๕
ไม่สำคัญ
ร่างสูงหยุดอยู่หน้าห้องพักเก่าโทรมแห่งหนึ่ง เขามองไปยังทางเดินของอาคารที่ค่อนข้างอึมครึมเพราะอายุขัยอันยาวนานของหลอดไฟที่ติดบนเพดานและผนัง บางดวงติดๆ ดับๆ จนเขาอดคิดไม่ได้ว่าหล่อนทนอยู่ที่นี่ได้อย่างไรกัน ก่อนจะหันกลับมายังประตูที่ตนหยุดยืน
ก๊อก ก๊อก
เสียงเคาะประตูห้องทำให้ตีรณาขมวดคิ้ว ค่อนข้างแปลกใจไม่น้อยที่จู่ๆ ก็มีเสียงเคาะประตูดังอยู่นอกห้อง คิดว่าฟังผิดจึงยังไม่ขยับ ทว่าเสียงนั้นก็ดังขึ้นอีกครั้งอย่างชัดเจน
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
คราวนี้ดังขึ้นสามครั้ง เป็นเสียงเคาะหนักและรัว ทำให้รู้ว่าผู้เคาะเริ่มจะหงุดหงิดขึ้นมาบ้างแล้ว
ร่างบางที่กำลังนั่งพับผ้าอยู่กับพื้นจำต้องลุกขึ้น และตรงไปยังประตูห้อง
หญิงสาวมองลอดช่องตาแมวแล้วต้องชะงัก เมื่อเห็นใบหน้าของคนที่มาเคาะประตูเข้าอย่างจัง
เขา...มาได้ไง
หัวใจดวงน้อยสั่นระรัว หน้าร้อนวูบวาบ แต่ร่างกายเย็นเยียบ
คนข้างนอกเม้มปาก ยกมือขึ้นเคาะประตูอีกครั้งเมื่อไม่ได้ยินเสียงตอบรับหรือการเปิดประตูให้
“ถ้าอยู่ก็เปิดประตูได้แล้ว ฉันมีเรื่องต้องคุยกับเธอ”
หญิงสาวเม้มปาก กำมือแน่น แต่หล่อนไม่อยากคุยกับเขานี่ แม้แต่หน้าก็ยังไม่อยากเห็น!
“คุณมีอะไรจะพูด” หญิงสาวร้องถามออกไปโดยไม่ยอมเปิดประตูให้
“เปิดประตูเดี๋ยวนี้” เขาเอ่ยเสียงต่ำ ความหงุดหงิดทวีเพิ่มขึ้น
เจ้าของห้องหัวคิ้วกระตุก เขาใช้สิทธิ์อะไรมาสั่ง อยู่ที่ร้านเขาอาจมีอำนาจสูงสุด แต่ที่นี่ เวลานี้เขาไม่มีอะไรเลย
“ฉันไม่สะดวก ถ้าคุณไม่พูดก็กลับไป”
“ไม่เปิดแน่ใช่ไหม”
น้ำเสียงของเขาทำให้คนที่อยู่หลังประตูรู้สึกเย็นวาบ หล่อนรู้ว่าเขาทำได้ทุกอย่าง คนอย่างทีปกรร้ายและเลือดเย็นกว่าที่ใครจะรู้
ไม่กี่อึดใจ ประตูบานนั้นจึงแย้มเปิดออกช้าๆ ร่างสูงสบตากลมโตที่มองมาทันทีที่ประตูเปิดกว้าง เขาก้าวเข้าไปพร้อมกวาดตามองทั่วห้องคับแคบไม่กี่ตารางเมตรตรงหน้า พลางหลุบตามองกองเสื้อผ้าและข้าวของนิ่งอยู่หลายวินาทีจึงสบตาที่มองมาอย่างหวาดระแวงของเจ้าของห้องอีกครั้ง
“ทำไมไม่ไปทำงาน”
คนถูกถามเม้มปากเข้าหากัน ใบหน้าบึ้งตึง เขายังมีหน้ามาถามอีกหรือ คนสารเลว!
“ฉันว่าจะลาออก”
คนฟังหรี่ตาแคบ ตวัดมองไปยังกองสัมภาระของหญิงสาวอีกครั้ง
“ก็ทำให้เรียบร้อย ไม่ใช่คิดจะหายหัวก็หาย มีสมองก็คิดบ้างว่าทำให้คนอื่นเขาต้องเหนื่อยเพิ่มขึ้นมากแค่ไหน”
คำตำหนิของเขาทำให้หญิงสาวตวัดตามองอย่างโกรธจัด
ไอ้คนเฮงซวย!
“พนักงานไม่ไปทำงานคนเดียวมันถึงกับทำให้ร้านของคุณล่มจมเลยเหรอ ไม่ยักรู้ว่าพนักงานหายไปคนหนึ่งเจ้าของถึงกับต้องออกตามหา!”
“ปากเก่ง”
เสียงทุ้มกดต่ำ ขายาวในกางเกงเนื้อดีขยับเข้าไปหาเจ้าของห้องปากแจ๋ว หญิงสาวเม้มปากถอยหลังไปสองสามก้าว พลางกวาดตามองหาอาวุธ ครั้งนี้จะไม่ยอมให้เขาทำร้ายได้อีก
“อย่าเข้ามานะ”
คนฟังกระตุกยิ้ม ดวงตาวาววามไม่น่าไว้ใจเลยสักนิด
“สายไปหน่อยมั้ง เธอเปิดประตูรับฉันเข้ามาเอง ลืมแล้วเหรอ”
หญิงสาวมองไปยังประตูที่ปิดสนิทของห้องแล้วนึกเจ็บใจตัวเอง ที่กี่ครั้งก็ยังโง่
“คุณบอกจะพูดธุระ” หญิงสาวเปลี่ยนเรื่องคุย พยายามใจดีสู้เสือ และชายหนุ่มเองก็มองออกว่าตีรณากำลังหวาดกลัวเขามากแค่ไหน
“พรุ่งนี้ฉันต้องเห็นว่าเธอไปทำงาน”
ดวงตาคู่งามวาววับ
“คุณไม่เข้าใจหรือไง ว่าฉันไม่ไปแล้ว ฉันลาออก”
ชายหนุ่มเลิกคิ้วขึ้น ริมฝีปากบางได้รูปยิ้มเยาะ
“ฉันไม่อนุญาตให้ลาออก” พูดแค่นั้นแล้วกวาดตามองห้องพักของตีรณาอีกครั้ง แม้สายตาจะไม่แสดงออกมาว่าหมิ่นแคลน แต่หญิงสาวรู้ดีว่าเขาคงกำลังคิดว่าหล่อนกระจอกมากแค่ไหน “อย่าให้ฉันต้องมาตามเธอด้วยตัวเองอีกเป็นครั้งที่สองนะ”
หญิงสาวกำมือแน่นเมื่อถูกข่มขู่คุกคาม
“คุณทำแบบนี้ทำไม ทำไมไม่ปล่อยฉันไปตามทาง ฉันไปทำอะไรให้คุณกัน”
หญิงสาวเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ ดวงตาแดงก่ำขึ้นมา แต่ไม่มีคำตอบจากปากของเขา ร่างสูงยืนนิ่งสบตาหล่อนอยู่อึดใจใหญ่ก่อนจะหมุนตัวออกจากห้อง เมื่อประตูปิดลงร่างบางก็ทรุดตัวนั่งลงกับพื้น น้ำตาไหลออกมาด้วยความคับแค้นใจ พลางปัดเสื้อผ้าที่พับเอาไว้เรียบร้อยแล้วจนกระจายทั่วห้อง
ดุษิตาเบิกตากว้างเมื่อร่างบอบบางของตีรณาเดินตรงมาด้วยความดีใจ
“ตี่ หายไปไหนมาตั้งสามวัน รู้ไหมว่าพวกพี่เป็นห่วงแทบแย่” ดุษิตาและกันยากรูเข้ามาหาเพื่อนรุ่นน้อง ตีรณายิ้มให้คนทั้งสอง รู้สึกซึ้งใจที่ยังมีคนเป็นห่วงยามที่เงียบหายไปเฉยๆ
“ตี่มีปัญหานิดหน่อยค่ะ แต่จัดการเรียบร้อยแล้ว ขอโทษที่ไม่ได้บอกกับพี่ๆ”
กันยามองตีรณาด้วยสายตาจับผิด หล่อนมั่นใจว่าต้องเกี่ยวกับเจ้านายสุดหล่อของพวกตน เพียงแต่ตีรณาไม่ยอมบอกเท่านั้นว่าเกิดอะไรขึ้นในคืนนั้น ทั้งยังเลือกตอบเลี่ยงๆ เสียอีก
ดุษิตาเองก็ดูเหมือนจะรู้ทัน ฝ่ายนั้นเหลือบตามองเพื่อนแวบหนึ่งก่อนจะหันไปยิ้มให้อีกฝ่าย
“เมื่อไม่มีอะไรใหญ่โตก็ดีแล้ว แต่ถ้าตี่เกิดมีปัญหาอะไรขึ้นมา บอกกับพวกพี่สองคนได้เลยนะ พวกพี่เต็มใจช่วย สามหัวดีกว่าหัวเดียวนะตี่”
หญิงสาวสบตาคนทั้งสองนิ่ง ซาบซึ้งจนกระบอกตาร้อนผ่าว แต่เวลาเดียวกันก็เหลือบตาไปเห็นร่างสูงของคนที่บังคับให้กลับมาทำงาน หัวใจพลันร้อนฉ่าเมื่อสบตาคมกริบคู่นั้น คล้ายกับว่าจะเห็นริมฝีปากของเขากำลังยกยิ้ม แต่เพียงแวบเดียวก็จางหายก่อนเบือนหน้าไปทางอื่นเสีย
“ขอบคุณพี่ๆ มากนะ”
“ไม่เป็นไร คิดเสียว่าพี่เป็นพี่เราอีกคนแล้วกันนะ” กันยาพูดบ้าง พลางสบตากับดุษิตา เพราะแม้ตีรณาจะพยายามยิ้มสดใส ทว่าแววตากลับเศร้าอย่างน่าใจหาย
วันนี้ยังมีแขกวีไอพีมาเหมือนเดิม แต่ตีรณากลับเป็นคนเดียวที่ไม่ถูกเรียกให้เข้าไปบริการแขกพวกนั้น หญิงสาวจึงเดินเสิร์ฟเครื่องดื่มอยู่ด้านนอก ซึ่งก็ดีสำหรับหล่อน
หลายครั้งที่ได้สบตากับทีปกร แต่เขาก็แค่มองไม่เคยเฉียดเข้าใกล้ ไม่เรียกหาอีก กระทั่งถึงเวลาเลิกงานหญิงสาวก็กลับบ้านตามปกติ คิดถึงเหตุการณ์เลวร้ายที่เกิดขึ้นโดยเฉพาะครั้งสุดท้าย หญิงสาวไม่สบายใจเลยสักนิด ทั้งยังรู้สึกหวาดกลัวจนจะกลายเป็นแพนิค
คืนนั้น เขาไม่ได้ป้องกัน...
หญิงสาวใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวมาหลายวันเพราะเรื่องนี้ แม้จะกินยาคุมฉุกเฉินไปแล้วก็ตาม แต่กว่าจะนึกได้ก็วันรุ่งขึ้นว่าต้องทำอย่างไร เพราะมัวแต่หวั่นวิตกและเสียใจ ขณะที่สมองเต็มไปด้วยความคิดสับสน รถยนต์คันหนึ่งก็แล่นปราดตรงมาอย่างรวดเร็ว ทำให้คนที่กำลังใจลอยก้าวลงไปบนถนนกรีดร้องด้วยความตกใจเมื่อรถยนต์คันนั้นเบรกเอี๊ยดพร้อมเสียงบีบแตรยาวดังสนั่น
“อยากตายหรือไงยะ!!” เสียงก่นด่าออกมาเป็นเสียงของผู้หญิงเจ้าของรถยนต์หรู ตีรณาที่หัวใจหายไปทั้งดวงจึงรู้สึกตัวรีบถอยหลังกลับไปยืนบนฟุตพาทตัวสั่นงันงก รู้สึกเย็นวาบไปตลอดสันหลัง
“ขะ ขอโทษค่ะ” หญิงสาวยกมือไหว้หญิงวัยกลางคนคนนั้น เจ้าหล่อนค้อนขวับ หน้าตาราวจะกินเลือด
“จะข้ามถนนหัดมีสติบ้างนะ ใจลอยแบบนี้เดี๋ยวก็ได้ไปเกิดใหม่หรอก”
พูดจบประตูรถยนต์คันนั้นก็ปิดลงดังปัง ตีรณาสะดุ้งอีกครั้งและมองรถคันนั้นเคลื่อนออกไปก่อนจะผ่อนลมหายใจยาวเหยียด
“บ้าจัง ทำไมใจลอยแบบนี้นะ” หญิงสาวบ่นกับตนเองเบาๆ พลางหันไปมองรอบกาย ถนนค่อนข้างโล่งเพราะดึกมากแล้ว กระทั่งมีรถยนต์คันหนึ่งเคลื่อนมาจอดตรงหน้า
“เป็นอะไรหรือเปล่า”
หญิงสาวนิ่งงันกับคำถามของเจ้าของรถ อึ้งอยู่ครู่จึงส่ายหน้าเบาๆ
“ขึ้นรถสิ”
หญิงสาวสบตาคมที่มองมาแล้วส่ายหน้าอีกรอบ
“ฉันกลับเองได้” พูดจบ หญิงสาวก็มองซ้ายขวาแล้วเรียกแท็กซี่ทันที ชายหนุ่มหรี่ตามองการกระทำของหญิงสาวที่เดินไปขึ้นรถแท็กซี่คันที่จอดอยู่ด้านหลังรถยนต์ของเขาก่อนจะขับออกไปด้วยความหงุดหงิด ในเมื่อหล่อนจองหองนักเขาก็จะไม่ยุ่งด้วยอีก!
ทีปกรไม่รู้ว่าทำไมต้องห่วงหล่อน ทั้งที่ปกติไม่ค่อยสนใจผู้หญิงคนไหนนัก จบแล้วก็จบกัน อาจเป็นเพราะสิ่งที่เขาทำกับหล่อน อาจเป็นเพราะความรู้สึกผิด และสายตาเจ็บช้ำเศร้าหมองที่ทำให้เขาลืมเด็กนั่นไม่ลงเสียที
ชายหนุ่มปัดภาพใบหน้าหวานเย่อหยิ่งของหญิงสาวพ้นทาง เขาไม่ต้องสนใจหล่อนอีก ไม่จำเป็นต้องทำแบบนั้น ในเมื่อเขาได้พยายามแล้วแต่หล่อนไม่ยอมรับความช่วยเหลือก็ช่างหล่อน...
ด้านตีรณานั้นเมื่อกลับมาถึงห้องพัก หญิงสาวก็ต้องนั่งสงบสติอารมณ์ตนเองอยู่นาน เพราะยังรู้สึกใจหายกับเหตุการณ์เกือบถูกรถยนต์ที่เกิดจากความไม่มีสติของตนเองชน
หญิงสาวนึกถึงแววตาคมดุคู่นั้น ทุกอย่างไม่ใช่เพราะเขาหรอกหรือที่เป็นต้นเหตุ ผู้ชายมักง่าย ข่มเหงไม่พอยังข่มขู่เอาเปรียบกันอย่างร้าย เอาเถอะ จะยอมทำงานที่นี่ต่อไปอีกสักพัก หางานใหม่ได้เมื่อไหร่จะไปแล้วไปลับไม่กลับมาอีกเลย จะลืมความทรงจำเลวร้ายนี้ให้หมด
หญิงสาวตั้งมั่นกับตนเอง ก่อนจะเข้าห้องน้ำชำระล้างร่างกายเพื่อพักผ่อนเอาแรง วันนี้หล่อนรู้สึกเพลีย อาจเป็นเพราะหลายวันที่ผ่านมานอนไม่ค่อยหลับ วันนี้ได้ทำงานจึงเดินไม่หยุด ทำให้ร่างกายรู้สึกอ่อนล้า ดวงตาก็ทำท่าจะปิดอยู่รอมร่อ ทว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับตนเองกลับไม่เคยจางหายไปจากความคิด แม้ยามหลับยังฝันถึง เป็นฝันร้ายยาวนาน ไม่รู้ว่าจะจบลงที่ตรงไหน
โลกใบนี้ไม่เคยใจดีกับผู้หญิงที่ชื่อตีรณา
ตั้งแต่ผู้ชายที่ใจดีที่สุดในโลกจากไป หล่อนก็ไม่เหลือใครอีก มีแม่แต่ก็เหมือนไม่มีและไม่เคยรู้จัก มีญาติก็ห่างเหินเกินกว่าจะติดต่อ ชีวิตที่ไร้รากของหล่อนจะไปต่ออย่างไรนับจากนี้
ไม่สำคัญ... หญิงสาวเหยียดยิ้ม ผู้หญิงชื่อตีรณาไม่เคยมีความสำคัญในชีวิตของใครมานานแล้ว จากนี้ไปต้องอยู่ได้ด้วยตนเอง
ร่างกายที่แปดเปื้อนคราบคาวความใคร่ของผู้ชายใจทรามถูกสายน้ำรดชโลม แต่ต่อให้พยายามขัดถูหรือชำระล้างสักกี่ครั้งกี่หน ก็ไม่อาจลบล้างสิ่งที่เกิดขึ้นได้ ไม่มีทางย้อนวันเวลากลับไปแก้ไข ณ จุดเริ่มต้น
ไม่สำคัญ มันไม่สำคัญกับใครทั้งนั้น แม้แต่กับตัวหล่อนเอง...
น้ำตารินผสมกับสายน้ำที่พร่างพรูลงมา โชคชะตาที่ผูกมากับชีวิตทำไมมันช่างบัดซบเลวระยำได้ขนาดนี้ ไม่เหลือใครแล้วยังต้องมาเจอกับคนใจโฉด
โทษใครได้อีก นอกจากตัวเอง เพราะอ่อนแอเกินไปจึงถูกทำร้ายซ้ำซาก
แต่นับจากนี้ จะไม่ยอมให้ใครมาทำร้ายได้อีกแล้ว ไม่มีวันที่ผู้หญิงชื่อตีรณาจะยอมตกเป็นเหยื่อใครอีก