตกหัก แต่สีหน้ายังดำคล้ำ
นางก้มหน้าพลิกตัวไปมาเหมือนจะนับอะไรสักอย่าง เสียงพึมพำ “หนึ่ง สอง สาม…”
เปิดล่วมยาซึ่งยังเกาะติดอยู่กับตัว หยิบยาใส่แผลพันผ้าให้เรียบร้อย
หลิวซีเหลือบตามองบุรุษที่นอนสลบแน่นิ่ง ผมเผ้ารุงรัง ปิดใบหน้าไปกว่าครึ่ง ได้กลิ่นคาวโลหิตออกมาจากร่าง มีสภาพย่ำแย่ไม่ต่างกัน ไม่รู้ภายในจะบอบช้ำแค่ไหน หรือมีกระดูกหักไปกี่ท่อน
ยื่นนิ้วอังปลายจมูกเขา พบว่ายังมีลมหายใจ ก่อนเก็บมือกลับมา
หญิงสาวหรี่ตาลง ขมวดคิ้วเล็กน้อย ขยับมือลูบคาง คล้ายพิจารณาไตร่ตรองเรื่องสำคัญ
ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยใกล้ชิดบุรุษแนบแน่นเท่าครั้งนี้มาก่อน ยังนอนด้วยกันทั้งคืน อืม ไม่สิ! ยังมีเด็กอีกหนึ่งคน ถึงเหตุการณ์จะไม่เรียกว่าปกติก็ตาม
เช่นนั้นไม่เรียกว่าใกล้ชิดบุรุษ คิดเสียว่ามันเป็นเหตุเลวร้ายสุดวิสัย พลางพยักหน้า หงึก ๆ คล้ายเห็นด้วยกับความคิดตน
อีกอย่างหากไม่นับที่เขาเป็นโจรไล่ล่าพวกนาง ก็นับว่าได้ช่วยชีวิตไว้ หากไม่มีร่างเขารองรับเป็นเสื่อมนุษย์ ร่างกายบอบบางของหญิงสาวคงมีส่วนใดแตกหักกันไปบ้าง ความคิดจิตใจขัดแย้งกันอย่างรุนแรง ลังเลว่าจะช่วยเหลือดีหรือไม่
“จะหาว่าข้าใจร้าย เห็นคนใกล้ตายแล้วไม่ช่วยเหลือคงไม่ได้ เป็นเพราะพวกเจ้าก่อกรรมทำเข็ญมามาก ลักพาคนทั้งฉุดคร่าหญิงสาว ทารุณกรรมเด็กจนเป็นใบ้ บังคับขู่เข็ญให้เป็นพวกมิจฉาชีพ
ยังมีความชั่วร้ายซึ่งข้าไม่รู้อีกตั้งเท่าไร ดีมากแล้วที่ไม่สังหารเจ้า ข้าไม่ใช่คนคิดเล็กคิดน้อย ถือเป็นคนดีมีคุณธรรม มีบุญคุณย่อมทดแทน คราวนี้ปล่อยไปแล้วกัน หากรอดไปได้ถือว่าเมืองผียังไม่รับ!”
ในเวลาไม่กี่อึดใจต่อมา
“เจ้าโจรชั่ว! หากไม่กระโดดตามลงมา ข้าก็มีปัญญาปีนขึ้นไปได้ ไม่ตกลงมาให้เจ็บตัว ทั้งต้องมองหาทางออกอีก” หลิวซีใบหน้าเรียบตึง น้ำเสียงเต็มไปด้วยความโมโห ร้องตวาดต่อว่า จับเสื้อขยับนิ้วชี้ตรงโน้นตรงนี้
“นี่ ๆ ดูสิ! ชุดนี่ข้าใส่ได้แค่ครั้งเดียวเอง ชุดขาดเห็นไหม ๆ ตรงแขนเสื้อซ้ายหนึ่งแห่ง ข้างขวาอีกหนึ่ง ด้านหลังสามแห่ง นี่ชายเสื้ออีกสองแห่ง รู้ไหมราคาเท่าไร ต่อให้มีเงินมีทองก็ซื้อหาไม่ได้ จะให้ข้ากล้ำกลืนความเจ็บปวดลงท้องได้อย่างไรกัน!”
อาภรณ์ตัวนี้เนื้อผ้าได้มาจากของบรรณาการต่างแคว้น ทั้งได้ช่างหลวงออกแบบตัดเย็บ เป็นแบบใหม่ล่าสุดซึ่งบรรดาหญิงสาวในเมืองหลวงต่างใฝ่ฝันอยากได้มาครอง นางเองยังคิดจะพับเก็บไว้ก่อน แต่ไม่ทันเสียแล้ว
มันเจ็บ แปลบ! ยิ่งกว่าแผลกายเสียอีก! ช่างเป็นความรู้สึกเสียดายเกินบรรยาย
นางข่มความหงุดหงิดไม่พอใจไม่ไหว เตะเข้าที่ชายโครงเขาไปสองสามทีด้วยความเดือดดาล ทั้งปลอบใจตัวเองหาข้ออ้างให้ฟังดูดี
โจรชั่วช้าเจ็บตัวก่อนตาย ถือว่าได้แก้แค้นให้แก่ผู้บริสุทธิ์ที่ไม่ได้รับความเป็นธรรม
อารมณ์ดีขึ้นเล็กน้อย ได้ระบายออกมาบ้าง จูงมือเด็กชายคิดจะจากไป
คนตัวเล็กบีบมือนาง ฉุดรั้งให้เดินกลับมายังบุรุษผู้นั้น หญิงสาวมองอย่างไม่เข้าใจ
“ทำไม? เจ้าจะให้ข้าสังหารเขาหรือ” หลิวซีพูดด้วยน้ำเสียงเหี้ยมเกรียม ยกนิ้วโป้งขวางทำท่าปาดคอ
เด็กชายเบิกตาโต ส่ายศีรษะระรัว รีบโบกมือห้ามไปมา
“อ๋อ! ทำไมหรือ เจ้ารู้จักเขา หรือว่าเพราะเขาดีกับเจ้ามากตอนอยู่ในค่ายโจรรึ”
หลิวซียังคงตั้งคำถามต่อไป เด็กชายยังคงส่ายหน้า ทั้งดึงนางมาจนหยุดอยู่ข้างกายบุรุษผู้นั้น
หญิงสาวครุ่นคิดเล็กน้อย นั่งลงเริ่มลงมือค้นทั่วร่างของเขา เผยรอยยิ้มกว้าง
“ข้ารู้แล้ว เจ้าจะให้ข้าเอาเงินทองของมีค่าจากตัวเขา ถึงจะไม่ใช่วิสัยของคนดี แต่คนหยาบช้าเลวทรามเยี่ยงนี้ ต้องปล้นคืน ของพวกนี้ข้าจะให้เจ้าทั้งหมดถือว่าเป็นค่าแรงที่ถูกกดขี่มานาน”
เด็กชายตัวเล็กย่อตัวนั่ง มือเกาศีรษะ คล้ายไม่เข้าใจ หลิวซีตีความเข้าข้างตัวเองไปว่า เด็กชายตัวน้อยคงไม่เข้าใจภาษา
ด้วยความเป็นหมอในสายเลือด ถึงจะบอกว่าค้นตัว แต่ทำไปทำมากลายเป็นตรวจบาดแผลทั่วร่างกาย
หลิวซีถอดเสื้อเขาออก เห็นแผงอกแข็งแรง หน้าท้องเต็มไปด้วยมัดกล้ามแน่นเป็นลอน มีร่องรอยแผลเป็นทั่วตัว เมื่อพลิกด้านหลังปรากฏรอยบาดแผลยาว น่าจะเกิดจากของแหลมทิ่มแทง คาดว่าน่าจะถูกแง่หินคมกรีดตอนตกลงมา
บาดแผลน่ากลัวมากยังมีเลือดไหลซึม นับว่าดวงแข็งที่ไม่ลึกจนถึงกระดูก นางได้กลิ่นคาวเลือดตั้งแต่แรกแล้ว แต่ไม่คิดสนใจ
เด็กชายหน้าถอดสี หลิวซีจับใบหน้าเล็กหันไปอีกทาง ทั้งสั่งว่าห้ามดู
เมื่อพลิกสำรวจจนทั่วทั้งตัว ลูบคลำทุกส่วนเบื้องต้นไม่มีแตกหัก นับว่าเป็นคนกระดูกแข็งและวรยุทธ์แข็งแกร่ง
มีเพียงบาดแผลใหญ่ข้างหลังต้องรีบรักษา
หลิวซีถอนหายใจเฮือก รู้สึกหนักใจ เมื่อค้นพบสิ่งของที่เขาพกติดตัวมา นำมากองรวมกันไว้ สิ่งที่สะดุดตามากที่สุดย่อมเป็น
ตราแม่ทัพออกคำสั่งทางทหาร พลิกอีกด้านมีอักษรเซียว
ตอนนางเห็นครั้งแรก ร่างกายแข็งทื่อ ลอบจุดเทียนไว้อาลัยให้กับตัวเอง แทบจะได้ยินเสียงกรีดร้องอย่างสิ้นหวัง
ชีวิตน้อย ๆ ต้องดับสูญแน่คราวนี้!
นึกย้อนถึงช่วงประกายฟ้าแลบ เห็นดวงตาเรียวคู่นั้น ดูเฉลียวฉลาดมากไหวพริบ อีกทั้งใบหน้าช่างละม้ายคล้ายคลึงประมาณเจ็ดแปดส่วน ของคนที่นางคุ้นเคยดียิ่ง คราวแรกยังคิดว่าตนตาฝาดไป
หลิวซียื่นมือสั่นระริก รู้สึกถึงร่างกายเย็นเฉียบตั้งแต่หัวจรดเท้า ใจคอไม่สู้ดี ขยับมือปัดผมที่ปกใบหน้าเขาออก และเช็ดฝุ่นดินตรงแก้ม
ปรากฏใบหน้าหล่อเหลา ถึงแม้จะซีดขาวไปบ้างเพราะเสียเลือด หญิงสาวรีบหดมือกลับทันควัน หัวใจแทบจะหยุดเต้น
นางตกใจมาก ทั้งที่ทำใจไว้แล้วว่า ต้องใช่แน่! ต่อให้ตีให้ตายก็ไม่มีทางคิดไปได้เลยว่า ฉากพบกันครั้งแรกระหว่างนางกับเขาจะย่ำแย่ถึงเพียงนี้
ดวงหน้าที่ละม้ายกันมาก นางไม่มีวันหลงลืมไปได้ คล้ายคลึงกับเซียวฮองเฮาชัด ๆ
เป็นสตรีงดงาม เป็นบุรุษหล่อเหลา สมกับเป็นพี่น้องคลานตามกันมา
เหงื่อเย็นผุดเต็มแผ่นหลังและทั่วใบหน้า หากเซียวชงอวี้น้องชายคนเดียวของเซียวฮองเฮาต้องตายไป เพราะนางเป็นต้นเหตุ หญิงสาวไม่อยากคิดต่ออีกเลย คาดว่าเงาหัวของตัวเองคงไม่มี
เวรกรรมชักพา ร้อยพันคาดคิด ก็คาดไม่ถึงว่าจะมาเจอตอเช่นนี้ เสียงร่ำไห้ฮือ ๆ น้ำตาตกใน นางต้องเร่งมือรักษาแล้ว
ขยับมือคลี่กางม้วนผ้า เข็มหลายเล่มเรียงเสียบไว้อย่างเรียบร้อย แววตามีความมุ่งมั่น ตอนนี้นางต้องห้ามเลือดก่อน แผลด้านหลังยังมีโลหิตซึมเล็กน้อย คาดเดาระยะเวลาที่สลบน่าจะประมาณสองถึงสามชั่วยาม
หญิงสาวฝังเข็มห้ามเลือดตรงแผ่นหลัง โรยยาใส่แผลพร้อมพันผ้าอย่างดี ปากพึมพำภาวนา
“สาธุ! คนดีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ย่อมคุ้มครอง ตกมาสูงขนาดนี้ ดีนะบาดแผลใหญ่มีทีเดียว นอกนั้นไม่มีส่วนใดแตกหัก พระโพธิสัตว์คุ้มครองโดยแท้ หากกลับเมืองหลวงครั้งหน้าจะต้องทำบุญขนานใหญ่แล้ว เงาหัวเกือบไม่มีแล้วสิ”
หลิวซีคล้ายจะลืมเลือนก่อนหน้า เพิ่งจะพูดว่าเขาอย่างเลวร้าย ทั้งเตะไปอีกสามที เปลี่ยนสีหน้าเร็วมากเอ่ยชมเขาเป็นคนดีไปเสียแล้ว
หลังจากทำแผลห้ามเลือดให้เซียวชงอวี้เสร็จ พลางจับไหล่เด็กชาย บอกกล่าว
“เดี๋ยวข้าจะออกไปสำรวจแถวนี้ว่ามีบ้านคน หรือที่พักพออาศัยได้ชั่วคราวก่อนหรือไม่ ไม่ต้องเป็นกังวล คาดว่าตอนนี้น่าจะมีคนออกตามหาพวกเราแล้ว” พูดจบพลางลูบศีรษะเล็ก ก่อนจากไป
หลิวซีลัดเลาะเส้นทางระหว่างแม่น้ำกับภูเขา มองหารอบทิศจนพบถ้ำหนึ่งไม่ไกลมาก รีบย้อนกลับมา แต่ก่อนจะไปยังถ้ำ ต้องหาของกินเตรียมไปด้วย
หญิงสาวม้วนแขนเสื้อ รวบชายกระโปรงมาเหน็บไว้ข้างเอว มือถือไม้ปลายแหลม ก่อนหน้านางได้แบกร่างเซียวชงอวี้ทิ้งไว้ใต้ร่มเงาไม้
แล้วเปลือยเท้าเปล่าลงลำธาร หวังจะจับปลามาทำอาหาร
เด็กชายเห็นนางลงน้ำก็ติดตามลงมาบ้าง น้ำในลำธารริมฝั่งจะตื้นเขินกว่ากลางน้ำที่ลึกเชี่ยว หญิงสาวบอกให้คนตัวเล็กเล่นอยู่แถวนั้นก็พอ
นางก้ม ๆ เงย ๆ เดินไปทั่วริมน้ำ แค่ไม่นานจับปลามาได้ถึงสี่ห้าตัว เงยหน้ามองหาคนตัวเล็ก ไม่รู้มาจับปลาหรือเล่นน้ำกันแน่ มีแต่เสียงหัวเราะคิกคัก วิ่งไล่จับปลาในน้ำจนสาดกระเซ็นไปทั่วบริเวณ มิหนำซ้ำร่างกายยังเปียกปอนไปหมด
หลิวซีได้แต่ส่ายหน้ายิ้ม ๆ เด็กชายย่อมชอบเล่นสนุกเป็นธรรมดา แต่ตัวเปียกทั้งคืนทั้งวัน เดี๋ยวจะเจ็บป่วยเอาได้ เดินเข้าไปใกล้คว้าตัวขึ้นจากน้ำทันที คนตัวเล็กดิ้นไปดิ้นมา ส่งเสียง “ฮือฮือ!” คล้ายอยากจะขอเล่นต่อ
“ไม่ได้เดี๋ยวจะไม่สบาย กลับก่อนไม่หิวหรือไร”
พอได้ยินนางพูดถึงความหิวขึ้นมา เหมือนท้องไส้จะปั่นป่วน ท้องคนตัวเล็กส่งเสียงโครกคราก! ทันที
สีหน้าเด็กน้อยแดงก่ำ ก้มหน้าพยายามเอามือเล็ก ๆ ปิดท้องให้วุ่นวายอย่างเขินอาย หลิวซีหัวเราะลั่นมองท่าทางน่าเอ็นดูไร้เดียงสา
หลิวซีแบกร่างเซียวชงอวี้ไว้บนหลัง เดินทุลักทุเลอย่างยากลำบากกว่าจะมาถึงปากถ้ำ มองดูดวงตะวันน่าจะต้นยามเว่ย [13.00 - 14.59 น.]
นางรวบรวมกิ่งไม้ก่อกองไฟ เพิ่มความอบอุ่นแสงสว่างขึ้นมาภายในถ้ำ หันหน้าไปคุยกับเด็กชาย พร้อมทั้งชี้ไปที่กิ่งไม้ยาวด้านข้าง
“เจ้าถอดเสื้อผ้าเอาไปพิงไฟให้แห้ง หากปล่อยร่างกายให้เปียกชื้นเดี๋ยวจะไม่สบายเอาได้”
หลังจากนั้นก็วุ่นวายกับการย่างปลา เสียบไม้ปักดินรอบกองไฟ โรยเกลือใส่บนตัวปลาเล็กน้อย
หลิวซีภูมิใจกับล่วมยานี่มาก ภายในแบ่งช่องเก็บของหลายช่อง สั่งทำมาเป็นพิเศษโดยเฉพาะ
ช่องแรกใส่เครื่องมือหมอ ขวดยาชนิดต่าง ๆ อีกช่องใส่ของใช้จำเป็น เครื่องปรุงอาหารเฉพาะที่สำคัญ เช่น ขวดเกลือ ขวดน้ำตาล กลักไฟ และมีกาน้ำใบเล็ก ไว้ต้มน้ำเมื่ออยู่นอกสถานที่
ของพวกนี้นางล้วนเคยใช้มาแล้วทั้งหมด ในอดีตยามออกไปข้างนอก เจอผู้ป่วยโดยบังเอิญหยิบออกมาใช้ได้ทันท่วงที
ขยับมือดึงจุกขวดยาออก เทผงสมุนไพรใส่ในกาน้ำ จึงนำไปตั้งไฟ เมื่อร้อนแล้ว ตั้งทิ้งไว้ให้อุ่นพอดี
พยุงร่างเซียวชงอวี้ที่ยังไม่ได้สติ บีบคางให้อ้าปาก กรอกยาสีน้ำตาลข้นใส่ปาก เป็นยาขับพิษที่เกิดจากบาดแผล
แล้วจับคางเซียวชงอวี้พลิกดูใบหน้าไปมา ยังมีรอยเขียวช้ำหลายแห่ง เกิดจากการถูกของแข็งกระทบ หญิงสาวรู้สึกผิดเต็มหัวใจ ยามนั้นไม่คิดยั้งเท้าตัวเองจริง ๆ ดูสิ ใบหน้าหล่อเหลาของเขาต้องมาแปดเปื้อนเพราะนาง
ด้วยความรู้สึกผิด เปิดขวดกระเบื้องเคลือบบรรจุขี้ผึ้งยา นางทำมาเป็นพิเศษลดริ้วรอยบวมช้ำ รอยแผลเป็น ทั้งทำให้ผิวพรรณชุ่มชื้นนุ่มนวล สรรพคุณมีมากกว่าร้อยแปดอย่าง
ควักขี้ผึ้งเต็มนิ้ว บรรจงป้ายทาลงบนใบหน้าเซียวชงอวี้ด้วยความทะนุถนอม พูดเสียงเบาเหมือนกระซิบ
“ข้าขออภัยจริง ๆ ได้ไม่ตั้งใจ ไม่รู้ว่าเป็นท่าน ดูสิ! ใบหน้าท่านยังหล่อเหลาดุจหยกเนื้อดีเหมือนเดิม ไม่มีส่วนใดบุบสลายแม้แต่ปลายเล็บ ขี้ผึ้งข้าทำมาเป็นอย่างดี ทั้งช่วยป้องกันแสงแดดสาเหตุสำคัญทำให้ผิวหมองคล้ำ หน้าท่านจะขาวกระจ่างใส เป็นแม่ทัพหนุ่มที่งดงาม…”
เมื่อคิดได้ว่าไม่ถูกต้อง รีบเปลี่ยนคำพูด “หล่อเหลามากที่สุดในปฐพี เชื่อข้า เดินไปทิศใด ความขาวสว่างกระจ่างใสจะโดดเด่นพุ่งกระแทกใส่ตาทุกคนรับรอง บรรดาสตรีสาวแก่แม่หม้าย สาวแรกรุ่น กระทั่งรุ่นแย้มฝาโลง ไม่มีใครไม่ชอบท่าน”
หลิวซีคิดว่าเขาน่าจะพอใจมาก ยังค้นหายาชั้นดี ทาแผลเล็กแผลใหญ่ แผลเก่าแผลใหม่ให้เขา เรียกได้ว่าทาทั่วตัว ทำอย่างพิถีพิถันด้วยความใส่ใจ ทั้งนางยังคิดว่าความตั้งใจยังมีมากกว่า เวลาทำข้อสอบของอาจารย์เสียอีก
“ชายโครงท่านไม่มีส่วนใดแตกหัก กระดูกไม่หายไปสักซี่ ถึงเนื้อจะช้ำไปบ้างแต่เล็กน้อยมาก" เหมือนจะมองข้ามรอยฟกช้ำวงใหญ่ "เอาละใส่ยาเรียบร้อยแล้วไม่นานก็หายดี ข้าใจดีจะแถมยาลดรอยแผลเป็นให้อีกด้วย”
ให้รู้สึกพอใจในผลงานของตน คิดว่าเขาเป็นผู้ใหญ่น่าจะใจกว้างกับเรื่องเล็กน้อย
จากนั้นตั้งน้ำต้มยาอีกรอบ แก้พิษลมเย็น เกิดจากตากฝนทั้งคืน และวันนี้ยังลงน้ำอีก
ในขณะที่นั่งเหม่อลอย มองกาน้ำต้มยาบนกองไฟ
หญิงสาวครุ่นคิดกังวลถึงเรื่องเมื่อเช้า ยามจับชีพจรให้เซียวชงอวี้เป็นครั้งแรก ก็สัมผัสถึงพิษที่ถูกสะสมอยู่ในร่างกาย คล้ายว่าเขาเคยถูกพิษมาก่อน ทั้งพิษนั้นร้ายแรงมาก และยังถอนรากเหง้าแห่งพิษไม่หมดสิ้น
คาดว่าเมื่อคืนตอนตกลงแม่น้ำ อาการพิษเขาน่าจะกำเริบอย่างรุนแรง ทำให้คนร่างกายแข็งแรงถึงขั้นหมดสติไป
ตามตำรารวมพิษร้ายลึกลับของอาจารย์ พิษชนิดนี้น่าจะมาจากแดนซีอวี้ ส่วนผสมตัวยาพิษลึกลับซับซ้อนนัก มีแต่บุปผาหิมะที่จะรักษาอาการพิษนี้ได้
ได้ยินว่า ‘บุปผาหิมะ’ หายากยิ่ง จะออกดอกบนยอดเขาสูง เป็นภูเขาซึ่งมีหิมะปกคลุมตลอดทั้งปี
.............................