๑๑ ข้อเสนอ

2357 Words
๑๑ ข้อเสนอ คำถามจากหญิงชราและสายตาที่มองมาอย่างเข้มงวดนั้นทำให้อารมณ์ของทีปกรที่กำลังปะทุเดือดเต็มที่ค่อยๆ ทุเลาลงในเวลาต่อมา ชายหนุ่มยกมือขึ้นทำความเคารพหญิงชราแล้วเอ่ยแนะนำตนเองกับท่าน “สวัสดีครับ ผมชื่อทีปกร ขอโทษที่ทำเสียงดัง ผมแค่ต้องการมาเจรจากับคุณตีรณาเรื่องเด็กครับ” ทีปกรไม่อ้อมค้อมให้เสียเวลา เพราะเป็นบุคลิกประจำตัวของเขาอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องชักแม่น้ำทั้งห้า เข้าเรื่องให้รู้กันไปเดี๋ยวนั้นเลยว่าจะหมู่หรือจ่า ย่าจิตมองหลานสาวอย่างจะถามว่าจะเอาอย่างไร แต่เมื่อเห็นสีหน้าสีตาที่มองตรงไปยังชายหนุ่มรูปหล่อร่างสูงยาวเข่าดีตรงหน้าท่านก็ต้องทอดถอนใจอย่างพอจะรู้คำตอบ “เพิ่งมาถึง เชิญนั่งก่อนเถอะคุณ ไหนมาคุยกับย่าหน่อยสิ เล่าที่มาที่ไปของคุณให้ย่าฟังสักหน่อยก่อนจะพูดเรื่องหนักๆ” ในเมื่อเจ้าของบ้านตัวจริงกล่าวเช่นนั้น ทีปกรที่สบตาตีรณาจึงยอมทำตามโดยการเดินมานั่งลงที่เก้าอี้ม้าหิน เมื่อฝ่ายผู้มาเยือนทำตามอย่างไม่มีคำโต้แย้งใด ย่าจิตจึงหันมาสบตาหลานสาวแล้วพยักหน้าให้นั่งลง โดยมีท่านตามไปนั่งข้างกันกับหลานสาว ย่าจิตกวาดตามองหนุ่มหล่อที่ชื่อทีปกรอย่างพิจารณา มองเห็นเค้ารางๆ ของคนตัวน้อยที่นอนหลับปุ๋ยอยู่ในเปลบนใบหน้าของชายผู้นี้ “คุณอยู่ที่ไหนรึ” ทีปกรกะพริบตาขณะสบตาผู้ถาม เขานิ่งไปอึดใจก่อนตอบ “ผมอยู่กรุงเทพฯ ครับ” เขาตอบท่าน เหลือบตามองหญิงสาวที่นั่งข้างๆ หญิงสูงวัย “คุณรู้จักตี่ได้ยังไงล่ะ” ตีรณาเหลือบตามองย่าแวบหนึ่ง ก่อนจะมองเขาด้วยแววตาไม่เป็นมิตร ทีปกรยกยิ้มเล็กน้อยก่อนตอบ “เราทำงานที่เดียวกันครับ” หญิงสาวได้ฟังแล้วขบเม้มริมฝีปากเข้าหากัน มือที่วางประสานขมวดกำ รู้สึกอึดอัดเมื่อเขาเล่าถึงเรื่องนี้ ภาพเก่าๆ ย้อนคืนมาในห้วงความคิด ทั้งที่พยายามลืมมันมาได้สักระยะหนึ่งแล้ว “คบกันนานไหม แล้วมีเหตุผลอะไรถึงต้องเลิกกัน” คำถามจี้จุดดำในใจของคนทั้งสองทำให้ต่างฝ่ายต่างเงียบงัน ทีปกรมองอดีตลูกจ้างนิ่ง ก่อนหันมาสบตาย่าจิตที่กำลังมองมาอย่างคาดคั้น แววตาเข้มงวดดุดัน ท่านเองยอมรับว่ามีอคติกับคนตรงหน้าอยู่เป็นทุนเดิม เพราะเขาทอดทิ้งหลานสาวของท่านให้ต้องอุ้มท้องระเหเร่ร่อนเพียงลำพัง สภาพของตีรณาตอนนั้นเหมือนนกปีกหัก แต่ดูคนตรงหน้านี้สิ ต่างกันราวฟ้ากับเหว ท่าทางอยู่ดีมีความสุข ไม่ได้ทุกข์ร้อนใดๆ “เราไม่ได้คบกันครับ” เขาสบตาคนถามก่อนจะมองไปยังหญิงสาว “อันที่จริง เราแทบไม่รู้จักกันเลยด้วยซ้ำไป” คำตอบด้วยน้ำเสียงปกติ และแววตาราบเรียบของคนตรงหน้า ทำให้หญิงวัยใกล้แปดสิบต้องถอนลมหายใจยาว ท่านมองหลานสาวที่นั่งข้าง เรื่องนี้ตีรณาไม่เคยปริปากบอกใครแม้แต่คนเดียว อาจคงเป็นเพราะเหตุนี้กระมัง จึงทำให้หลานสาวไม่อยากเอ่ยถึงพ่อของลูก “แล้วทำไมถึงอยากจะคุยเรื่องเด็กล่ะ ในเมื่อคุณเองก็ไม่ได้ต้องการแกแต่แรกไม่ใช่หรอกรึ” ในเมื่อเขาเป็นคนตรงขนาดนี้ ย่าจิตก็เลยถามออกไปตรงๆ เช่นกัน “ผมอาจไม่ใช่คนดีนัก แต่ก็ไม่ถึงกับไร้จิตสำนึกโดยสิ้นเชิงในเรื่องนี้” เมื่อฟังเขาพูด ตีรณาก็หัวร้อนขึ้นมาทันที “อ๋อเหรอ ไม่ไร้จิตสำนึกเลยนะ คุณไม่ยอมรับเด็กในท้องฉันแต่แรก ไม่เชื่อว่าเขาเป็นลูกคุณ แล้วยังไม่สนใจด้วยว่าฉันจะทำไงกับเด็ก ไม่สะทกสะท้านหากฉันจะกำจัดเขาให้พ้นทาง แบบนี้เหรอที่เรียกว่าไม่ไร้จิตสำนึกน่ะ” ดวงตาคมกริบวาววับตวัดมองไปยังตีรณา เกิดความเดือดดาลขึ้นมาวูบหนึ่ง แต่เมื่อหันมาสบตาของคุณย่าตรงหน้า เขาก็ชะงัก ไม่ได้อยากจะมาเป็นตัวร้ายให้ใครนึกชังน้ำหน้านักหรอก แต่บุคลิกและนิสัยเขามันเป็นแบบนี้แต่แรกจะให้ทำไง “ผมยอมรับครับว่าผมผิด” เขาหันมายอมรับกับคุณย่าจิต ก่อนจะหันไปมองตีรณาที่หน้าแดงก่ำ “แต่ผมก็พยายามเสนอกับคุณตี่ตั้งแต่แรกที่รู้ว่าเธอท้อง” ตีรณาทำเสียงเยาะในลำคอ เมินหน้าออกไปทางอื่น รู้สึกอยากกรีดร้องกับความเย็นชาและเห็นแก่ตัวของเขา “เสนออะไร” ย่าจิตถาม “ผมขอให้เธอไปอยู่กับผม” “ไม่ใช่ คุณไม่ได้ให้ฉันไปอยู่กับคุณ” หญิงสาวโต้กลับทันควัน ทำให้ชายหนุ่มตวัดตามอง ก่อนจะแก้ให้ถูกต้อง “หมายถึงที่ที่ผมเตรียมไว้ให้ครับ” เขาเว้นระยะไปอึดใจ “อยากให้รอจนกว่าเด็กจะคลอด แล้วเราค่อยหารือกันเรื่องนี้อีกทีเท่านั้น ไม่ได้ผลักไสเธอเลยสักนิด แต่ในเมื่อเธอไม่เลือกผมก็เลยไม่ห้าม ถ้าเธอเลือกไป” เขาตวัดตามองหญิงสาวแวบหนึ่ง เห็นเจ้าของร่างอวบอิ่มกำลังสั่นด้วยความโกรธจัด “เขาไม่เชื่อว่าเด็กคนนี้เป็นลูกของเขา เลยจะรอให้เด็กคลอดแล้วตรวจดีเอ็นเอค่ะย่า” หญิงสาวหันมาสบตาผู้เป็นย่า ดวงตากลมโตมีรอยรื้นของหยาดน้ำตาวูบหนึ่งก่อนจางหาย ทีปกรหลุบตาลงก่อนยอมรับความจริง “ใช่ครับ” สองย่าหลานมองคนที่ยอมรับออกมาตรงๆ แต่คนละความรู้สึก สำหรับย่าจิต ท่านคิดว่าต่อให้ไอ้หนุ่มตรงหน้าจะเลวร้ายแค่ไหน แต่อย่างน้อยก็ไม่พูดปดมดเท็จ มันอาจไม่ใช่คนดีนัก แต่มันก็เป็นคนตรงใช้ได้ แต่สำหรับหลานสาวแล้ว ทีปกรคือผู้ชายเลวๆ คนหนึ่งเท่านั้น ไม่มีอะไรดีเลยสักนิดเดียว “ย่าคะ ตี่ขอตัวก่อนนะคะ” พูดจบ ร่างอวบก็กลับเข้าบ้านโดยมีสายตาของทีปกรและย่าจิตมองตาม ก่อนจะหันมาสบตากันอีกครั้ง “คุณต้องการอะไร ถ้าผลออกมาว่าเด็กคนนี้เป็นลูกคุณ แล้วจะทำยังไงต่อ ขอให้บอกตามความจริงนะ อย่าได้มีลับลมคมนัยอะไรเลย ฉันแก่แล้ว คงเหลือเวลาไม่มากที่จะมานั่งทำความเข้าใจกับคนหนุ่มสาวนักหรอก” ชายหนุ่มยกยิ้มเล็กน้อยกับหญิงชราตรงหน้า “ผมแค่อยากทำทุกอย่างให้ถูกต้อง ตั้งใจจดทะเบียนรับรองบุตร ส่งเสียเลี้ยงดูไม่ให้เขาต้องลำบากไปจนจบมหาวิทยาลัย” เขาแจ้งให้ท่านทราบตามที่ได้คิดวางแผนเอาไว้ ย่าจิตนิ่งมองอยู่อึดใจก่อนพยักหน้าเบาๆ “แค่นี้รึ” “ครับ แค่นี้” “แล้วเจ้าตี่ล่ะ คุณคิดยังไงกับหลานของฉัน” คิ้วสีเข้มขมวดเข้าหากัน ทว่าดวงตาคมเฉี่ยวสบนัยน์ตาพร่าเบลอไม่ว่อกแว่ก “ผมกับคุณตี่เราไม่ได้มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันนักครับ เราเหมือนคนแปลกหน้า ที่ผ่านมาและผ่านไปเท่านั้น ไม่ได้ผูกพันลึกซึ้งแต่อย่างใด ส่วนความหมายของการรับผิดชอบของผมก็คือการส่งเสียเลี้ยงดูเป็นตัวเงินเท่านั้น อย่างอื่นคงเป็นไปไม่ได้” คนเป็นย่าหรี่ตามองชายหนุ่มนิ่งและคราวนี้นานเลยทีเดียวกว่าจะเอ่ยออกมาอีกครั้ง “คุณคิดว่าหลานของฉันเป็นคนแย่มากขนาดที่คุณจะไม่สามารถเรียนรู้ได้เลยรึ” คำถามของท่านทำให้ทีปกรอึ้งงันไปนานหลายวินาที เขาไม่คิดว่าท่านจะเอ่ยถามประโยคนี้ และเขาก็ไม่ได้เตรียมคำตอบมาเสียด้วย “คือ...” เจ้าของใบหน้าหล่อเหลาฉายแววครุ่นคิด เป็นครั้งแรกที่เขาเผยความไม่มั่นใจในตนเองออกมาให้ผู้อื่นเห็น คุณย่าจิตยิ้มอ่อนแล้วถามออกมา “ตอนนี้คุณคบใครอยู่หรือเปล่า มีครอบครัวหรือยัง” ชายหนุ่มเริ่มมองคุณย่าด้วยสายตาไม่ไว้วางใจ แต่ก็ยอมตอบคำถามนั้น “ยังครับ ผมรักอิสระ” “อ้อ” ท่านเริ่มรู้จักพ่อหนุ่มตรงหน้ามากขึ้น พลางพยักหน้า “ไม่ชอบการผูกมัดสินะ” ผู้มากวัยกว่ามองตาอย่างรู้เท่าทันความคิด นี่คือสาเหตุหลักที่หลานสาวของท่านต้องตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ “ฉันมีข้อเสนอให้คุณบ้าง คุณอยากฟังไหม” ชายหนุ่มขมวดคิ้วก่อนจะคลายออกช้าๆ เมื่อคุณย่าบอกออกมาอย่างไม่อ้อมค้อม หญิงชราตรงหน้าเขานี้ไม่ใช่คนโง่ “ฉันอยากให้คุณมาอยู่ที่นี่สักสามเดือน ใช้ชีวิตอยู่กับเจ้าตี่และลูก ไม่ได้ให้มีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกันหรอกไม่ต้องทำหน้าแบบนั้น ฉันแค่อยากให้คุณลองเลี้ยงลูกดูสักสามเดือน แล้วค่อยมาพูดเรื่องจดทะเบียนรับแกเป็นลูก ส่วนเรื่องเงิน พวกเราไม่ได้ขัดสนหรอกคุณไม่ต้องห่วง ถึงไม่รวยแต่ก็พอมีปัญญาส่งเสียเหลนให้เรียนจนจบชั้นสูงๆ ได้เหมือนกัน” ความหยิ่งทะนงแบบนี้ทีปกรคุ้นๆ ว่าจะเคยได้เห็นจากใคร กระทั่งร่างอวบเดินออกมาเขาจึงได้รับคำตอบชัดเจน “ผมไม่สะดวกแบบนี้ครับ ผมมีงานที่ต้องดูแลหลายที่ คงอยู่ที่ไหนคราวละนานๆ ไม่ได้” ได้ฟังดังนั้นหญิงชราจึงนิ่งเงียบไปอึดใจใหญ่ แล้วหันไปมองหลานสาว “ตี่ เจ้าหนูตื่นหรือยังล่ะ” ทีปกรขยับตัวโดยอัตโนมัติ ทันทีที่ย่าจิตหันไปถามหลานสาว หัวใจเขาเต้นแรงขึ้น “ตื่นแล้วค่ะ” ตอบย่าอย่างเสียไม่ได้ “งั้นก็ไปพาออกมาเจอหน้าแขกหน่อยสิ” คิ้วโก่งเรียวย่นชนกัน มองย่าจิตและผู้ชายตรงหน้าด้วยความไม่เต็มใจ “เร็วๆ” เมื่อเป็นคำสั่งของท่านหญิงสาวจึงต้องจำใจพาลูกชายตัวน้อยออกมาพบหน้าคนที่ไม่สมควรได้ชื่อว่าพ่อ ทีปกรชะเง้อมองตามอย่างลืมตัว พอหันมาเห็นสายตารู้ทันของย่าจิตเขาก็ขยับตัวนั่งตรง ปรับสีหน้าเป็นปกติ ไม่แสดงอาการตื่นเต้นออกมาอีก แม้ในใจจะเต้นรัวปานใดก็ตาม เขากำลังรู้สึกตื่นเต้นที่จะได้พบหน้าเจ้าหนู ตีรณาอุ้มลูกชายออกมานั่งข้างๆ ย่าจิต คนตัวเล็กมองตาแป๋ว ไม่ได้เจาะจงที่ใคร แต่กลับทำให้หัวใจของทีปกรกระตุกวาบนิ่งงันมองเด็กน้อยด้วยสายตาตื่นเต้น ย่าจิตแอบยิ้มเมื่อเห็นอาการของผู้มาเยือน “กำลังกินจุเลย อยากลองอุ้มไหมล่ะ” คำถามของย่าจิตทำให้หลานสาวหันมามองท่านด้วยใบหน้างอเง้า คนเป็นย่าหัวเราะเบาๆ พลางบอก “อย่าหวงนักเลยเจ้าตี่ เขาอุตส่าห์ขับรถมาตั้งไกล ให้เขาอุ้มสักหน่อยเถอะ” ทีปกรมองย่าจิตด้วยแววตาซาบซึ้ง นึกรักท่านขึ้นมาจับใจเลยทีเดียว “ขอบคุณครับ” เขากล่าวขอบคุณท่านอย่างจริงใจ เฝ้ามองร่างอวบเดินอ้อมมาหาเขาแล้วส่งลูกชายให้อุ้ม ชายหนุ่มรับเจ้าหนูตัวกลมมาด้วยอาการเก้ๆ กังๆ จึงถูกหญิงสาวดุออกมา “ทำดีๆ ได้ไหม เดี๋ยวลูกฉันก็ตกพื้นหรอก จับตรงนี้สิ เอ๊ะ บอกว่าตรงนี้” คิ้วเข้มย่นชนกันพลางตวัดตามองหญิงสาว “ก็จับอยู่นี่ไง ไม่เห็นเหรอ” เขาเถียงกลับ พร้อมกับกอดลูกไว้แน่นจนเจ้าหนูเริ่มส่งเสียงประท้วง “อย่ารัดเขาแน่นนักสิ เห็นไหมว่าทำเขาอึดอัด คนบ้าอะไรเนี่ย อุ้มไม่เป็นแล้วยังอยากจะอุ้ม” หญิงสาวต่อว่าไม่หยุด ทำให้คนเป็นย่าต้องถอนหายใจยาว ห้ามทัพก่อนที่ทั้งคู่จะเริ่มศึก “พอได้แล้ว จะเสียงดังกันทำไม ตี่มานั่งข้างย่า” ตีรณามีอาการไม่อยากขยับออกจากตรงนั้น เพราะกลัวทีปกรทำลูกของหล่อนหล่น แต่เมื่อสบตาของย่าจิต หญิงสาวจำต้องถอยไปนั่งข้างๆ ท่าน ได้แต่ส่งสายตาอาฆาตไปยังชายหนุ่มที่พยายามอุ้มลูกด้วยอาการทะนุถนอมสุดฤทธิ์ ดวงตาสีเข้มหลุบมองเจ้าหนูน้อยในอ้อมแขน ผิวพรรณของคนตัวเล็กขาวผ่องเป็นยองใยจนกลายเป็นสีชมพู เขาเหลือบตาขึ้นมองคนเป็นแม่แวบหนึ่ง ตีรณาเป็นสาวผิวขาว เขาเองก็เช่นกัน ลูกเกิดมาจึงขาวใสแบบนี้ จมูกน้อยๆ โด่งพุ่งมาก นี่ก็เหมือนเขาเชียว ปากอีก คิ้วก็ด้วย ทีปกรเผลอยิ้มออกมาโดยลืมไปว่ากำลังถูกจับตามองจากสองย่าหลาน จากคนที่ประกาศชัดเจนว่าไม่เชื่อว่าเด็กคนนี้เป็นลูกตนเองมาแต่แรก กลับมีอาการปลาบปลื้มอย่างออกนอกหน้าจนสองย่าหลานต้องสบตากัน สำหรับย่าจิตนั้นท่านมั่นใจว่าทีปกรอาจจะรู้อยู่แก่ใจตนเองดี แต่ที่ยังไม่ยอมรับน่าจะมีเหตุผลอื่นมากกว่านั้น จะด้วยเหตุผลกลใดคงต้องให้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ เมื่อคิดได้เช่นนั้น ย่าจิตจึงเอ่ยถามออกมาอีกครั้ง “ทีนี้บอกได้หรือยัง ว่าจะตัดสินใจอย่างไร เรื่องที่ฉันเสนอไป” คนที่กำลังนั่งมองลูกชายเพลินเงยหน้าขึ้นสบตาคนถาม เช่นเดียวกับตีรณาที่มองย่าด้วยสายตากังขางุนงง ย่าไปตกลงอะไรกับคนบ้าอย่างนั้นหรือ...
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD