[11] - อันตรายของเหล่าแวมไพร์

3342 Words
                                                                                             [11]   "นั่นมัน...ศพแวมไพร์นี่"    เดนน่าก้าวลงจากรถพร้อมหน้าไม้ประจำกายโดยมีน้องชายเดินตามต้อยไป เป็นความคิดสุดท้ายที่ควรจะทำในเวลาที่พระอาทิตย์ลับขอบฟ้าไปแล้วเช่นนี้ แต่เธอหยิบอุปกรณ์ออกมา มีไฟแบล็กไลต์แบบไร้สายและเครื่องมืออีกอย่างที่ฉันระบุไม่ได้ แต่ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตาม มันทำให้รอสส์ที่นั่งอยู่เกิดอาการแปลกๆขึ้นมา    "นายโอเคมั้ยรอสส์?"    "ไปบอกสองคนนั้นทีว่าเบาคลื่นเสียงลงหน่อย ไม่งั้นฉันจะไปกระชากมันออกเอง"    คลื่นเสียง? นั่นทำให้ฉันประหลาดใจพอสมควรเมื่อรู้ว่าพวกแวมไพร์นั้นแพ้คลื่นความถี่เสียงด้วย พอเห็นสีหน้าทรมานของแวมไพร์หนุ่มฉันจึงต้องยอมลงมาจากรถ สองเท้ารีบบึ่งเข้าไปในวงแสงไฟนีออน    "เบาคลื่นลงหน่อยสิ คนที่อยู่ในนั้นจะชักตายเอานะ"    "ดูนี่สิ" เดนน่าชี้ไปที่รอยช้ำบนคอแวมไพร์ตัวหนึ่ง "เป็นรอยเจาะเหมือนเขี้ยว มีบางอย่างสูบเลือดพวกมันออก"    "มีข้อสันนิษฐานมั้ยว่าเป็นตัวอะไร?"    "อาจจะเป็นพวกเดียวกัน วีเดล่า หรือไม่ก็คนที่ขายเลือดแวมไพร์พวกนี้ ทิ้งศพแบบนี้มันก็ดีตรงที่ว่าถ้าพระอาทิตย์ขึ้น ศพพวกนี้ก็จะสลายไปหมด"    ฉันมองรอยเจาะนั้น ถึงแม้ฉันจะไม่ใช่นักล่าแวมไพร์ก็เถอะ แต่บอกได้เลยว่ามันไม่ใช่รอยเขี้ยวแน่ๆ และความอยากรู้อยากเห็นของฉันก็ชวนให้อยากรู้เหลือเกินว่าสัมผัสของรอยเขี้ยวนั้นเป็นเช่นไร เมื่อปลายนิ้วของฉันแตะกับรอยกัดเข้า ภาพบางอย่างก็ปรากฏขึ้นมา    'ฉันจะใช้เข็มนี่ เจาะเข้าที่คอนาย แล้วใช้เครื่องสูบเลือดออกมาจนหมด นายจะตายอย่างช้าๆและทรมาน เหมือนที่นายดูดเลือดคนอื่น'    "อเลสซ่า!"    เสียงของเซตที่เรียกไม่อาจปลุกฉันจากความเจ็บปวดสุดท้ายของร่างที่ฉันกำลังจับอยู่ได้ในตอนนี้ ความเจ็บของเข็มเจาะเลือดที่แทงบนต้นคอ เป็นอะไรที่แย่กว่าการถูกแวมไพร์ดูดเลือดซะอีก ขอบคุณพระเจ้าที่หนุ่มนักล่าดึงตัวฉันออกมาได้ก่อนที่มันจะแย่กว่านี้    "เมื่อกี้ฉันเป็นอะไรไป..."    "ฉันเห็นเธอนิ่งอยู่นาน ตะโกนแล้วไม่หันอีกต่างหาก นึกว่าจะเป็นอะไรไปซะอีก"    "ฉันเห็นบางอย่าง" ความรู้สึกปวดที่ขมับเหมือนมีคนเอาเครื่องช๊อตไฟฟ้ามาจี้ทำให้ฉันประมวลคำพูดออกมาอย่างยากลำบาก "มันเหมือนความทรงจำสุดท้ายก่อนที่แวมไพร์ตัวนี้จะตาย เจ็บปวดและหวาดกลัว..."    "สมควรดีแล้วนี่"    "พี่!"    หญิงสาวผมแดงถอนหายใจเบื่อ และดวงตาคู่ดุร้ายก็จ้องฉันด้วยความสนใจ "เธอเห็นอะไรบ้าง"    "แวมไพร์พวกนี้ถูกดูดเลือดหมดตัว มีเสียงนึงที่บอกว่าเขาจะต้องรู้สึกเหมือนคนอื่นๆที่โดนดูดเลือด"    "แต่เธอไม่เห็นหน้าหมอนั่น ใช่มั้ย?"    ฉันส่ายหัว เดนน่าครุ่นคิดอยู่พักใหญ่ก่อนจะลากศพของแวมไพร์สาวที่มีสภาพไม่ต่างกันมากนักเข้ามาในวง ฉันรู้ในทันทีว่านักล่าสาวอยากให้ฉันทำอะไร "เราต้องรู้ให้ได้ว่าผู้ชายคนนั้นเป็นใคร ไม่ว่ายังไงศพพวกนี้ก็ต้องเกี่ยวโยงถึงวีเดล่าแน่ ฉันเชื่อใจเธอนะอเลสซ่า"    ฉันหันมองเซตเพื่อถามความแน่ใจว่าฉันสามารถเชื่อพี่สาวเขาได้รึเปล่า การผงกหัวโดยที่ใบหน้าเต็มไปด้วยความกังวลทำให้ฉันกลัวอย่างบอกไม่ถูก แม้แต่คนเป็นน้องยังเชื่อใจพี่สาวตัวเองไม่ได้เลย แล้วฉันที่ไม่รู้จักเธอล่ะ...นี่มันฆ่าตัวตายชัดๆ แต่ถ้าฉันยังอยู่เฉยเดนน่าอาจจะเอาหน้าไม้เล็งหัวแล้วบังคับให้ฉันทำก็ได้ ดังนั้นฉันจึงตัดสินใจลูบปลายนิ้วผ่านแผลบนต้นคอแวมไพร์สาวผู้โชคร้าย    และฉันก็กลับสู่ภาพความทรงจำอีกครั้ง...    'มีสุนทรพจน์จะพูดก่อนตายมั้ย?'    ห้องสี่เหลี่ยมจัตุรัสขนาดเล็กมีเพียงแวมไพร์สาวที่ถูกล่ามโซ่และชายวัยกลางคนยืนอยู่ ดูท่าทางแข็งแรงและหล่อเหลาถึงแม้จะขัดกับสีผมที่เริ่มขาวขึ้น ฉันมองร่างซูบผอมของหล่อน และฉันก็รู้ว่าอะไรคือสาเหตุที่ทำให้เธอมีสภาพเป็นเช่นนั้น เข็มเจาะเลือดสองเข็มเชื่อมต่อจากต้นคอซ้ายของแวมไพร์ที่ถูกล่ามไว้ไปยังถุงเลือด    ในภาพอดีตนี้ฉันเป็นเพียงผู้ชมเหตุการณ์เท่านั้น    'ทำไมทำแบบนี้...เราไม่เคยฆ่าคนของพวกนาย ไม่เคยฆ่าใครทั้งนั้น'    'ฉันไม่สนเรื่องนั้นหรอกนังหนู แค่ต้องใช้เลือดของแวมไพร์อย่างเธอไปจัดการพวกตัวประหลาดนั่น และอีกอย่าง' ชายคนนั้นเดินไปหมุนวาลบางอย่างจนเลือดที่ไหลอยู่ช้าๆ ในตอนแรกถูกดูดเข้าถุงเลือดอย่างรวดเร็ว 'พวกแกสมควรตาย'    และร่างของแวมไพร์สาวผู้โชคร้ายก็แห้งกรังกลายเป็นศพเหมือนที่แสดงในพิพิธภัณฑ์ ทุกอย่างมันควรจะจบลงแล้วสิ ทำไมฉันยังอยู่ที่นี่ ก่อนที่คอมันจะเริ่มเจ็บแปล๊บขึ้นมา ฉันมองเลือดที่ไหลจากต้นคอตัวเองเจิ่งนองอยู่บนพืื้น ร่างกายฉันกำลังถูกสูบเลือดออกไม่ต่างจากแวมไพร์สาว    ทรมาน...อยากจะตายไปซะให้มันพ้นจากความเจ็บปวด และฉันก็นอนจมกองเลือดอยู่เช่นนั้น    เหน็บหนาว โดดเดี่ยวและหวาดกลัว ความกลัวทั้งหลายกำลังซึมซับเข้าสู่ร่างฉัน    นอนราบลงบนพื้น สูดกลิ่นรอบตัวเข้าไปแล้วหลับใหล พ่อบอกว่ามันช่วยทำให้ฉันผ่อนคลาย แต่ในบางสถานการณ์กลับทำให้ฉันนึกถึงการสูดออกซิเจนเข้าไปเต็มฟอดก่อนการดิ่งพสุธา อะดรีนาลีนที่สูบฉีดบวกกับออกซิเจนเกิดผลลัพธ์เป็นยาสลบชั้นเลิศ เกือบจะได้ไปเจอพระเจ้าแล้วตอนนั้น    นานเกินไปจนฉันนึกว่าตัวเองจะตายไปแล้ว ณ ห้องพยาบาลอันเย็นซีดพอๆ กับกลิ่นศพในห้องดับจิต ฉันมองร่างไร้วิญญาณที่นอนอยู่บนเตียงเหล็ก ร่างหญิงสาวที่มีรอยเขี้ยวอยู่บนนั้น ศพที่นอนอยู่คือตัวฉันเองที่กำลังพึมพำบางอย่าง เสียงพูดเริ่มชัดมากขึ้น    'ลืมตามองโลกซะ แล้วสิ่งที่มันเคยเป็นจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป'    "เธอฟื้นแล้ว"    ใบหน้าอันหล่อเหลาของพ่อหนุ่มนักล่าโผล่มาทักทายด้วยความเป็นห่วง  ฉันนอนอยู่บนเตียงซักแห่งของโรงแรมในตัวเมืองและพยายามจะลุกขึ้น แต่ความอ่อนล้านั้นเล่นงานฉันซะหนัก สุดท้ายแล้วฉันก็ต้องยอมทิ้งตัวลงนอนเช่นเดิม    "ฉันหลับไปนานเท่าไหร่?"    "สามสี่ชั่วโมงได้" เซตพยุงตัวฉันขึ้นมาและส่งแก้วน้ำให้ฉัน "นึกว่าเธอจะไม่ฟื้นซะแล้วรู้มั้ย?"    "จาเวียร์ฆ่าฉันตายแน่งานนี้"    เดนน่าที่ไร้ความรู้สึกผิดจ้องมองฉันด้วยดวงตาเย็นชาของเธอก่อนที่จะเริ่มพูด "เห็นอะไรบ้างล่ะ?"    "มีผู้ชายคนนึงจับพวกแวมไพร์ไพร์มารีดเลือด เขาบอกว่า...จะเก็บเลือดแวมไพร์ไว้ใช้จัดการพวกตัวประหลาด แถมบอกว่าทั้งแวมไพร์กับตัวประหลาดนั่นก็สมควรตายกันหมด"    "เขาย้ำคำว่าตัวประหลาดใช่มั้ย?" เดนน่าถามย้ำ คงเพราะเธออาจจะรู้จักกับคนๆนั้น    "ที่จริงมันก็มี 'ไอ้บ้า' ตัวประหลาดด้วย เน้นย้ำคำนั้นเป็นพิเศษเลยล่ะ"    สองพี่น้องนักล่ามองหน้ากันก่อนจะหายไปอยู่มุมห้อง กระซิบกระซาบบางอย่าง ดูท่าคงจะรู้จักคนที่ฉันเห็นในนิมิต ยังไงมันก็ไม่สำคัญสำหรับฉันหรอก มันสำคัญกับพวกเขามากกว่า    การฝันถึงถุงเลือดที่กำลังห้อยอยู่ในบ้านทำให้จิตใจฉันสงบลงได้เล็กน้อย ดีกว่าการเห็นภาพแวมไพร์ที่กำลังถูกสูบเลือดจนหมดตัว หลงเหลือเพียงซากแห้งๆนอนอยู่บนพื้น บางทีสิ่งที่ฉันหวังสำหรับเรื่องทั้งหมดนี้คือการให้จอห์นไปตายซะ สบถใส่หน้าแล้วบอกเขาให้เลิกยุ่งกับฉันได้แล้ว    "ผู้ชายคนที่เธอเห็นน่ะ เป็นผู้ชายกลางคน ผมหงอกเริ่มขึ้น แล้วหน้าตาเหมือนไม่รับบุญตลอดเวลาใช่มั้ย?" ฉันพยักหน้า "ตายห่า"    เดนน่าสบถอย่างรุนแรง มันมีบางอย่างบอกฉันว่าเธอกำลังกลัวใครคนนั้น ไอ้บ้าที่ไหนไม่รู้ที่สูบเลือดแวมไพร์มาเก็บไว้ และบอกว่าตัวเองมีแผนจะทำให้ลายล้างเผ่าพันธุ์แวมไพร์ให้หมดสิ้น แต่อันที่จริงฉันก็ควรจะกลัวเขาไว้เหมือนกัน ผู้ชายกลางคนที่เป็นมนุษย์แบบร้อยเปอร์เซ็นต์จับแวมไพร์เกือบสองโหลไปดูดเลือดเก็บไว้ได้ แสดงว่าเขาคนนั้นก็คงมีฝีมือไม่เบาเหมือนกัน    "มีอะไรที่ฉันควรต้องรู้รึเปล่า?"    "ทำไมถึงคิดว่าฉันอยากจะบอกเธอล่ะ"    "อ๋องั้นหรอ ไม่ใช่ฉันรึไงที่เสี่ยงตายไปหาว่าใครน่ะ ไม่ใช่ฉันหรอที่ต้องเข้าไปเจอความทรมานของแวมไพร์พวกนั้น ลองได้มาเห็นภาพพวกนั้นสิ เธอจะได้รู้ว่ามันเจ็บปวดยังไง"    "ผมไปส่งเธอเอง"    อยู่ดีๆเซตก็พูดขึ้นและจูงมือฉันออกมาจากห้องพัก สีหน้าโกรธเคืองของเขาทำให้ฉันไม่กล้าที่จะตั้งคำถามกับนักล่าหนุ่มคนนี้ว่าสรุปแล้วชายคนนั้นเป็นใคร เซตอาจจะโกรธฉันหรือไม่ก็พี่สาวของเขาเอง เดนน่าผู้เย็นชา เดนน่าสาวสวยผู้ไร้หัวใจ เป็นฉายาที่เข้ากับเธอได้ดีเชียวล่ะ    ในรถแท๊กซี่แสนเก่าของคุณตาสตีเฟ่น แท๊กซี่คันเดียวที่ฉันเห็นในเมืองเพราะรายอื่นๆ นั้นหนีไปหาลูกค้าในเมืองกันหมด ถึงฉันจะสนิทชิดเชื้อกับคุณตาสตีเฟ่นมากขนาดไหน การสนทนาด้วยหัวข้อแวมไพร์นั้นคงไม่ใช่ทางเลือกที่ดีนัก เว้นเสียว่าตาลุงคนนี้ก็เป็นแวมไพร์ด้วยเหมือนกัน    "ขอโทษเรื่องพี่ด้วยนะ เธอไม่ค่อยจะแคร์คนอื่นแบบนี้แหละ"    "ไม่แคร์แม้กระทั่งคนที่ช่วยเหลือเนี่ยนะ"    "พี่เคยไว้ใจคนอื่นมากนะ...เมื่อก่อน แต่พอเกิดเรื่องนั้นกับเธอเข้า ทุกอย่างมันก็เปลี่ยนไป ผู้ชายคนที่เธอเห็นในนิมิตเขาชื่อปีเตอร์ คาลสัน เคยอยู่กลุ่มล่าแวมไพร์เดียวกับครอบครัวเรา" เซตเบาเสียงคำว่า 'แวมไพร์' ลงเล็กน้อยเมื่อเขาเห็นว่าลุงสตีเฟ่นหันมามองเราทั้งคู่เหมือนคนบ้า "เขาเสียลูกสาวไป ตั้งแต่นั้นเราก็ไม่เคยเจอปีเตอร์อีกเลย"    "เขาคงไม่เหลืออะไรแล้ว" ฉันลองนึกย้อนไปถึงดวงตาของปีเตอร์ในนิมิต ถึงจะดุร้ายเพียงใด สิ่งเดียวที่ฉันเห็นในนั้นกลับมีเพียงความว่างเปล่า สับสน ไร้จุดหมาย "บางทีเขาคงมีเหตุผลที่อยากจะทำแบบนั้น"    "ขอให้เป็นเหตุผลที่ดี"    รถแท๊กซี่สีเหลืองพาดดำคันเก่าจอดตรงหน้าร้านทาโก้พอดิบพอดี เซตซึ่งยังไม่อยากกลับไปเจอหน้าพี่สาวในตอนนี้ขออยู่ที่นี่จนถึงเวลาที่ร้านปิด ฉันกลับไปทำงานเป็นสาวเสิร์ฟเหมือนเคย ในขณะที่รอคิวหรือรอให้ลูกค้าเรียกเก็บเงิน ฉันมักจะหันมองเซตที่อ่านหนังสืออยู่ในห้องด้านล่างของจาเวียร์อยู่เงียบๆ พอหันไปอีกครั้งเขาก็หลับซะแล้ว    ช่วงเวลาหลังร้านปิด หลังจากไล่ซินดี้และพนักงานคนอื่นๆออกไปได้แล้ว จาเวียร์ก็ได้มาฟังเรื่องราวทั้งหมดจากปากฉันและเซต สรุปเท่าที่ฉันรู้มาก็คือเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับพวกวีเดล่าที่หาเหยื่อด้วยวิธีที่เปลี่ยนไป จ้องจะทำร้ายพวกแวมไพร์โดยมีปีเตอร์ที่จ้องจะทำลายพวกวีเดล่าทิ้งด้วยการใช้เลือดแวมไพร์เช่นกัน เรื่องทั้งหมดนั้นเริ่มซับซ้อนเกินไปจนน่าปวดหัว    "ก็คือว่า...เราต้องตามหาตัวการของเรื่องนี้ แล้วก็ไปขอร้องว่าหยุดฆ่าคนเถอะนะ แบบนี้น่ะหรอ?"    "ถ้าเป็นไปได้ก็จะทำแบบนั้น" หนุ่มนักล่าถอนหายใจ "ปีเตอร์ไม่ใช่คนที่จะยอมปริปากออกมาง่ายๆ แต่เขาก็เป็นคนที่ไม่ชอบทำงานให้ใครเหมือนกัน"    "ฉันแค่ไม่เข้าใจว่าหมอนั่นจะเอาเลือดแวมไพร์ไปทำอะไรมากขนาดนั้น อย่างกับจะเอาไปเปลี่ยนคนทั้งเมืองให้เป็นแวมไพร์"    "หรือบางทีเลือดแวมไพร์อาจจะส่งผลบางอย่างกับวีเดล่า?"    "อาจจะ"    ฉันมองรอยมีดบนแขนตัวเองและรู้สึกเจ็บแปล๊บ ถัดจากแผลมีดขึ้นไปก็มีรอยกัดจางๆของอเล็กซ์ที่เขาใช้เลือดเลียสมานแผล ถ้าแผลทั้งหมดจะหายไปฉันต้องดื่มเลือดเท่านั้น มีแต่กฎซับซ้อนเต็มไปหมด    "แผลนั่นดูจะไม่โอเคเท่าไหร่นะ" มนุษย์หมาป่าร่างกำยำกล่าวและลุกขึ้น "ฉันจะไปหยิบกล่องพยาบาล"    "พอจะมีน้ำส้มสักแก้วมั้ยครับ?" เซตยกมือขออนุญาตเหมือนเด็กน้อย "คอผมแห้งเป็นผงแล้ว"    จาเวียร์ส่ายหน้าเบาๆและชี้นิ้วไปยังตู้เย็นที่อยู่ห่างไปไม่ไกลนัก เซตถามเพียงเพราะอยากจะกวนประสาทจาเวียร์ หรือไม่ก็คงซื่อบื่อขนาดที่ไม่เห็นจริงๆว่าในห้องนี้มีตู้เย็นอยู่ ดูแล้วคงจะเป็นอย่างแรกมากกว่า    หนุ่มผมแดงบิดขี้เกียจก่อนจะเดินไปหาของกินในนั้น พอได้มองแบบนี้ก็เพิ่งจะรู้ว่าหมอนี่ออกกำลังกายมาดีทีเดียว ถึงจะไม่ได้ดูแล้วมีแต่กล้ามใหญ่มโหฬาร แต่ก็แข็งแรงพอจะสู้กับพวกแวมไพร์ได้อย่างน้อยสองหรือสามตัวด้วยอาวุธประชิด อาจเป็นเพราะเสื้อแจ๊กเก็ตและเชิ้ตที่เขาใส่ซ้อนมาทำให้เขาดูกำยำในตอนแรกที่เราเจอกัน    "น้ำส้มมั้ย?"    "ไม่ล่ะ ขอบใจมาก"    เซตเดินกลับมาพร้อมน้ำส้มจากในตู้เย็นของจาเวียร์หนึ่งกล่องพร้อมแก้วอีกสองใบ บอกว่าไม่ดื่มไง    "ยังไงก็ต้องเพิ่มน้ำตาลสักหน่อย เธอเสียเลือดไปนะรู้มั้ย ดื่มซะ"    นักล่าหนุ่มเทน้ำส้มลงแก้วและยื่นให้ฉัน ไม่รู้เหมือนกันว่าน้ำส้มมันอร่อยหรือเพราะเสียเลือดมาเลยทำให้ดื่มจนหมดแก้วรวดเดียวได้รึเปล่า ฉันยื่นขอแก้วที่สองทันที    "ทำไมพ่อนายถึงตั้งชื่อว่าเซตล่ะ?"    "ไม่รู้สิ เขาอาจจะเกลียดผม ตอนที่แม่คลอดผมออกมา...เธอตาย หนึ่งในสาเหตุเลยล่ะ พ่อพูดออกมาเองตอนที่เขาเมา และรู้มั้ยอเลสซา? ผมเกลียดเขาเหมือนกัน เกลียดพอๆกับที่พระเจ้าจะเกลียดผม"    "มันไม่ใช่ความผิดนายซะหน่อย ฉันก็เคยรู้สึกแบบนั้น"    "แสดงว่าเราก็เป็นคนประเภทเดียวกันแล้วสิ"    ฉันยิ้มกว้าง ไม่คิดเลยว่าเราสองคนจะสนิทกันได้เร็วขนาดนี้ ไม่ว่าจะยังไงก็เถอะ หากจอห์นมาเห็นเขาคงกลายเป็นเรื่องใหญ่แน่ ก็เขามันแวมไพร์จอมหวงตัวพ่อเลยนี่ อยู่ดีๆหนุ่มผมแดงที่หัวเราะร่าอยู่ก็เปลี่ยนสีหน้าเข้าสู่โหมดเคร่งขรึมกะทันหันและมองไปที่ประตูหลังร้าน มีใครบางคนกำลังจ้องมองเราอยู่    "รอตรงนี้" เซตพูดและหยิบปืนพกประจำกายมาถือไว้ สองเท้าค่อยๆย่องไปและผลักประตูออกอย่างแรง แต่ว่าคนแปลกหน้านั้นคือคริสตัล นักล่าหนุ่มลดปืนในมือลง ฉันจึงลุกไปยืนอยู่กับเซตอีกคน    "จอห์นมาที่นี่รึเปล่า ฉันหาเขาที่บาร์ไม่เจอ"    "ทำไมถึงคิดว่าเขาจะอยู่ที่นี่ล่ะ? เขาโกรธฉันซะขนาดนั้น"    "เวรเอ้ย! คุณอยู่ที่ไหนกันเนี่ย?"    ทุกอย่างเงียบลงจนฉันได้ยินเสียงความถี่บางอย่างที่ดังขึ้นมาโดยไร้ที่มา ดังขึ้นจนฉันทนไม่ไหว ในจังหวะที่ฉันกำลังจะล้มลงก็มีมือของคริสตัลคว้าเอาไว้ แต่มันทำให้ฉันเห็นบางสิ่ง...ภาพนิมิตของความตาย ฉันเห็นคริสตัลที่ถูกแขวนไว้ มีเข็มสองอันเจาะเข้าที่คอ ก่อนที่ร่างเธอจะแห้งกรังอยู่บนโซ่เงินไม่ต่างจากที่ฉันเคยเห็นจากศพแวมไพร์ตัวอื่น    และก่อนที่ภาพจะจบลง...ฉันเห็นจอห์นถูกแขวนอยู่บนนั้นเช่นกัน ในโรงงานทอผ้าเก่าตรงชานเมือง ฉันจำได้เพราะเคยแอบไปเล่นที่นั่นมาก่อน    "อเลสซ่า!"    เซตตะโกนเรียกชื่อฉันจนหลุดจากภาพนิมิต ฉันมองมือของแวมไพร์สาวผิวเผือกที่กำลังจับแขนฉันไว้ และเธอก็สะบัดมือจนหลุด    "โดนดูดเลือดจนเบลอไปเลยรึไง?"    "ถ้าเธอออกไปตามหาจอห์นตอนนี้ เธอตาย"    "...เธอพูดบ้าอะไร?'    "หูหนวกรึไง บอกว่าเธอจะตายไง โดนสูบเลือดเหมือนพวกแวมไพร์ที่ตายอยู่บนถนน เธอต้องเชื่อฉัน ตอนนี้จอห์นกำลังตกที่นั่งลำบาก"    "เธอรู้ใช่มั้ยว่าเขาอยู่ที่ไหน?"    "โรงงานทอผ้านอกเมือง คริสตัลเราต้อง-"    ยังพูดไม่ทันจบประโยคเธอก็หายวับไปต่อหน้าต่อตาอีกครั้ง ฉันและเซตหันมองหน้าและถอนหายใจพร้อมกัน เขาคงเบื่อกับการเจออะไรแบบนี้เหมือนฉันน่ะแหละ นักล่าหนุ่มปิดประตู และจาเวียร์ก็เดินลงมาพอดี    หลังจากใช้เวลาอยู่ครู่หนึ่ง แผลมีดก็ถูกทำความสะอาดเรียบร้อย จาเวียร์บอกว่าเลือดที่สมานแผลใกล้เคียงคงช่วยทำให้แผลกรีดนั้นเบาบางลง เขาเพียงให้ยาแก้ปวดและใช้ผ้าพันไว้ เซตอาสาจะพาฉันไปที่โรงงานร้างนอกเมือง ทหารนาวิกเกษียณที่ได้ยินเช่นนั้นก็ขอไปด้วยคนเช่นกัน    ที่นี่อยู่ห่างจากถนนหลักพอสมควร โดยสถานที่ชุมชนที่ใกล้ที่สุดก็ห่างไปเกือบสามกิโล ฉัน เซตและจาเวียร์ย่องผ่านทุ่งหญ้าเข้ามาเงียบๆจนถึงด้านหน้าโรงงาน เงียบจนดูน่ากลัว...    "ใช่ที่นี่หรอที่เธอเห็นน่ะ?"    "ฉันเคยมาเล่นในนี้ตอนที่มันยังไม่ร้าง เป็นที่นี่แหละ"    "ดูเหมือนเธอจะพูดถูกนะ"    จาเวียร์ผงกหัวไปยังทิศทางที่เสียงเครื่องยนต์ดังขึ้น รถกระบะสีสนิมคันเล็กซึ่งอดีตของมันคงจะเคยเป็นสีอะไรก็ตามที่ดีกว่านี้ขับตรงเข้ามายังด้านหน้าโรงงาน ทันใดนั้นไฟที่แอบติดตั้งไว้รอบโรงงานก็สว่างโดยอัตโนมัติ ฉันเห็นคริสตัลนอนอยู่ท้ายรถพร้อมกับแวมไพร์อีกสองตัว ผู้ชายคนนี้ไม่ธรรมดาจริงๆ ร่างของแวมไพร์สาวถูกแบกเข้าไปยังด้านใน    "แล้วเราจะเอายังไงต่อ?"    "ก็หาทางเข้าไปสิ"    "แต่เรายังไม่รู้เลยนะว่าต้องไปเจออะไร และผมขอบอกว่าฝีมือเขาไม่ธรรมดา"    เราทั้งสามเถียงกันอยู่พักใหญ่จนได้ข้อสรุปคือความเงียบ อย่างเดียวที่ทำได้คือดูว่าปีเตอร์จะทำอะไรต่อไป แต่ในระหว่างที่เขากำลังพาร่างแวมไพร์อีกตัวลงมาจากท้ายรถลงมา ฉันก็เห็นว่าเขาชะงักไป...ก่อนที่เขาจะหันหน้ามาหาพวกเราที่ซ่อนตัวอยู่ในพุ่มไม้    ดวงตาดุร้ายของนักล่าคนนั้นบรรจบเข้ากับสายตาของฉันที่กำลังมองเขาด้วยความหวาดกลัว    เขาเห็นฉันแล้ว... [To Be Continued...]
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD