๑๒
การตัดสินใจครั้งใหญ่
ทีปกรตระเวนดูแลเดอะ ท็อป ไฟฟ์ฯ ทั้งห้าแห่งจนครบพร้อมกับตัดสินใจว่าจะทำอย่างไรกับข้อเสนอของย่าจิต จะตอบตกลงหรือบอกปัด ความจริงเขาควรบอกปัดเหมือนที่แล้วมา ทว่าเมื่อได้สบตาคู่เล็ก ได้โอบอุ้ม และหอมแก้ม เขารู้สึกอบอุ่นในใจ อย่างไม่เคยรู้สึกมาตลอดระยะเวลาที่ต้องอยู่ตามลำพังหลังจากที่ต้องสูญเสียพ่อแม่ไปเพราะอุบัติเหตุพร้อมกันทั้งคู่ เขาโดดเดี่ยวอยู่ท่ามกลางผู้คนแปลกหน้า ใช้ชีวิตอิสระตามแต่ใจต้องการ พอนานเข้าจึงไม่ต้องการมีใครมาอยู่เคียงข้าง เพราะเขากลัวว่าสักวันคนคนนั้นจะทิ้งเขาไปเหมือนที่พ่อกับแม่เคยทำ
ร่างสูงที่มีเพียงกางเกงว่ายน้ำตัวเดียวยืนนิ่งมองพระอาทิตย์ตก มือหนึ่งถือขวดน้ำ เขายกขึ้นดื่มแล้ววางลงที่เดิม ก่อนจะเดินไปยังขอบสระ จากนั้นพุ่งตัวลงไปในน้ำพร้อมความคิดอันมากมายที่ยังขบไม่แตก
เขาไม่เคยคิดที่จะอยู่กับใคร หากต้องไปอยู่กับตีรณาและเด็กน้อยจะทำตัวอย่างไร ไม่ชินกับการอยู่แบบครอบครัว ไม่ใช่วิถีของเขา ตลอดเวลาที่ผ่านมาเขาใช้ชีวิตส่วนใหญ่หลังพระอาทิตย์ตก พอใกล้สว่างเขาจึงกลับเข้ารังนอน เป็นเช่นนี้มานานหลายปี จนกลายเป็นความเคยชินและยอมรับว่าเขาเหมาะกับชีวิตแบบนี้ที่สุด
เขาคบหาผู้หญิงทีละคน และใช้เวลาเพียงระยะสั้นๆ ไม่ต้องการผูกพันกับใครอย่างลึกซึ้งให้เป็นภาระ
แต่เมื่อคิดถึงตีรณาเขาก็ต้องโผล่หน้าขึ้นมาจากน้ำ ยืนหอบอยู่สักพัก ก่อนจะว่ายกลับเข้าฝั่ง แล้วยืนนิ่งเอามือวางบนขอบสระ คิดถึงเรื่องราวระหว่างเขากับตีรณาตั้งแต่เริ่มกระทั่งมาถึงวันนี้
ความคิดส่วนดีบอกออกมาเสียงดังฟังชัดว่าเขาผิดมาตั้งแต่แรก หล่อนอยู่ของหล่อนดีๆ เขาก็ลากมาร่วมชะตากรรมเฮงซวยนั่น ไม่เพียงแค่นั้นยังปล่อยให้อารมณ์พาไปจนมีครั้งที่สองเกิดขึ้น
ขณะที่กำลังตัดสินใจครั้งใหญ่อยู่นั้น มือถือของเขาก็ส่งเสียงเรียกออกมา ร่างสูงใหญ่จึงขึ้นจากสระ แล้วเดินไปหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู ชื่อที่โชว์หน้าจอทำให้ชายหนุ่มกดตัดสายและลบเบอร์ทิ้งทันที ผู้หญิงพวกนี้ไม่มีอะไรจะทำหรือยังไงกัน เขานึกอย่างหงุดหงิด ก่อนจะยกมือทั้งสองข้างขึ้นลูบใบหน้า แล้วคิดถึงตีรณาอีกครั้งแต่ความคิดถึงที่มีต่อตีรณายังไม่เท่าความคิดถึงที่มีต่อเจ้าของดวงหน้าน้อยๆ ราวกับความผูกพันที่เขาไม่เคยหยิบยื่นให้ใครแม้แต่แม่ของลูก กำลังก่อเกิดขึ้นกับเจ้าหนูตาแป๋วโดยที่ไม่ต้องพยายามเลยสักนิด
นี่ใช่ไหม ที่เขาเรียกว่าสายใยแห่งความผูกพัน สายใยที่มองไม่เห็นแต่รับรู้ได้ว่ามีอยู่จริง
ด้านตีรณากำลังไม่สบายใจและไม่เต็มใจสักนิดที่รู้ว่าย่าจิตเสนอให้ทีปกรมาอยู่ด้วยกันที่นี่เป็นเวลาสามเดือน
“ทำไมย่าไปบอกเขาแบบนั้นคะ” หญิงสาวเอ่ยถามอย่างไม่เข้าใจเจตนาของท่านเลยสักนิด
คนเป็นย่าที่กำลังนอนฟังธรรมะอยู่ข้างๆ เหลียวมองคนถามที่กำลังพับผ้าลูกไปด้วย
“ย่าไม่ได้คิดจะให้หนูกับพ่อคนนั้นอยู่ด้วยกันฉันผัวเมียหรอกนะ แต่ย่าอยากให้เขารับรู้ว่า กว่าตี่จะผ่านอะไรต่ออะไรมาจนถึงวันนี้ได้ หนูต้องเจอกับอะไรบ้าง เขาจะต้องมีส่วนรับผิดชอบ ต่อให้ไม่อยากทำก็ตาม แต่ถ้าเขาไม่ทำตามที่ย่าเสนอ ย่าก็จะไม่ยอมให้เขาเข้าใกล้ตี่กับลูกอีก”
คนเป็นย่าเอ่ยชัดเจน ทำให้หลานสาวนิ่งงัน อารมณ์หงุดหงิดค่อยๆ เบาบางลง
“แต่ตี่ก็ไม่เห็นว่ามีความจำเป็นตรงไหนนี่คะ”
ย่าจิตยิ้มขันหลานสาวที่มองอะไรตื้นเขิน แต่แววตาที่ท่านมองหล่อนนั้นลึกซึ้งและอ่อนโยนเสมอ
“จำเป็นสิลูก ถ้าเขาเป็นพ่อของตาหนูตฤณจริงๆ คนที่เป็นพ่อก็ควรมีคุณสมบัติที่ดีพอจะเป็นพ่อของเหลนย่าด้วย แต่เขาก็ไม่ควรจะได้ในสิ่งที่ต้องการง่ายเกินไปนัก”
หญิงสาวย่นจมูกพลางบอก
“เขาแย่ค่ะย่า แย่มากๆ เห็นแก่ตัว ร้ายกาจ เลวด้วย” คำสุดท้ายดวงตาคู่งามหลุบลง ไม่อยากคิดย้อนไปในอดีตอีก คิดทีไรให้รู้สึกหวั่นไหวและเจ็บช้ำ ราวกับมันเพิ่งเกิดขึ้นสดๆ ร้อนๆ
“ย่ารู้ว่าหนูรู้สึกอย่างไรนะตี่ แต่ย่าอยากให้หนูอดทนต่อไปอีกสักสามเดือนจะได้ไหม ถือเสียว่าทำเพื่อย่า”
แววตาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยเมตตาของย่าจิต ทำให้หญิงสาวจำต้องพยักหน้ายอมรับ
“รู้ไหม ว่าหนูมีนิสัยเหมือนพ่อมาก” ย่าจิตวางมือลงบนศีรษะของหลานสาว พลางลูบไล้แผ่วเบาอย่างรักใคร่ คนเป็นหลานน้ำตารื้นขึ้นมาแล้วสวมกอดท่านเอาไว้พลางซบหน้ากับอกแฟบๆ ของท่าน
“แต่ตี่มีหน้าตาเหมือนแม่ ใครๆ ก็เลยคิดว่าตี่จะต้องเหมือนแม่ด้วย”
ตอนมาถึงใหม่ๆ หญิงสาวได้รับรู้เรื่องราวเกี่ยวกับแม่มากมายจากทั้งปากของย่าและป้า รวมทั้งเพื่อนบ้านที่หล่อนแอบได้ยินโดยบังเอิญ เพราะไม่มีใครกล้าบอกกันตรงๆ
แม่ของหล่อน ไม่ได้มีพ่อแค่คนเดียว ซ้ำยังมีนิสัยไม่ซื่อสัตย์ ชอบลักขโมยเงินของย่าป้าและอาบ่อยครั้ง จนครั้งสุดท้ายเกิดการทะเลาะกันอย่างหนัก ย่ายื่นคำขาดให้พ่อเลิกกับแม่ แต่พ่อรักแม่มากจึงไม่ยอมทำตาม ย่าจึงไล่พ่อกับแม่ออกจากบ้านและไม่ให้กลับมาเหยียบที่นี่อีก พ่อจึงพาหล่อนและแม่ออกจากบ้านย่าไปนับจากนั้น
“อย่าคิดถึงมันอีกเลย ตอนนี้ย่ารู้แค่ว่าหลานสาวของย่าคนนี้น่ารักมากแค่ไหน อีกอย่าง คนเราก็ผิดพลาดกันได้ การที่หนูอุ้มท้องกลับมาหาย่าแบบนี้ ยังไงก็ยังดีกว่าเตลิดไปที่อื่น ที่สำคัญ เหลนของย่าน่าเกลียดน่าชังจะตายไป ใครไม่รักก็บ้าแล้ว”
หญิงสาวยิ้มทั้งน้ำตา พลางหันไปมองลูกชายที่นอนเล่นอยู่ในเปล อดไม่ได้ที่จะคิดถึงพ่อของเขา พวกเราต่างกันราวฟ้ากับเหว จะอยู่ด้วยกันได้อย่างไร
สีหน้าหนักใจของตีรณาทำให้ย่าจิตวางมือลงบนไหล่บอบบาง
“วันนี้ทำอะไรกินล่ะ” ย่าจิตเปลี่ยนเรื่องคุย เพราะไม่อยากให้หลานสาวรู้สึกกดดันมากจนเกินไป
“ป้าอิ๋วบอกว่าอยากกินผัดไข่ใส่มะระค่ะ ย่าล่ะคะ อยากกินอะไร”
“ตี่ทำอะไรย่าก็กินทั้งนั้น ไปเถอะ ย่าดูลูกให้เอง”
ย่าจิตมองตามหลังหลานสาว แล้วหันไปมองเหลนตัวน้อยที่นอนตาแป๋ว เจ้าเด็กคนนี้ก็หน้าเป็นเสียจริง แบบนี้ใครเห็นมีหรือที่จะไม่รักไม่เอ็นดู แม้แต่คนเป็นพ่อที่ไม่เคยสนใจ ซ้ำยังปฏิเสธในคราแรก ก็ยังพ่ายแพ้ให้กับความหน้ารื่นของพ่อหนูตัวน้อย
เสียงเด็กร้องไห้ ทำให้คนที่เพิ่งเดินเข้ามาภายในบ้านถึงกับถอนหายใจอย่างหงุดหงิด
“อ้าวอี๊ด พี่นึกว่าเธอจะมาถึงช่วงบ่าย” ป้าอิ๋วเอ่ยทักทายน้องสาวทันทีที่อีกฝ่ายลงมาจากรถ พลางรับไหว้หลานๆ ทั้งสองคน คนโตเป็นหญิงอายุยี่สิบปี ส่วนคนเล็กเป็นชายอายุสิบแปด โดยมีร่างท้วมของสามีรั้งท้าย
“ไม่อยากกลับบ้านค่ำมืดน่ะ แม่ล่ะ” คนเป็นน้องสาวเอ่ยถามพลางกวาดตามองหามารดา
“อยู่ข้างในกับตี่”
อาอี๊ดวางของฝากลงบนโต๊ะม้าหินแล้วนั่งฉุบ ไม่คิดจะก้าวเลยเข้าไปด้านใน ทำให้คนเป็นพี่ถอนหายใจอย่างเอือมระอา