คืนแห่งพระจันทร์เสี้ยวแขวนลอยเด่นบนท้องนภา ท้องฟ้าสีน้ำหมึกคลี่ปกคลุมทั่วแผ่นฟ้า ปรากฏม่านหมอกสีขาวพาดผ่านเป็นทางยาว มาพร้อมกับเหล่าดวงดาวทอแสงระยิบระยับ
อากาศยามราตรีเย็นสบายสดชื่น หลิวซีก้าวเดินตามระเบียงเลี้ยวออกมาทางสวนด้านหลังเรือน รอบข้างมีเพียงเงามืดครึ้มของเหล่าต้นไม้พุ่มไม้ โอนเอนไหวตามแรงลม
หลังจากเดินทางมาถึงจุดพักม้า เด็กน้อยมาฮันอ่อนเพลียจากการเดินทางจึงผล็อยหลับไปก่อน ด้วยความสงสารหญิงสาวไม่คิดปลุก
หาผ้ามาชุบน้ำเช็ดเนื้อตัวให้จะได้นอนหลับสบายขึ้น เด็กชายจึงไม่ได้ลงมาร่วมกินอาหารค่ำ แต่นางสั่งคนงานให้ส่งโจ๊กขึ้นมาบนห้องพักในภายหลัง
รอจนเด็กชายตื่นขึ้นมาด้วยความหิว โจ๊กอุ่นพอดี มาฮันกินจนหมดชาม สีหน้าแววตาดูแจ่มใสขึ้น จับชีพจรคนตัวเล็กเต้นเป็นปกติ จึงตัดสินใจฝังเข็มรักษาอาการใบ้เบื้องต้นให้ก่อน แล้วให้นอนหลับพักผ่อนอีกครั้ง
หลิวซีรู้สึกอ่อนเพลียอยากจะนอนเหมือนกัน แต่พอทิ้งตัวเอนหลังกลับนอนไม่หลับกระสับกระส่ายพลิกไปมา เป็นเวลาชั่วครู่
ตัดสินใจไม่นอนต่อ มองดูเด็กชายนอนหลับสนิทมีเสียงกรนแผ่วเบา จึงลงจากเตียงพร้อมเหน็บชายผ้าห่มให้ ดึงม่านมุ้งลงให้เรียบร้อย
เพียงคิดว่าลองมาสูดอากาศบริสุทธิ์ กลับไปอาจจะนอนหลับได้เท่านั้นเอง
เมื่อเดินตามแสงสว่างจากดวงโคมแขวนตามชายคา มาสุดปลายระเบียง หญิงสาวพลันชะงัก เห็นเงาร่างยืนโดดเดี่ยวลำพัง ครั้นเพ่งมองให้แน่ชัดในลานสวนเบื้องหน้ากลับเป็น เซียวชงอวี้
นึกถึงบาดแผลเขาเมื่อช่วงเย็นตอนใส่ยาเปลี่ยนผ้าพันแผลให้ ไม่มีปริแตกออกมาอีก อาการบวมลดลง เขาน่าจะดีขึ้นแล้ว
หลิวซีเอียงศีรษะมองอย่างครุ่นคิด หรือยังเจ็บแผลอยู่ ทำให้นอนไม่หลับถึงมายืนชมจันทร์คนเดียว
ขณะมองเหม่อชั่วครู่ สายลมเย็นพัดกระทบร่างจนรู้สึกหนาวสั่น นึกได้ว่าตนลืมหยิบเสื้อคลุมลงมา ไม่คิดว่าอากาศยามดึกค่อนข้างหนาวเย็น ในเมื่อมีคนมาแย่งสถานที่ไปก่อนแล้ว จึงไม่อยากเข้าไปรบกวนความเป็นส่วนตัว
กลับไปพยายามข่มตานอนดีกว่า หันหลังก้าวเดินอย่างแผ่วเบา
“ใครน่ะ?”
เสียงบุรุษถามขึ้นจากข้างหลัง แววตาหลิวซีสั่นไหว ทอดถอนใจ ก่อนเดินกลับมายืนเคียงข้างเขา
“ข้าเอง ท่านนอนไม่หลับเหมือนกันหรือ”
นางคิดคำถามอะไรไม่ออก จึงพูดตามสถานการณ์ของเวลาในยามนี้
“คืนนี้ พระจันทร์สวยดี ข้าเลยออกมาชม”
ดวงตาเขาจ้องมองพระจันทร์รูปเคี่ยว ลอยเด่นบนท้องนภา รายล้อมด้วยหมู่ดาวสุกสกาว
หลิวซีอยากจะแย้งในใจ ดวงจันทร์เสี้ยวนิดเดียวสวยตรงไหนกัน ถ้าเต็มดวงยังว่าไปอย่าง กวาดตามองท้องฟ้าสีนิล มองกลุ่มดวงดารา
“ข้าว่าดวงดาวสวยกว่า ท่านไม่เห็นทางช้างเผือกนั้นรึ ดูสิ! สวยมาก”
นางแหงนหน้า ชี้นิ้วชวนดูคล้ายสายหมอกขาวขมุกขมัวพาดผ่านเป็นทางยาว
เซียวชงอวี้หลุบตามองคนเขียงข้างที่สูงเพียงหน้าอกเขา ดวงตาสุกสกาวคล้ายมีดวงดาวซุกซ่อนอยู่ ดูสดใสเปล่งประกาย ไม่แพ้ดาราบนฟ้า ก่อนจะเก็บสายตาคืนมา
“นอกเมืองจินหลิ่งเป็นเขตทุ่งหญ้า ปลูกพืชผลไม่ขึ้น ทำได้เพียงเลี้ยงสัตว์ ล่าสัตว์ แต่ยามค่ำคืนกลับเหมือนดินแดนแห่งใหม่ บนท้องฟ้ากลับเต็มไปด้วยท้องทะเลของเหล่าดารา มองดูได้รอบทิศทาง กว้างไกลสุดขอบสายตาตัดแบ่งท้องฟ้ากับพื้นดิน”
หลิวซีต้องหันกลับไปมองหน้าเขาอีกครั้ง ว่าใช่คนเดียวกับตอนกลางวันหรือไม่ ที่ชอบทำหน้าเหมือนน้ำแข็งค้างเติ่งบนภูเขาหิมะไม่มีวันละลาย
“ท่านคงรู้จักดวงดาวบนฟากฟ้าทั้งหมดแล้วกระมัง” นางเย้าเขาเล่น อย่างอารมณ์ดี
เห็นสีหน้าชายหนุ่มดูดีกว่ายามกลางวัน ถึงไม่มีรอยยิ้ม แต่ก็ดีกว่าทำหน้าน้ำแข็ง คาดว่าเขาคงมีเรื่องกลุ้มใจเหมือนกัน
“เจ้าเห็นกลุ่มดาวเป่ยโต่วซิง [กลุ่มดาวหมีใหญ่] ไหม”
หลิวซีพยายามมองหา “ไหนเล่า”
เซียวชงอวี้ยกแขนชี้นิ้วไปยังกลุ่มดวงดาวระยิบระยับบนฟากฟ้า
“อ๋อ! ใช่แล้ว นั่นตรงนั้น เห็นแล้ว ๆ ”
นางเอียงศีรษะมองตามทิศทางที่เข้าชี้ให้ดู ร้องบอกด้วยความดีใจ
“นั่นกลุ่มดาวหมาวซิ่วซิงถวน [กลุ่มดาวลูกไก่] เห็นไหม” แม่ทัพหนุ่มเปลี่ยนมาชี้ให้นางดู กลุ่มดาวกระจุกราวหกเจ็ดดวงบนท้องฟ้า
“ไหน ๆ ข้ายังไม่เห็นเลย”
หลิวซีขยับเข้าไปใกล้ พยายามมองหาตำแหน่งของดวงดาวที่เขาบอก
“นั้นไงเล่า”
นางพยายามมองจ้องตามมือเซียวชงอวี้ แต่ยังคงมองไม่เห็น จนร่างทั้งสองขยับเข้าใกล้ชิดกันอย่างไม่รู้ตัว
“เจ้าเห็นหรือยัง?”
“ตรงไหน…”
เซียวชงอวี้ถามขึ้น ก่อนก้มลงมองหลิวซี ในเวลาเดียวกันหญิงสาวก็พยายามมองหาเหมือนกัน เงยหน้าขึ้นไป ทั้งสองสบตากันพอดี
ต่างคล้ายเห็นเงาในดวงตาของกันและกัน
เงียบ
“ข้าว่าช่างมันเถอะ ไม่เห็นไม่เป็นไร” หลิวซีก้มหน้าลง ขยับออกห่างจากตัวเขา
“ไม่เป็นไรเมื่อไปถึงค่าย ตอนกลางคืนมีให้ชมดู ดวงดาวก็ยังอยู่ที่เดิม”
ชายหนุ่มสะบัดแขนเสื้อเล็กน้อย ก่อนจะไขว้แขนไว้ข้างหลังกำแบสองสามครั้ง เหมือนทำใจก่อนเอ่ย
“ตอนกลางวันข้าพูดไม่ค่อยดี…เจ้าอย่าคิดมาก”
หลิวซีรีบเงยหน้าขึ้นมองอย่างไม่เชื่อหู เหมือนเขาจะรู้สึกผิด
ย้อนนึกถึงใบหน้านางซีดขาวลง เพราะคำพูดไม่ได้ตั้งใจของเขา โทษตนเองที่ไม่รู้จักคุมควบอารมณ์ ทั้งใจคอคับแคบไม่เป็นผู้ใหญ่พอ
เรื่องความขัดแย้งระหว่างเขากับพี่สาวไม่ควรจะมาลงที่ใคร เมื่อดูพฤติกรรมของหลิวซีก็ยังไม่มีวี่แวว เป็นไปตามข่าวที่ได้รับมา
ฮองเฮาจะส่งหญิงงามมาให้เขา
แต่ดูแล้วเหมือนจะส่งเด็กสาวมามากกว่า จะเป็นหญิงงามได้อย่างไรกัน ทั้งนิสัยใจคอซึ่งมองอย่างไร ก็ยังไม่เห็นมีท่าทียั่วยวน
เซียวชงอวี้ถอนหายใจ ไม่พูดต่อเปลี่ยนเป็นถามเรื่องอื่น
“ที่ลั่วหยางเป็นอย่างไรบ้าง”
หลิวซีตกตะลึง ยามกลางวันดูหงุดหงิดฉุนเฉียว ไม่อยากให้พูดถึง พลางขมวดคิ้วเล็กน้อย คิดได้แล้วหรือ
“ฮองเฮาทรงพระเกษมสำราญดี มีพระพลานามัยแข็งแรง” นางคลี่ยิ้มน้อย ๆ เหมือนนึกเรื่องอะไรได้
เซียวชงอวี้ไม่ตอบเพียงยืนนิ่ง ลมเย็นยามราตรีทำให้ใจคนสงบลงและผ่อนคลาย สายตามองเพียงเหล่าจันทราดาราแจ่มจรัสบนนภา ในแววตาเขากลับหม่นขรึม ไม่รู้ว่าภายในใจคิดอะไรอยู่ สัมผัสถึงความโดดเดี่ยว
ความเงียบงันทำให้หลิวซีรู้สึกอึดอัดใจเล็กน้อย แต่ไม่ได้หวั่นเกรงบุรุษร่างสูงซึ่งอยู่ข้างกาย
“ท่านไม่คิดกลับไปลั่วหยางสักครั้งหรือ”
ครู่หนึ่งเขาจึงตอบด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย
“หากยังไม่ยุติศึกกับทูเจวี้ยได้อย่างแท้จริง ข้าไม่อาจวางใจไปไหนได้”
“..ในเมื่อท่านยึดมั่นกับอุดมการณ์อันยิ่งใหญ่ แต่แล้วเมื่อไร ถึงจะเรียกว่าจบศึกได้อย่างแท้จริง ไม่ใช่ตอนนี้ระหว่างเรากับทูเจวี้ยไม่ได้ทำศึกสงครามกันอีกแล้วไม่ใช่หรือ
ฝ่ายนั้นขอเจรจาสงบศึกเอง เว้นแต่มีการศึกปะทุขึ้นใหม่ แล้วจะเป็นฝ่ายไหนเริ่มก่อนเล่า หากว่า ไม่มี หรือมี การสงครามย่อมยืดเยื้อสิบปีก็ยังไม่จบ ท่านก็ไม่ได้กลับเลยสิ”
นัยน์ตาคมกริบจริงจัง หันกลับมาจ้องมองนาง น้ำเสียงเข้มขึ้น
“ข้าให้คำมั่นว่าการศึกจะยุติโดยเร็ว ไม่ทำให้ราษฎรต้องเดือดร้อนกับภัยสงครามอีกต่อไป ข้าจะนำความผาสุกอย่างแท้จริงมาสู่ชายแดนเหนืออย่างแน่นอน
ไม่ให้ชาวบ้านอยู่อย่างหวาดผวา ว่าวันนี้ หรือพรุ่งนี้ จะมีพวกเผ่านอกรีตยกทัพเข้ามา ทำให้ผู้คนบาดเจ็บล้มตาย พลัดพรากจากถิ่นที่อยู่ ไม่ยอมให้พวกเขาต้องเผชิญความทุกข์ยากอีก อย่างน้อยในชั่วอายุไขที่ข้ามีลมหายใจ จะไม่ให้ใครมารุกราน”
น้ำเสียงทุ้มต่ำจริงจัง คำมั่นสัญญาภายใต้แสงจันทร์ กลับเหมือนมีพลังแรงกล้าบางอย่างพุ่งปะทะชนเข้ากับใจนางอย่างจัง จนหัวใจเต้นสั่นไหวอย่างรุนแรง
“แต่ว่า…”
นางยอมรับว่าหวาดหวั่น มีความลังเลไม่มั่นใจ พวกทูเจวี้ยเก่งการต่อสู้รบพุ่งบนหลังม้า แล้วถ้าหากเป็นไปไม่ได้เล่า
“ไม่มีแต่ว่า หากคิดจะทำต้องทำอย่างเดียว หากใจเราถอยแล้วคนข้างหลังจะไปพึ่งใคร ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นหมอพบเจอคนเจ็บป่วยคนตายมามาก เจ้าเคยเห็นความท้อแท้สิ้นหวังในแววตาคนนับร้อยนับพันหรือไม่
ภายในใจเต็มไปด้วยความเจ็บปวดอย่างไม่ยินยอม กลับต้องมาแพ้เพราะความอ่อนแอ ไม่มีแรงกำลังต้านทาน แต่ไม่ใช่สำหรับข้า ข้าพอมีแรงพอมีกำลัง ข้ายืนอยู่ในจุดที่สามารถจะช่วยพวกเขาได้”
มองเข้าไปในแววตาลุ่มลึกดั่งห้วงมหาสมุทรที่มองไม่เห็นจุดสิ้นสุด รับรู้ถึงพลังความแข็งแกร่ง ความกล้าหาญ มั่นคง เด็ดเดี่ยว น้อยนักที่ใครจะพึงมีพลังใจรุนแรงถึงเพียงนี้
ใบหน้าหล่อเหลาปานหยกสลัก ภายใต้แสงจันทร์แสงดารา เหมือนถูกมนตร์สะกดนิ่ง ลืมเลือนวันเวลา อาจเพราะรัตติกาลนี้เงียบสงัดเกินไป เสียงของเขาคล้ายดังก้องเข้าไปในจิตใจนางเป็นพิเศษ
บรรยากาศแปลกประหลาดไปโดยสิ้นเชิง
หลิวซีรีบก้มหน้าลง รู้สึกว่าแก้มตนร้อนผ่าว ภายในใจเหมือนได้รับพลังงานความอบอุ่นมั่นคงเข้ามาเติมเต็ม คาดว่าเพราะแรงปณิธานอันเข้มแข็งของเขา ส่งผลกระทบต่อจิตใจนางเป็นแน่
“อีกไม่นานจะมีการปะทะกันกับกลุ่มโจรอีกรอบ”
จู่ ๆ เขากล่าวขึ้นมา ตัดภาพบรรยากาศตรงหน้าลง หลิวซีสังหรณ์ใจแปลก ๆ
“ข้าตัดสินใจใหม่แล้ว ให้เจ้ารอขบวนของทางราชสำนักอยู่ที่นี่ ไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์คาดไม่ถึงขึ้นอีก เหมือนคราวก่อน”
‘เหตุการณ์คาดไม่ถึง’ ย่อมหมายถึงเรื่องที่นางถูกลักพาตัว ใบหน้าหลิวซีแดงเข้มกว่าเดิม ก่อนหน้านี้คือความเขินอาย แต่ครั้งนี้คือความอับอาย บุรุษตรงหน้าผู้นี้ยังคงคิดว่านางเป็นตัวถ่วงอยู่ดี
“ข้าไม่กลัว” หลิวซีกัดฟันตอบ
“ทุกอย่างไม่ได้ขึ้นอยู่ที่เจ้า ทุกอย่างขึ้นอยู่ที่ความเหมาะสม ทั้งอยู่ในความรับผิดชอบและการตัดสินใจของข้า ต้องคำนึงถึงความปลอดภัยไว้ก่อน ข้ายังคงยืนยันว่าสตรีบอบบางไม่เหมาะสมกับชายแดน เดิมทีข้าคิดไว้ว่า เมื่อพวกเจ้ามาส่งพวกหมอและสัมภาระที่ค่ายทหารเสร็จแล้ว
เหล่าบรรดาสตรีทั้งหลายที่ติดตามมาพร้อมกับขบวน ให้เดินทางกลับลั่วหยางเสียเลย ข้าจะเขียนหนังสือชี้แจงทูลฮ่องเต้เอง”
เขากล่าวด้วยเหตุและผล แสดงถึงอำนาจไม่ให้ขัดขืน ต่อความคิดที่ตัดสินใจแล้ว
ชายแดนหน้าด่าน ไม่ใช่สถานที่ให้สตรีมาวิ่งเล่น ถึงแม้นางจะมีความสามารถ ความแข็งแกร่งทางร่างกายย่อมน้อยกว่าบุรุษ อีกทั้งเขายังสัมผัสถึงความยุ่งยากที่จะตามมาอีกด้วย
“ข้าไม่ยินยอม”
หลิวซีเน้นเสียงทุกคำ น้ำเสียงเจืออารมณ์ รับรู้เข้าใจในตำแหน่งฐานะเขาดี มีอำนาจควบคุมดูแลพวกนาง
และมีอำนาจตัดสินใจได้ในทุกเรื่อง ในขอบเขตความรับผิดชอบ ต้องแบกรับภาระความคุ้มครองดูแลความปลอดภัยซึ่ง จู่ๆ เกิดขึ้นมาอย่างกะทันหัน ในสภาวะที่สงครามอาจก่อตัวได้ทุกเมื่อ
แต่ว่า หลิวซีไม่อาจยอมรับได้ นางมีความรู้ความสามารถเชื่อมั่นในฝีมือตนเองแต่ไม่คิดโอ้อวด
ถ้ามีนางอยู่ด้วยย่อมช่วยเหลือทหารที่ได้รับบาดเจ็บได้อีกมาก ได้นำวิชาความรู้ซึ่งได้ร่ำเรียนมา ใช้เป็นประโยชน์ต่อผู้คนยามยากลำบาก นับว่าเกิดมาไม่เสียชาติแล้ว
หญิงสาวยังคงดื้อดึง ไม่ยินยอมพร้อมใจ ยิ่งคิดว่าเขาจิตใจแคบคับ จำกัดเพียงเพราะตนเองเป็นสตรีให้รู้สึกหงุดหงิดเดือดดาลเป็นที่สุด
พลันคิดได้ว่าเซียวชงอวี้จะใช้อำนาจบีบบังคับตนเป็นแน่
“ข้าขอเสนอความเห็นที่พอจะตกลงกันได้ ในเมื่อท่านคิดว่าจะมีการปะทะกันในหนทางข้างหน้า เช่นนั้นให้ข้าติดตามไปด้วยดีหรือไม่ ข้าจะพิสูจน์ตนเอง หากทำไม่ได้จริงเกิดเหตุอะไรขึ้นมา ข้าไม่เรียกร้องสิ่งใด ทั้งยินยอมกลับลั่วหยางดีหรือไม่”
ประกายในดวงตาคล้ายมีแสงดาราวิบวับ เหมือนเห็นถึงความดื้อรั้นยึดมั่น ซึ่งฉายชัดปรากฏออกมา
แววตาเซียวชงอวี้สั่นไหวแค่เพียงชั่วพริบตา กลายเป็นเรียบนิ่ง เขาเม้มปากเป็นเส้นตรง ก่อนจะเอ่ยตัดบท
“เจ้ากลับไปพักผ่อนเถอะ”
หลิวซีขมวดคิ้ว น้ำเสียงสูงขึ้น “ท่านยังไม่รับปากข้า”
มือบางคว้าจับแขนเสื้อบุรุษตรงหน้าอย่างลืมตัว
เขาชักแขนหลบ “ดึกมากแล้ว เจ้าไม่ได้อยู่ในฐานะที่พูดเช่นนั้นได้” น้ำเสียงเฉียบขาดยิ่ง
สัมผัสบางอย่างหายไป คล้ายจับได้เพียงอากาศที่ว่างเปล่า หลิวซีใบหน้าเรียบตึง ลดมือลงข้างตัว กำหมัดแน่น หันหลังรีบสาวเท้าเดินกลับ
เงาด้านหลังพุ่มไม้พลันปรากฏกายขึ้น ก้าวออกมายืนในลานกว้าง ภายใต้แสงจันทร์และดวงดาว
“ท่านจะใจร้ายไปหน่อยกระมัง หัดรักหยกถนอมบุปผาเสียบ้าง”
จินเช่อแย้มยิ้ม น้ำเสียงมีความขบขันแฝงความหยอกเย้า
“ข้าไม่ชอบความยุ่งยาก หรือมีเรื่องไม่จำเป็นแทรกเข้ามาแบ่งแยกความคิดระหว่างทำศึกสงคราม”
สำหรับเขาสตรีคือภาระ อาจนำมาซึ่งปัญหาไม่มากก็น้อย การมาของพวกนางครั้งนี้เกี่ยวเนื่องกับฮองเฮาฮ่องเต้ เขาไม่รู้ว่าในวังว่างมากเกินไป กินอิ่มจนไม่มีอะไรทำหรือไร
ก่อนหน้านี้ เคยให้คนส่งรูปวาดหญิงงามมาให้เขาเลือก เพื่อดูตัวจับคู่ให้ เขาตอบปฏิเสธกลับไป
คราวนี้ถึงขนาดส่งคนมาให้ดูตัว พี่สาวกลัวจะไม่มีผู้สืบทอดตระกูลเซียวหรือ หากเขาเป็นอะไรขึ้นมารับบุตรหลานของลุงป้าน้าอา มาเป็นบุตรบุญธรรมของบิดามารดาก็ได้ ไม่เห็นว่าจะมีอะไรเสียหาย
คงเป็นเพราะรักและความเป็นห่วงมากกว่าของนาง ยามอยู่ด้วยกันชอบกลั่นแกล้งเขามาก พอโตมาคิดจะจับคู่ให้อีก ไม่รู้ทำไมฮ่องเต้ยังร่วมผสมโรงด้วย เขารู้สึกจนใจจริง ๆ
“ข้าเห็นด้วยที่จะส่งพวกนางกลับ แต่ท่านก็ควรเลือก ๆ ไว้สักคนสิ การเลือกคู่ครองขึ้นอยู่กับบิดามารดา ทั้งฮองเฮายังเป็นพี่สาวเปรียบดุจมารดา ยังมีฮ่องเต้เปรียบดั่งบิดาของแผ่นดิน ยังต้องคำนึงถึงผู้สืบทอดตระกูลอีก อย่าทำให้พวกเขาต้องกังวลใจ”
จินเช่อย่อมเห็นด้วยสำหรับเรื่องที่จะส่งพวกสตรีเหล่านั้นกลับลั่วหยาง เพราะหากขืนอยู่ชายแดนมีแต่ความลำบากและอันตราย
รวมถึงอาจมีเรื่องเสื่อมเสียชื่อเสียงอีกด้วย แต่ว่าเขาก็ยังพูดโน้มน้าวเซียวชงอวี้ อยากเห็นผู้เป็นเจ้านายและเหมือนสหายสนิท ควรมีครอบครัวเสียที
“ใจข้าคิดเพียงแค่การศึก ไม่คิดเรื่องอื่น อีกอย่างเรื่องเยี่ยงนี้ พวกเขาไม่เคยเอ่ยถามความเห็นข้าสักคำ คร้านจะมาใส่ใจ อยากจะทำอะไรก็ทำไป ข้าไม่สนใจ” เสียงเรื่อยเฉื่อยเจือด้วยความไม่พอใจเล็กน้อย
เซียวชงอวี้ตอบตามความรู้สึก ระหว่างเขากับจินเช่อไม่มีเรื่องต้องปิดบัง จินเช่อเป็นองครักษ์ที่เติบโตด้วยกันมาตั้งแต่เด็ก เป็นทั้งพี่น้องเป็นทั้งสหาย
ด้วยรูปร่างบอบบางของเขา มักทำให้คนทั่วไปเข้าใจผิด กล่าวหาว่าทั้งสองผูกสมัครรักใคร่กันอยู่ เซียวชงอวี้ได้ยินแต่ไม่คิดแก้ตัว จิตใจมีแต่เรื่องสงครามการรบ เรื่องอื่นหากไม่เป็นปัญหาใหญ่กลับมองเป็นเรื่องเล็ก ไม่แม้กระทั่งคิดใส่ใจ
“ก็ดี แต่อยากให้ท่านใคร่ครวญดู ลองเปิดใจสักนิดในเมื่อพวกนางมาแล้ว สำหรับแม่นางหลิวที่ทำให้ท่านได้รับบาดเจ็บ ข้าอาจจะใจคอคับแคบมีอคติ
แต่ยังมีหญิงงามอีกคน เรียบร้อยเพียบพร้อมเป็นกุลสตรีมีมารยาทนิ่มนวลอ่อนโยน ไม่แข็งกระด้างจับดาบจับกระบี่ เห็นโลหิตไม่หวาดกลัว ไม่มีความอ่อนหวาน อาจจะเหมาะสมกับท่านมากกว่าก็ได้”
เสียงหัวเราะแฝงความหยอกล้อ เมื่อเห็นสายตาจ้องเขม็งมองมา รีบยกมือปิดปากกลั้นหัวเราะ
“ฮึ! ไม่ต้องยุ่งเรื่องของข้า เจ้าก็เหมือนกัน อายุอานามก็ได้แล้ว หากมีหญิงงามพึงใจ รีบบอกข้ามาจะเป็นเถ้าแก่ไปสู่ขอให้”
“ข้าไม่เหมือนท่าน เพียงตอนนี้ยังไม่มีคนพึงใจเท่านั้น”
เซียวชงอวี้ใช่จะไม่รู้ใจจินเช่อ องครักษ์ผู้ซึ่งจงรักภักดีของเขา ชายหนุ่มรูปงามผู้นี้มีสตรีหมายปองมากมายแต่ไม่เคยได้ยินว่าชอบบุตรสาวบ้านใด
“เจ้ารีบเดินทางเถอะ จะได้ไม่มีอะไรผิดพลาด” เขาตัดบทคำพูด กลัวเรื่องงานจะมีข้อบกพร่อง รีบไล่องครักษ์คนสนิทออกไปดำเนินการตามแผนที่วางไว้
“ไม่ต้องห่วง ข้าส่งคนไปแจ้งล่วงหน้าแล้ว”
เดินได้สองสามก้าว ได้ยินเสียงลอยตามหลังมา
“หญิงงามมาจากลั่วหยางหลายนาง หากเจ้าสนใจผู้ใดข้ายินดีทูลขอพระราชทานสมรสให้”
เซียวชงอวี้ยิ้มเอ่ยอย่างใจกว้าง
จินเช่อเหยียดยิ้มบาง “หากข้าสนใจขึ้นมาจริง ๆ ไม่รู้ครั้งหน้าท่านจะกล้าถามคำถามเช่นนี้ต่อข้าหรือไม่” กล่าวจบหัวเราะลั่นโบกมือเดินจากไป
แม่ทัพหนุ่มส่ายศีรษะอย่างอ่อนใจ มองตามเงาด้านหลังสหายสนิท เลือนหายลับไปตรงสุดทาง
..............................