📚 ความจริงครอบครัว ꕀ .* ♥︎₊˚⟢⊹

2909 Words
📚 ꕀ .* ♥︎₊˚⟢⊹ สายลมบ่ายพัดผ่านลานหน้าตึกอธิการ 🌿 สายธารเดินถือแฟ้มเอกสารจากห้องธุรการ ตั้งใจจะรีบส่งให้อาจารย์แล้วกลับไปเกลางาน แต่ยังไม่ทันก้าวข้ามลาน เสียงทุ้มแข็ง ๆ ที่เธอคุ้นหู (แต่ไม่อยากได้ยิน) ก็ดังขึ้น “จะจบแล้ว ยังคิดจะเล่น ๆ ไปวัน ๆ อยู่อีกเหรอวายุ” เสียงนั้นเย็นชัดจนเหมือนแทงตรงกระดูก ❄️ สายธารหยุดชะงัก เงยหน้าไปเห็นวายุยืนหันหลังให้ตึก สีหน้าคุมอารมณ์เต็มที่ ตรงข้ามเขาคือผู้ชายสูทสีเทา เนี๊ยบทุกกระดุม แว่นกรอบบางสะท้อนแดด ไม่ต้องเดาก็รู้ว่า “พ่อ” ของเขา คนที่เดินผ่านเริ่มชะลอฝีเท้าเหมือนอยากฟัง สายธารเลยถอยไปยืนหลังต้นก้ามปู เธอไม่ได้อยากแอบ แต่ไม่กล้าเดินเข้าไปตอนบรรยากาศตึง ๆ แบบนี้ ใจเธอเต้นแรงตั้งแต่ได้ยินคำว่า “เล่น ๆ” “ผมไม่ได้เล่น” วายุพูดชัด ดวงตาไม่หลบ “ผมทำโปรเจกต์จนดึกทุกวัน คุณก็รู้ เพราะฝ่ายกิจการส่งรายงานให้คุณอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ” “โปรเจกต์กับการงานจริงมันคนละเรื่อง” พ่อเขาตอบเสียงเรียบ “แกคิดว่าโลกข้างนอกจะเอ็นดูเด็กวิศวะที่เก่งแต่ในห้อง แต่เอาเวลาไปชกต่อย เล่นดนตรีข้างถนน แล้วเป็นข่าวฉาวในบอร์ดนักศึกษาเหรอ” คำว่า “ข่าวฉาว” เหมือนลอยมากระแทกกลางอก 💥 สายธารกำแฟ้มแน่นขึ้น เธอเห็นไหล่วายุเกร็งวูบ ก่อนเขาจะกดเสียงต่ำลง “ข่าวบอร์ดมันก็แค่ขยะของคนเบื่อ ๆ เราไม่จำเป็นต้องเก็บมาใส่หัว” “แต่มันสะท้อนนิสัยแก” พ่อไม่ลดน้ำเสียง “คนเขาสร้างข่าวจากสิ่งที่มีมูลเสมอ ถ้าแกไม่ทำ มูลมันก็ไม่เกิด” แสงแดดสะท้อนกรอบแว่นเหมือนมีดคม ✦ กระแทกตาสายธารจนต้องกะพริบ คำพูดของผู้ชายตรงหน้าฟังเหมือนตะปูที่ตอกลงไม้ทีละดอก โดยมีวายุยืนเป็นไม้แผ่นนั้น “ประพฤติดีแบบไหน?” วายุสวนทันที “แบบไม่เล่นดนตรี ไม่ขี่มอเตอร์ไซค์ ไม่หัวเราะ ไม่คุยกับใครนอกจากคนในบริษัทคุณ?” 🎸🏍️ พ่อเขาหยุดไปเสี้ยววินาที ก่อนปรับเสียงให้แข็งกว่าเดิม “แบบที่มุ่งอนาคตให้มั่นคง และไม่เอาอารมณ์ชั่ววูบมาทำลายชื่อเสียงบ้าน” คำว่า “บ้าน” หนักมาก 🏠 มันพาเอาทุกอย่างเข้ามาตระกูล ธุรกิจ เกียรติยศ ภาพลักษณ์ สิ่งที่สายธารไม่เคยสัมผัส บ้านของเธอมีแต่ไม้เก่า กลิ่นชา และรอยยิ้มพ่อแม่ ไม่ใช่กรอบเหล็กเงาที่กดหัวใจให้เรียบ “คุณอยากให้ผมเป็นอะไร บอกมาตรง ๆ เลยก็ได้” วายุหัวเราะในคอ แต่ไม่ใช่เสียงตลก มันเหมือนเสียงคนหาทางออกในห้องมืด “ผู้จัดการฝ่ายผลิต? ฝ่ายควบคุมคุณภาพ? ผู้ช่วยซีอีโอ? หรือหุ่นยนต์ที่รอรับคำสั่ง?” “อย่าประชด” พ่อเขาพูดทันควัน “บริษัทต้องการคนที่ไว้ใจได้ แกเรียนวิศวะมาก็เข้าฝ่ายเทคนิค เริ่มโรงงานสักปีสองปีแล้วค่อยขึ้นมาบริหาร ชื่อแกคือ ‘วายุ’ ไม่ได้แปลว่าต้องเป็นพายุไปตลอด แกควรเป็นลมใต้ปีกที่ค้ำบ้านให้มั่นคง” คำพูดนั้นฟังดูสวยแต่แทงประสาท 💢 สายธารหนาววาบทั้งที่แดดยังแรง วายุจ้องหน้าพ่อไม่กะพริบ “แล้วสิ่งที่ผมอยากเป็นล่ะ คุณเคยถามสักครั้งไหม” พ่อเขานิ่งไปแป๊บ ก่อนยิ้มเย็น ๆ “เด็กสมัยนี้ก็แบบนี้แหละ เอาแต่พูดว่า ‘สิ่งที่ฉันอยากเป็น’ โลกไม่ได้หมุนด้วยความอยากของแก โลกหมุนด้วยสิ่งที่ต้องรับผิดชอบ แกเกิดมาในบ้านนี้ ก็ต้องแบกเท่าที่ควรแบก” เสียงรองเท้าหนังกระทบพื้นหินดัง ตึก…ตึก… 🎵 กดลงหัวใจสายธารทุกก้าว วายุสูดลมหายใจลึก เสื้อยืดตึงไปทั้งแผงอก เขากลั้นไปหนึ่งจังหวะก่อนพูดช้า ๆ “ผมก็แบกมาตลอด แม้แต่สิ่งที่ไม่ใช่ของผม” พ่อเขายกคิ้ว “หมายความว่าไง” “หมายถึง…” วายุเม้มปาก ดวงตาหนักขึ้น “ตอนคุณกับแม่ทะเลาะกัน ผมเป็นคนเก็บเศษกระจก ก้มเก็บรูปครอบครัวที่แตกเป็นเสี่ยง เอาเทปใสแปะแล้วแขวนกลับ ทั้งที่รู้ว่ามันเอียง…และแตกอยู่ดี” คำว่า “แตกอยู่ดี” ทำให้ลานรอบตัวเงียบสนิท 🕊️ เหมือนทุกคนหยุดหายใจพร้อมกัน สายธารไม่เคยเห็นวายุพูดตรงกับพ่อขนาดนี้ มือเขากำหมัดหลวม ๆ แล้วคลายออกช้า ๆ พ่อเขาสูดหายใจผ่านจมูก “แม่แกอ่อนไหวเกินไป แกอย่าเอามาอ้าง” “แล้วคุณก็เข้มเกินไป” วายุสวนทันที น้ำเสียงยังพยายามนิ่ง แต่ปลายประโยคเริ่มคม “ทุกอย่างที่ไม่ตรงกับสิ่งที่คุณเชื่อ คุณก็เรียกมันว่า ‘ข้ออ้าง’” 🔆 แดดบ่ายขยับ เงาเสาลากยาว 🌤️ สายธารเห็นนิ้วมือวายุสั่นน้อย ๆ แบบที่คนอื่นอาจไม่ทันสังเกต เธอกัดริมฝีปาก กลัวว่าเขาจะพูดอะไรแรงเกินไป แต่ก็รู้ว่าขัดตอนนี้ไม่ได้ พ่อเขาเดินเข้ามาใกล้อีกก้าว ลดเสียงลงแต่กดหนักกว่าเดิม “แกทำครอบครัวเดือดร้อนพอแล้ววายุ ทั้งเรื่องชกต่อย เรื่องฝ่ายวินัย เรื่องข่าวลือผู้หญิง ถ้าศัตรูทางธุรกิจหยิบไปเล่น แกจะรับผิดชอบได้ไหม” คำว่า “ผู้หญิง” ทำให้สายธารเย็นวาบที่สันหลัง ❄️ แต่พ่อเขาพูดต่อ “แกคิดว่าคนในบอร์ดเขียนเพราะไม่มีอะไรทำเหรอ เขาเขียนเพราะเห็น แกคุยกับใคร เดินกับใคร ยิ้มให้ใคร แค่ภาพถ่ายหนึ่งใบก็ทำให้แบรนด์เสียหายได้” วายุขบกรามแน่น “คุณกำลังบอกให้ผมเลิกคุยกับทุกคน เพื่อรักษาแบรนด์ของบ้านใช่ไหม” “ไม่ใช่” พ่อเขาตอบทันที “ฉันบอกให้แกรู้จักเลือก คนไหนทำให้แกดีขึ้นก็เลือก คนไหนเสียเวลาเลี่ยงไป อย่าให้ความชอบชั่วคราวมาพังทางเดิน” คำว่า “ความชอบชั่วคราว” หนักเกินกว่าที่เจ้าตัวอาจรู้ 🥀 สายธารได้ยินตัวเองสูดลม เธอไม่ได้อยากเกี่ยว แต่คำพูดนั้นกดหน้าอกเธอแน่นจนเงียบไม่ออก วายุเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนหัวเราะสั้น ๆ “ขอบคุณสำหรับคำแนะนำที่ไม่เคยมีชื่อคน” เขาเชิดคางเล็กน้อย ดวงตาแข็งจนเหมือนกระจก “แต่ไม่ต้องห่วง คนที่ผมคุยด้วย…ไม่ได้ทำให้ผมเสียเวลา” “ใคร” พ่อเขาถามทันควัน “ผู้หญิงคนนั้นใช่ไหม” 👀 สายตาสองคู่ปะทะกันกลางลานของพ่อที่คมเหมือนเลเซอร์ 🔎 และของลูกชายที่แข็งเหมือนเหล็กชุบแข็ง ⚡ สายธารหลับตาแค่ไม่กี่วินาที เธอไม่แน่ใจว่าพ่อเขาหมายถึงเธอหรือเปล่า แต่คำถามก็ถูกโยนขึ้นฟ้าแล้ว เหมือนลูกเหล็กในเครื่องกล วายุส่ายหน้า เสียงแข็ง “นี่ไม่ใช่เรื่องของคุณ” พ่อเขาหัวเราะหยันเบา ๆ “ทุกอย่างยังเป็นเรื่องของฉัน จนกว่าแกจะพิสูจน์ได้ว่าไม่ใช่ แกยังอยู่ในบัญชีฉัน ใช้เงินฉัน เรียนด้วยเงินฉัน อย่าคิดมาปิดบัง” 💸 หลายคำเหมือนตบหน้าด้วยธนบัตร สายธารใจสั่นจนหูอื้อ วายุสะบัดหน้าแรง เหมือนโดนน้ำสาด “เงินคุณ?” เขาถอนหายใจยาวจนไหล่ตกวูบหนึ่ง “ผมทำงานพิเศษ ผมหาเงินเองหลายทาง ลดค่าใช้จ่าย วางแผนชีวิตไม่ให้ต้องขอคุณทุกบาท เพื่อจะไม่ต้องมานั่งฟังคุณนับบุญคุณแบบนี้” พ่อเขาขมวดคิ้วแน่น “อย่าพูดเหมือนแกเป็นฮีโร่ แกใช้ชื่อฉันเดินอยู่ทุกที่ ได้เปรียบเพราะบ้านนี้ แต่ก็ทำให้บ้านนี้เสี่ยงเพราะความเอาแต่ใจของแก” คำว่า “เอาแต่ใจ” เหมือนกดสวิตช์ 💥 วายุนิ่งไปชั่วครู่ เหมือนกำลังเลือกว่าจะถอยหรือชน แต่พอคำนี้หล่นลง เสี้ยวภาพกระจกแตกที่เขาเคยเล่าให้สายธารฟังก็ชัดขึ้นในหัวแล้วบานออก เสียงเขาดังขึ้นกว่าก่อนหน้า ชัดจนคนที่ทำเป็นไม่สนใจก็หันมา “ผมเอาแต่ใจตรงไหน! ผมเรียน ผมทำงาน ผมพยายามซ่อมตัวเองทุกวันโดยที่คุณไม่เคยเห็น ผมคุมตัวเองไม่ให้ไปชกต่อย ผมเข้าฝ่ายวินัยทุกครั้งที่ถูกเรียก ผมเลิกทำเรื่องโง่ ๆ ทีละอย่าง โดยไม่มีคุณสักครั้งที่จะพูดว่า ‘ดี’ ออกมา คุณไม่เคยเห็นผมหรอก คุณเห็นแต่ชื่อบริษัทที่แปะอยู่บนหน้าผม!” เสียงสะท้อนจากกระจกหน้าตึกทำให้อากาศสั่น 🎵 สายธารเผลอก้าวถอยไปนิด แต่ก็ยังยืนอยู่ น้ำตาคลอเพราะอึดอัดแทนวายุ พ่อของเขาเซไปครึ่งก้าว ไม่รู้เพราะเสียงดังหรือเพราะคำพูด แต่สีหน้าที่เข้มจัดเริ่มมีรอยร้าวจาง ๆ “ลดเสียงหน่อย” พ่อเขาหรี่ตา “ที่นี่มหาวิทยาลัย ไม่ใช่ตลาด” “ก็เพราะมันคือมหาวิทยาลัย ผมเลยอยากพูดความจริงให้ดังสักที” วายุสวนทันที เสียงยังสูงอยู่ “ความจริงที่ว่าผมไม่ใช่คุณ และผมจะไม่เป็นคุณ! ผมจะไม่เป็นคนที่คิดว่า ‘ความเข้มงวด’ คือความรัก ผมจะไม่ทำให้คนรอบตัวกลัวจนต้องเงียบเพื่อเอาตัวรอด!” ⚡ ความเงียบกดทับทั้งลานเหมือนผ้าห่มเปียก 🌧️ นกตัวหนึ่งบินหลุดจากต้นก้ามปู คนที่ทำเป็นไม่สนใจแอบมองมากขึ้น พ่อเขาเชิดคางช้า ๆ “พูดจบหรือยัง” เสียงเรียบ “ถ้าจบแล้วขึ้นรถ ฉันนัดที่โรงงานไว้ ไปดูไลน์ผลิตจริง ไม่ใช่นั่งไลฟ์อ่านกลอน” คำว่า “ไลฟ์อ่านกลอน” ทำให้สายธารสะอึก 💔 เพราะนึกถึงคืนนั้นที่วายุมานั่งเงียบ ๆ แถวหลัง พ่อเขาไม่ได้เหยียดเธอตรง ๆ แต่เหยียดสิ่งที่เธอรักจนรู้สึกจุก “ผมไม่ไป” วายุพูดชัด “ผมมีเรียน มีงานของผม และผมจะเลือกไปโรงงานในวันที่ผมพร้อม ไม่ใช่วันที่คุณสั่ง” “นี่ไม่ใช่ตัวเลือก!” พ่อเขาตะคอกครั้งแรก เสียงดังเหมือนค้อนเหล็กกระแทกพื้น ⛓️ “ขึ้นรถ!” วายุเชิดหน้า เสื้อแนบตึงกับไหล่กว้าง “ไม่” เวลาหยุดไปหนึ่งจังหวะ พ่อเขาหายใจขาดครึ่งวินาที ก่อนถามเสียงต่ำ “เพราะอะไร เพราะผู้หญิงคนนั้น? เพราะชีวิตเล่น ๆ ของแก? หรือเพราะคิดว่าตัวเองเก่งพอจะเดินเองโดยไม่ล้ม?” วายุหัวเราะหยัน “เพราะผมเป็นคน ไม่ใช่ชิ้นส่วนในเครื่องจักรของคุณ” เขามองพ่อแล้วพูดชัดทุกคำ “แล้ว ‘ผู้หญิงคนนั้น’…ถ้าคุณหมายถึงคนที่สอนให้ผมหายใจช้าลงเวลาโมโห คนที่ยื่นบันไดให้ผมลงจากที่สูง ไม่ใช่ผลักให้ตก ใช่ครับ ถ้าเป็นเธอ ผมเลือกฟังเธอมากกว่าฟังคุณ เรื่องของผมเอง” คำว่า “เธอ” ทำให้ปลายนิ้วสายธารเย็นวาบ ❄️ เธอไม่ได้อยากเป็นชื่อในบทสนทนานี้ แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่า ตอนนี้เธอถูกนับเข้าไปในสมการแล้ว…ในฐานะ “เสียงเบา ๆ” ของใครบางคน พ่อของวายุเงียบไปชั่วครู่ ใบหน้าตึงจนเส้นเลือดตรงขมับชัด เขายกมือแตะกรอบแว่นเหมือนจะปรับโฟกัส แต่ความจริงตรงหน้ามันชัดเกินไปจะเบลอได้ 👓 “งั้นก็เตรียมรับผลของทางเลือกแกให้ดี” เสียงเขาช้าและเย็น “จำไว้ว่าโลกจริงไม่ได้ใจดีเหมือนเพื่อนในโต๊ะเรียน ถ้าเลือกเดินเอง ก็อย่ากลับมาขอมือเวลาเดินพลาด” พูดจบ เขาหยิบกุญแจรถ ขยับรองเท้าหนังแล้วหมุนตัวออกไป เสียง ตึก ๆ ห่างออกทุกก้าว เงาร่างสูงไม่หันกลับมาสักครั้ง 🚶‍♂️ รถยุโรปสีดำสะท้อนแดดแวบ ก่อนปิดประตูเสียงดังเหมือนปีกนกกระพือหนัก ๆ แล้วเครื่องยนต์ก็ติดเบา ๆ เคลื่อนออกจากลาน ลานหน้าตึกยังเงียบสนิท สายธารเห็นวายุยืนกับเงาของตัวเอง มือกดท้ายทอยเบา ๆ เหมือนกำลังจัดระเบียบลมหายใจ กล้ามเนื้อกรามที่เคยเกร็งเริ่มคลายลง แต่ดวงตายังแดงลึกเหมือนคนที่อดทนมานานเกินไป 🥀 เธออยากเดินเข้าไปจริง ๆ มากจนฝ่าเท้าร้อนวูบ แต่สติบอกให้รออีกลมหายใจ เธอไม่อยากเป็นคนพรวดเข้าไปซ้ำในแผลสด เลยเลือกยืนอยู่ใต้เงาต้นไม้ ฟังลมหายใจตัวเองให้เข้าที่ 🍃 “โทษทีนะมึง” เสียงภาคินดังขึ้นจากข้าง ๆ เขาเดินมาถึงไหล่วายุภายในไม่กี่ก้าว คงยืนดูอยู่เหมือนกัน คนอื่น ๆ เริ่มสลายตัวไปเพราะฉากมันจบแล้ว “กู…ไม่รู้จะพูดอะไร” วายุหัวเราะเบา ๆ แต่ไม่มีความขำ “อย่าพูดอะไรก็ได้ แต่อย่าทิ้งกูไว้คนเดียวตอนนี้” ภาคินพยักหน้า “ไปหาน้ำก่อน” เขาตบหลังเพื่อนเบา ๆ แล้วดันให้ขยับออกจากตรงนั้น วายุก้าวตามไปแบบหมดแรงชั่วคราว 🚶‍♂️ ตอนทั้งสองขยับ ลมก็พัดใบไม้ให้สั่น 🌬️ สายธารเห็นเสี้ยวหน้าด้านข้างของวายุ เขาไม่ได้มองเธอ หรืออาจเห็นแต่ทำเป็นไม่เห็นก็ได้ เธอไม่รู้ รู้แค่ว่าสายตาเขาเฉียงต่ำ เหมือนกลัวว่าถ้าเงยขึ้นมา สิ่งที่กดไว้จะไหลออกมาหมด สายธารก้มมองแฟ้ม กระดาษข้างในสั่นนิด ๆ น้ำตาคลอ ไม่ใช่เพราะถูกเอ่ยถึง แต่เพราะเธอเพิ่งเห็น “ในส่วน” ของเขาที่ไม่เคยเห็นชัดมาก่อนเด็กผู้ชายที่พยายามหายใจโดยไม่ยอมเป็นพายุของใคร แต่ก็ยังถูกบังคับให้เป็นลมใต้ปีกของใครสักคน 🥀 เธอกัดริมฝีปาก พยายามไม่ให้น้ำตาไหล แต่สุดท้ายหยดใสก็กลั้นไม่อยู่ ไหลช้า ๆ ลงแก้ม เธอยกหลังมือแตะ ไม่ได้เพื่อปิดบัง แต่เพื่อยืนยันกับตัวเองว่ามันเกิดขึ้นจริง ภาพหลังจากนั้นเหมือนสโลว์โมชั่น ภาคินพาวายุไปนั่งที่ม้านั่งใต้กันสาด พนักงานยื่นน้ำเย็นให้หนึ่งขวดโดยไม่ต้องถาม วายุเปิดฝา ดื่มครึ่งขวด แล้วแหงนหน้ามองราวเหล็กด้านบน เหมือนถามคำถามกับสิ่งที่ไม่มีเสียงตอบ สายธารยังยืนใต้เงาต้นก้ามปู มือจับสายกระเป๋าผ้าแน่น เธออยากเดินไปบอกว่า ฉันอยู่ตรงนี้ อยากยื่นผ้าเช็ดหน้า อยากบอกว่า เธอไม่ต้องเป็นอะไรที่ไม่อยากเป็น แต่เธอก็รู้ บางครั้งความเงียบมีค่ามากกว่าเสียงพูดใด ๆ และตอนนี้ ความเงียบที่ดีที่สุด คือการยืนฟังลมหายใจของเขาอยู่ห่าง ๆ โดยไม่เข้าไปยุ่มย่าม 🤍 เธอสูดลมหายใจลึก กลืนก้อนสะอื้นเล็ก ๆ ลงไปใต้หน้าอก แล้วค่อย ๆ ถอยทีละก้าว ก่อนหมุนตัวเดินอ้อมไปด้านข้าง เพื่อไม่ต้องผ่านหน้าพวกเขา 👣 เธอเดินเบามากจนแทบไม่มีเสียง แต่หัวใจยังหนักเหมือนมีอะไรทับอยู่ ตอนขึ้นบันไดด้านข้าง เธอหยุด หันกลับไปมองเงาของทั้งสองที่นั่งอยู่ตรงม้านั่ง เพื่อนที่นั่งข้างกันโดยไม่ต้องพูดอะไร และเด็กหนุ่มที่เพิ่งตัดเชือกเส้นใหญ่ที่ผูกเขากับคำสั่งมานาน เธอลอบบอกในใจเหมือนสวดเบา ๆ เธอไม่ได้อยู่คนเดียว ไม่ต้องรีบเป็นอะไรที่ไม่ใช่ ฉันเห็น แม้ไม่มีคำ 🌿 ลมบ่ายพัดปลายผมไหว กลิ่นหญ้ากับฝุ่นเบา ๆ ลอยมากับอากาศ 🍃 เธอกะพริบตาให้ภาพตรงหน้าชัดขึ้นอีกครั้ง แล้วหันกลับไปตามทางเดินยาว เสียงรองเท้ากระทบขั้นบันไดหินเบา ๆ เป็นจังหวะ…จังหวะที่ผสมกับเสียงน้ำตาในอก เมื่อประตูชั้นสองปิดลงเบา ๆ ความเงียบในโถงยาวกลับทำให้เสียงทุกอย่างชัดขึ้น เสียงหัวใจที่ยังแรง เสียงประโยคที่ยังค้างคา เสียงความเข้มงวดที่เพิ่งตกกระแทกพื้น และเสียงเธอที่บอกตัวเองว่า อยู่เฉย ๆ ก่อนนะ อย่าเพิ่งปลอบด้วยคำ ถ้าจะปลอบ…ปลอบด้วยการอยู่ให้เสมอ 🤍 สายธารยืนพิงกำแพงอยู่พักหนึ่ง ปล่อยให้น้ำตาไหลออกมาอีกสองหยด ก่อนหยิบทิชชู่เช็ดเบา ๆ เธอสูดลมหายใจลึก เปิดแฟ้มออก กระดาษขาวสะอาดรอหมึกอยู่ ✍️ เธอหยิบปากกา เขียนบันทึกสั้น ๆ ลงบนโพสต์อิทใบเล็กแล้วแปะไว้หน้าแรก “วันนี้ เห็นความจริง ไม่ได้สวย แต่จริง เขาตะโกนเพื่อให้ใครสักคนได้ยิน ฉันยืนฟังเงียบ ๆ น้ำตาซึม และจะยืนต่อไป” เธอกดโพสต์อิทแน่นหนึ่งครั้ง เหมือนย้ำปลายเล็บลงบนคำว่า “ยืนต่อไป” ก่อนสูดลม ตั้งหลัก แล้วเดินกลับไปสู่โลกเดิมห้องเรียน งาน เอกสาร 📚 หัวใจหนักขึ้นเล็กน้อย แต่แน่วแน่กว่าเดิม ข้างล่าง…พายุเพิ่งผ่านไป 🌧️ ฟ้าไม่ได้ใสขึ้นทันที แต่อากาศเริ่มนิ่ง ทุกคนหายใจตรงจังหวะมากขึ้น และในความนิ่งนั้น สายธารรู้ดีว่า คืนนี้เมื่อเปิดสมุดบันทึก เธอคงเขียนยาวกว่าทุกคืน แต่ตอนนี้…เธอเลือกเงียบ ปล่อยให้ความเงียบทำหน้าที่ของมัน เหมือนเสียงฝนบนสังกะสีที่วายุเคยเล่า เธอก้าวไปข้างหน้า ช้า ๆ และมั่นคง พร้อมน้ำตาที่เพิ่งเช็ดออก …กับหัวใจที่ยังสั่น…แต่ไม่หนี 🤍🫠 ⟡ ⑅◡̈ ⁺₊⋆♡ °₊·ˈ∗ *.❅•꒰ ⁺⋆ °˖✧₊˚ ꔛ﹆ •⌯✧ ⋆♡̷̷̷
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD