๖
ฉันท้อง
ผ่านมาอีกหนึ่งเดือน ไม่มีใครมายุ่งวุ่นวายกับตีรณาอีก แม้แต่เขาผู้ชายใจโฉดที่เปลี่ยนผู้หญิงไม่ซ้ำหน้า แต่น่าเสียดายที่คนพวกนั้นไม่มีวันรู้ว่าผู้ชายคนนี้ไม่มีค่าพอให้ยืนเคียงข้าง
หญิงสาวเมินหน้ามาจากภาพทีปกรกำลังนั่งคุยกับสาวงามคนหนึ่ง หล่อนจำได้ว่าผู้หญิงคนนั้นคือดาราสาวชื่อดัง ทั้งคู่คุยกันไม่กี่นาทีก็พากันหายไปด้านใน
“ตี่” กันยาขมวดคิ้วนิ่วหน้าเมื่อร่างบอบบางที่ดูจะบางลงในระยะหลังทรุดนั่งลงบนเก้าอี้ ใบหน้าซีดเซียวผิดปกติ “เป็นอะไร หน้าตาดูป่วยนะ จะเป็นลมหรือเปล่า”
ตีรณามีสีหน้าไม่สู้ดีนัก ทั้งยังรู้สึกพะอืดพะอมมาทั้งวัน บางครั้งต้องแอบเข้าไปอาเจียนในห้องน้ำ วันนี้ก็สามครั้งเข้าไปแล้ว
“ไม่รู้เหมือนกันพี่ยา ตี่รู้สึกเวียนหัวแล้วก็คลื่นไส้ด้วย”
คนฟังนิ่วหน้า รู้สึกแปลกๆ กับอาการของสาวรุ่นน้อง
“เมื่อวานกินอะไรผิดสำแดงหรือเปล่า”
หญิงสาวนิ่งคิดอยู่ครู่ก่อนส่ายหน้าปฏิเสธ
“ตี่กินข้าวปกตินี่แหละ ก็กินเหมือนทุกวัน” หญิงสาวตอบแต่หางเสียงแผ่วพร่าลง หัวใจกระตุกเมื่อร่างสูงใหญ่ของใครบางคนเดินออกมาจากด้านใน ทั้งสองสบตากันวูบหนึ่ง พลันหัวใจของหญิงสาวก็เต้นรัว เกิดอาการพะอืดพะอมขึ้นมาทันทีที่เห็นหน้าเขา
“ตี่!” กันยาอุทานเมื่อร่างบางลุกขึ้นพร้อมกับหุนหันเดินแกมวิ่ง ยกมือขึ้นปิดปากตนเองตรงไปยังห้องน้ำ ทำให้กันยาต้องวิ่งตามไปติดๆ ด้วยความตกใจ
อาการของสองสาวกลายเป็นจุดเด่นเรียกสายตาของเพื่อนร่วมงาน โดยเฉพาะสายตาของทีปกรที่หรี่แคบลงอย่างสงสัย
ตีรณาอาเจียนโดยมีกันยาคอยลูบหลัง เกือบห้านาทีหญิงสาวจึงเงยหน้าขึ้นจากชักโครก เพื่อนรุ่นพี่จึงส่งกระดาษทิชชูให้ หญิงสาวรับไปเช็ดปากทิ้งลงชักโครกก่อนจะกดน้ำ แล้วหันหลังเดินตรงไปยังอ่างล้างมือโดยมีกันยาเดินตามมาไม่ห่าง ลอบมองตีรณาด้วยสายตาเป็นคำถาม เกิดความสงสัยสุดหัวใจ
ตีรณาล้างหน้าบ้วนปากเสร็จจึงเงยหน้าขึ้นสบตาสาวรุ่นพี่ที่กำลังมองมาอย่างเคลือบแคลงสงสัย
“ตี่รู้ไหมว่าตัวเองเป็นอะไร” คำถามและสีหน้าแววตาทำให้ตีรณาใจหายก่อนจะหลุบตาลง ไม่ใช่แค่กันยาที่สงสัยแต่หญิงสาวกำลังสงสัยตนเองเช่นกัน
“พรุ่งนี้ตี่จะไปหาหมอค่ะ” หญิงสาวบอกออกมาด้วยน้ำเสียงแผ่วพร่า เกิดความหวาดกลัวสุดหัวใจ ทำให้อีกฝ่ายเงียบลงไปหลายวินาที
“ถ้ามีอะไรให้พี่ช่วย บอกได้นะ”
ตีรณาสบตากันยา น้ำตารื้นจับขอบตาวูบหนึ่งก่อนจะส่งยิ้มให้อีกฝ่าย
“ขอบคุณค่ะ”
ไม่นานนักทั้งสองจึงกลับออกไปทำงานอีกครั้ง ช่วงใกล้ปิดร้าน มีแขกคนหนึ่งน่าจะเมามาก เริ่มพูดจาไม่ค่อยรู้เรื่อง พยายามลวนลามตีรณาอยู่หลายหน หญิงสาวที่สัญญากับตนเองแล้วว่าจะไม่ยอมตกเป็นเหยื่อของใครอีกผลักผู้ชายคนนั้นจนล้มไปทั้งคนและเก้าอี้
โครม...
เสียงนั้นเรียกสายตาของใครต่อใครหันมามอง ไม่กี่อึดใจคุณโยผู้จัดการก็เดินเร็วรี่ตรงมา เขามองพนักงานสาวของตนด้วยสีหน้าขรึมจัด ก่อนจะมองไปยังลูกค้าหนุ่มที่นอนแอ้งแม้งบนพื้น มีพนักงานชายช่วยกันพยุงอีกฝ่ายให้ลุกขึ้นนั่งอย่างยากเย็น เพราะอีกฝ่ายไม่ค่อยให้ความร่วมมือทั้งยังโวยวายด่ากราด
“ปล่อยโว้ย ใครเป็นคนคุมที่นี่วะ เรียกมาเลย พนักงานที่นี่แม่งห่วยว่ะ ทำร้ายร่างกายลูกค้าได้ไงว้า”
คุณโยที่ยืนหน้าเข้มจึงตอบออกไป
“ผมเป็นผู้จัดการของที่นี่ครับ คุณลูกค้าเป็นอะไรมากไหม เจ็บตรงไหนหรือเปล่าครับ”
ลูกค้าคนเดิมตวัดตามองผู้จัดการหนุ่มด้วยสายตาเอาเรื่อง
“ผมจะเอาเรื่อง ผู้หญิงคนนี้มันผลักผมล้ม” พูดจบก็ตวัดสายตากลับไปยังร่างบางที่ยืนก้มหน้าเม้มปากแน่น คุณโยมองตามสายตาของลูกค้า แล้วสบตาพนักงานของตนเองพลางเอ่ย
“เรื่องนี้อาจเกิดจากความเข้าใจผิดกัน ผมต้องขอโทษแทนน้องพนักงานด้วยนะครับ ตี่ขอโทษคุณลูกค้าเสียสิ”
หญิงสาวกัดฟันแน่น มือที่กำลังแนบอยู่ข้างลำตัวคลายออกอย่างเจ็บใจ หญิงสาวสบตาผู้จัดการหนุ่มแล้วเอ่ยถาม
“คุณโยจะไม่ถามตี่สักหน่อยหรือคะ ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น”
คิ้วหนาของคุณโยกระตุก เขาเม้มปากจนเป็นเส้นตรงก่อนปรามให้หล่อนเงียบ
“ขอโทษแขกซะคุณตีรณา”
น้ำเสียงเข้มขรึมทำให้ตีรณาต้องกัดริมฝีปากตนเองอย่างอดกลั้น ทุกอย่างราวจะขาดผึงในนาทีนั้น
“ขอโทษค่ะ” พูดจบหญิงสาวก็เดินหันหลังให้คนทั้งหมดโดยไม่สนสายตาใครอีกต่อไป หล่อนจะไม่ทนอีกแล้ว วันนี้จะเป็นวันสุดท้ายที่หล่อนทำงานที่นี่!!
“อะไรวะ แค่นี้คิดว่าจะหนีพ้นเหรอ ผมจะแจ้งความข้อหาทำร้ายร่างกาย จะฟ้องทั้งร้าน ฟ้องทั้งพนักงาน ฟ้องให้หมดเลย”
เสียงของผู้ชายคนนั้นยังคงโวยวายไม่เลิก แต่ตีรณาไม่อยู่ฟัง หญิงสาวเดินเข้าไปยังห้องพักพนักงาน หยิบกระเป๋าออกมาสะพาย ไม่อยู่ที่นี่อีกแล้วพอกันที
“ตี่ เกิดอะไรขึ้น” ทั้งดุษิตาและกันยาวิ่งกรูเข้ามาหาเพื่อน คนที่กำลังคับแค้นใจพอเห็นหน้าเพื่อนรุ่นพี่ก็ถึงกับน้ำตาไหลออกมา
“ตี่จะไม่มาทำงานที่นี่อีกแล้วนะพี่”
น้ำเสียงสั่นพร่าของตีรณาทำให้คนทั้งสองตกใจ
“เดี๋ยวก่อนตี่ พูดกันให้รู้เรื่องก่อน”
“คุณตี่ รบกวนตามผมมาที่ห้องทำงานด้วยครับ” เสียงของคุณโยดังขึ้นท่ามกลางความวุ่นวาย ทั้งหมดเงียบงัน สายตาของผู้จัดการบอกชัดว่าเอาจริงเอาจังแค่ไหน ตีรณาจึงเดินตามอีกฝ่ายไปยังห้องทำงานโดยไม่พูดอะไร
“เล่าเหตุการณ์ทั้งหมดให้ผมฟังอีกที” เขาเอ่ยขึ้นทันทีที่หญิงสาวนั่งลงบนเก้าอี้หน้าโต๊ะทำงาน ส่วนเขายืนอยู่ริมหน้าต่างห้อง ที่สามารถมองออกไปยังเบื้องนอกได้ชัดเจน
ตีรณาสบตาคมของอีกฝ่ายนิ่ง ริมฝีปากอิ่มเม้มเข้าหากัน
“เขาลวนลามตี่ ตี่พยายามที่จะป้องกันตัวเองเท่านั้น”
“แต่คุณก็ไม่ควรไปทำร้ายแขก น่าจะหาวิธีที่ดีกว่า เช่นการเดินหนี หรือขอให้คนอื่นช่วย”
หญิงสาวตวัดตามองคนตรงหน้า แววตาวาวโรจน์จนผู้จัดการหนุ่มนิ่งงันใจกระตุก
“คุณโยคิดว่าตี่ไม่ทำแบบนั้นหรือคะ ตี่พยายามเดินหนี แต่แขกคนนั้นก็เอาแต่ฉุดรั้งตี่ ซ้ำยังลวนลาม จะให้ตี่ทำยังไง ไม่เอาขวดตีหัวก็บุญแล้ว ที่เขาโดนมันยังน้อยไป”
เมื่อไม่มีอะไรจะเสียอีกแล้ว ไหนๆ ก็ตัดสินใจลาออก หญิงสาวจึงไม่สนผลที่จะตามมาอีกต่อไป มาสิ คิดว่ามีอำนาจกันมากนักใช่ไหม ต่อจากนี้ไปหล่อนขอสู้ตาย
อาการสู้ยิบตาของตีรณาทำให้ผู้จัดการนิ่งเงียบไปนาน เขากำลังสั่งให้ลูกน้องดูกล้องวงจรปิดเช่นกัน เพราะไม่ปักใจเชื่อว่าหญิงสาวจะผิดอยู่ฝ่ายเดียว การสั่งให้หล่อนขอโทษแขกเวลานั้น เป็นเพราะเขาแค่ต้องหาทางออกอย่างละมุนละม่อมและอยากจะตักเตือนให้หญิงสาวมีสติมากกว่านี้ ไม่ควรทำอะไรที่เกินกว่าเหตุท่ามกลางสายตาลูกค้าคนอื่น เพราะอาจส่งผลเสียเป็นวงกว้างกว่าที่หล่อนจะทันได้คิด
“คุณไม่ควรทำแบบนั้นอยู่ดี ควรเรียกใครก็ได้มาช่วย ไม่รู้หรือว่าจะทำให้ร้านของเราเสียหายแค่ไหน หากลูกค้าคนนั้นแจ้งตำรวจขึ้นมาจริง ไม่เพียงคุณที่เสียหายแต่ร้านก็เสียหาย”
หญิงสาวกระตุกยิ้ม รู้สึกสมเพชทั้งเขาและตนเอง ฝ่ายนั้นได้เห็นแววตาของหญิงสาวแล้วหน้าร้อนวูบ เขาอ่านสายตาหล่อนออก
“ผมแค่อยากจะเตือนคุณเอาไว้ ไม่ใช่คิดจะทำอะไรก็ทำได้ ที่นี่เรามีหน้าที่บริการ จงจำเอาไว้ว่าเราไม่มีสิทธิ์ทำร้ายแขก ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม”
“แม้ว่าแขกจะลวนลามหรือทำร้ายพนักงานก่อนแบบวันนี้ใช่ไหมคะ” หญิงสาวสวนกลับไปทันควัน ฝ่ายนั้นทำคอแข็ง “เคยคิดที่จะปกป้องลูกน้องบ้างไหมคะผู้จัดการ”
ร่างบางลุกขึ้นยืนจากเก้าอี้ เผชิญหน้าเขาอย่างกล้าหาญ ตาสบตาคมนิ่ง ก่อนเอ่ย
“ตี่ขอลาออกค่ะ”
“มันไม่จบลงแค่ลาออกหรอกนะคุณตี่ ถ้าผู้ชายคนนั้นคิดจะเอาเรื่อง คุณจะเดือดร้อน จะไม่มีใครช่วยคุณได้”
หญิงสาวยิ้มกว้างก่อนจะหัวเราะออกมาเบาๆ ราวขบขันสิ่งที่เขาพูดออกมาเต็มประดา
“ไม่มีใครเคยช่วยตี่ได้มานานแล้วค่ะผู้จัดการ เพราะฉะนั้น ถ้าจะเกิดอะไรก็ให้มันเกิดเถอะค่ะ ตี่ไม่สน” พูดจบหญิงสาวยกมือไหว้ผู้จัดการหนุ่ม เขารับไหว้แทบไม่ทัน ร่างนั้นก็หายลับออกไปจากห้องทำงาน ไม่นานเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น ใบหน้าคมค่อยๆ เครียดขรึมลงทีละนิด เมื่อรับรู้เรื่องราวเหตุการณ์จริงทั้งหมด
“ผมจะไปดูเทปเดี๋ยวนี้”
เวลาเดียวกันทีปกรเองเพิ่งออกมาจากด้านใน เขายังไม่รู้เรื่องอะไรทั้งนั้น แต่ก็ทันได้เห็นตีรณาสะพายกระเป๋าออกไปจากร้าน สายตาคมมองตามจนร่างนั้นลับประตู เสียงเรียกเข้าก็ดังขึ้นเขาจึงยกหูโทรศัพท์ขึ้นมา
“ว่าไง”
“รบกวนคุณไทม์มาที่ห้องควบคุมด้วยครับ เรามีปัญหานิดหน่อย”
ชายหนุ่มเก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋าแล้วเดินตรงไปยังห้องควบคุมกล้องวงจรปิด
ทั้งหมดยืนดูภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจึงรับรู้ความจริงว่าที่ตีรณาพยายามบอกนั้นเป็นความจริงทั้งหมด หญิงสาวถูกลวนลามจากแขกคนเดิมหลายครั้ง จนกระทั่งครั้งสุดท้ายจึงได้เกิดเรื่องขึ้น
“ผมผิดเองครับที่เข้าไปห้ามเอาไว้ไม่ทัน” ผู้จัดการยอมรับผิด แต่ทีปกรยังยืนนิ่ง เขามองภาพเหตุการณ์ไม่ละสายตา
“คุณให้ตีรณากลับบ้านแล้วใช่ไหม” เขาเอ่ยถาม ก่อนจะหันมามองเมื่ออีกฝ่ายตอบออกมา
“เธอลาออกครับ”
ดวงตาเรียวตวัดมองผู้จัดการหนุ่มของตน ใบหน้าคมคายคล้ายมีความโกรธขึ้นวูบหนึ่งก่อนจางหายราวกับไม่เคยเกิดขึ้น
“จะให้ผมตามเธอกลับมาไหมครับ”
ร่างสูงของเจ้านายยืนนิ่ง ก่อนตอบ
“ไม่ต้อง แล้วไอ้หมอนั่นล่ะ”
“ผมให้คนพาไปสงบสติอารมณ์อยู่ครับ”
มุมปากได้รูปของทีปกรกระตุกยิ้ม เอ่ยออกมาคำหนึ่ง
“ดี” ว่าแล้วก็เดินออกจากห้องควบคุม โดยมีร่างสูงของผู้จัดการเดินตามไปไม่ห่าง รู้ทันทีว่าเจ้านายกำลังจะไปไหน
ช่วงสายของอีกวัน หลังจากเดินออกมาจากเดอะ ท็อปไฟฟ์ เลานจ์ แอนด์ บาร์แล้ว หญิงสาวกลับห้องพักอย่างหมดอาลัยตายอยาก มาวันนี้ยังต้องเผชิญกับความหวาดกลัวในใจอีก เหตุการณ์เมื่อคืนดูเล็กจิ๋วลงทันทีเมื่อเทียบกับตอนนี้
ร่างบอบบางนั่งใจสั่นขณะรอคอย ไม่กี่อึดใจหญิงสาวก็ต้องเงยหน้าขึ้น เมื่อเจ้าหน้าที่เรียกชื่อของหล่อน
“คุณตีรณา วงศ์วัชระ”
หญิงสาวผุดลุกขึ้นพลางสูดหายใจเต็มปอด เพื่อระงับอาการตื่นเต้นระคนหวาดหวั่น เดินตามนางพยาบาลเข้าไปพบแพทย์ภายในห้องตรวจ สิบห้านาทีหลังจากนั้นร่างเล็กก็เดินออกมาราวกับคนไร้จิตวิญญาณ มือเรียวเล็กค่อยๆ ยกขึ้นแตะบริเวณหน้าท้องแบนราบของตนด้วยอาการสับสน ทุกอย่างประเดประดังเข้ามาในชีวิต ความซวยทั้งหลายแหล่ทำไมจะต้องดาหน้าเข้ามาพร้อมกันด้วย จะไม่เหลือพื้นที่ให้ยืน ไม่มีช่องว่างให้หายใจเลยใช่หรือไม่
บางที คืนนั้นหล่อนน่าจะถูกรถชนตายไปให้รู้แล้วรู้รอด
หญิงสาวยืนหน้ากระจกในห้องน้ำ น้ำตาเอ่อคลอด้วยความอ่อนล้าหมดแรง สิ่งที่เกิดขึ้นไม่อาจปรึกษาใครได้ทั้งนั้น แต่มีหนึ่งคนที่ควรจะต้องรู้
หญิงสาวมองเบอร์ติดต่อบนหน้าจอมานานนับชั่วโมง แต่จนแล้วจนรอดหญิงสาวก็ยังไม่กดไปที่หมายเลขนั้น ด้วยจิตใจที่แบ่งออกเป็นสองฝ่ายชัดเจน
อย่าไปติดต่อมันอีก คนแบบนั้นมันชั่ว มันไม่สนใจว่าแกจะเป็นตายร้ายดียังไง
แต่เขาควรต้องรู้นะ เด็กคนนี้...
ยัยขี้ขลาด! แกจะไปให้มันเหยียบย่ำซ้ำเติมอีกหรือไง อยากถูกมันย่ำยีอีกใช่ไหมนังโง่!
แต่บางที อาจไม่เลวร้ายขนาดนั้น อาจไม่...
นี่แกเป็นคนหรือเป็นควาย
...
ตามใจ ถ้าถูกทำร้ายมาอีกเมื่อไรก็อย่าร้องไห้ฟูมฟายแล้วกัน เพราะอะไรรู้ไหม เพราะว่าคนที่เจ็บแล้วไม่รู้จักจำมันน่าสมเพช
แต่ท้ายที่สุด ปลายนิ้วเรียวก็กดลงไปบนหมายเลขที่โชว์หน้าจอ
Rrrrr Rrrrrr
เสียงสั่นจากไอโฟนทำให้คนที่นอนหลับอยู่ในห้องมืดสนิทขมวดคิ้วเล็กน้อย ร่างเปลือยภายใต้ผ้าห่มผืนหนาลืมตาขึ้นพร้อมกับหันไปหยิบขึ้นมาแนบหูโดยไม่ดูว่าเป็นเบอร์ของใคร
“สวัสดีครับ”
ตีรณาเม้มปากเมื่อได้ยินเสียงคุ้นเคยติดแหบห้าว ขณะที่คนรับสายเริ่มถอนหายใจยาวด้วยความหงุดหงิดเมื่อต้นทางเงียบหาย เขาดึงไอโฟนออกมาดูหน้าจอ เห็นเบอร์ไม่คุ้นเคยจึงแนบหูและกรอกเสียงลงอีกครั้ง
“ถ้าไม่พูดจะวางแล้วนะ”
คนที่กดโทร.เกือบวางสายแต่บางสิ่งสำคัญเกินจะทำตามอารมณ์
“ฉันเอง ตีรณา”
คนที่กำลังจะตัดสายทิ้งชะงักมือ คิ้วสีเข้มที่ขมวดมุ่นค่อยๆ คลายออก ไม่คิดว่าจะได้ยินเสียงของหญิงสาว
“ว่าไง”
น้ำเสียงเรียบๆ ที่เอ่ยถามไม่บ่งบอกอารมณ์นั้นทำให้หญิงสาวรู้สึกไม่มั่นใจนัก ว่าการทำแบบนี้จะดีกับหล่อนและเด็กในท้องหรือไม่
“ฉันมีเรื่องสำคัญต้องพูดกับคุณ”
ชายหนุ่มมองไปที่นาฬิกา บอกเวลาสิบเอ็ดนาฬิกาสามสิบนาที
“ก็พูดมาสิ ฟังอยู่”
หญิงสาวกัดริมฝีปากตนเองอีกครั้งก่อนตัดสินใจบอกออกไปโดยไม่อ้อมค้อม
“ฉันท้อง”