ชีวิตใหม่ในกรงทอง

2277 Words
“พี่มิ่ง…” เสียงแตกเนื้อหนุ่มของสรัล เด็กหนุ่มวัยสิบเจ็ดปีซึ่งเป็นน้องชายเพียงคนเดียวของมิ่งขวัญดังขึ้น พลางทรุดนั่งลงข้างๆ มองดูพี่สาวของตนพับผ้าใส่กระเป๋าเดินทางด้วยความรู้สึกวูบไหว ใจหายเมื่อต้องห่างกัน... “ว่าไงสรัล” เอ่ยถามโดยไม่หยุดพับผ้า น้องชายหลุบตามองมือเล็กของพี่สาวแล้วถอนใจยาว  “พี่จะไปจริงๆ น่ะเหรอ แล้วผมกับแม่ล่ะ” มือเล็กที่กำลังทำเวลาพลันชะงัก ใบหน้างามที่ก้มนิดๆ เงยขึ้นมองน้องชายที่มานั่งจ้องหน้า นัยน์ตาแดงเรื่อแล้วเม้มปาก… “พี่จำเป็นนะสรัล ถ้าพี่ไม่ไปแล้วเราจะเอาเงินที่ไหนมาใช้หนี้ แม่ก็จะไม่ไหวแล้ว สรัลเองก็ต้องเรียน” “แต่ว่า…” “อย่างอแงสิสรัล เธอโตแล้ว” หญิงสาวบอกพลางสบตาคู่คมของน้องชายนิ่ง ก่อนจะผ่อนลมหายใจยาวเหยียด นึกสงสารน้องชายแต่ไม่อยากแสดงความอ่อนแอออกมาให้อีกฝ่ายเห็น “ดูแลแม่แทนพี่นะสรัล ตัวเธอเองก็ตั้งใจเรียน แล้วพี่จะโทร.หาให้บ่อยๆ” พูดจบหญิงสาวก็ปิดกระเป๋าลุกขึ้นยืน สรัลผุดลุกตามพี่สาวแล้วช่วยอีกฝ่ายถือกระเป๋า นัยน์ตาแดงก่ำ เขาสนิทกับพี่สาวมาก และไม่อยากให้หล่อนไปไหนไกล แต่ความจำเป็นทำให้เขาไม่อาจรั้งเอาไว้ได้ มิ่งขวัญก้าวเท้าตรงไปยังมารดาที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ริมห้องภายในทาวน์เฮาส์ขนาดเล็ก ซึ่งเป็นสมบัติเพียงชิ้นเดียวของครอบครัวหล่อน แต่เวลานี้กำลังจะหลุดมือจากครอบครัวเล็กๆ นี้ไปเพราะหนี้สินอันล้นพ้น... “มิ่ง…” เสียงฝ่าเท้าที่ก้าวเข้ามาทำให้ผู้เป็นมารดาเปล่งเสียงเรียกบุตรสาว มิ่งขวัญก้าวเข้าหาแล้วยอบตัวลงนั่งพับเพียบลงตรงหน้าท่าน “แม่คะ มิ่งต้องไปแล้ว” มิ่งขวัญสบตามารดาที่นั่งนิ่ง ดวงตาของท่านแดงเรื่อ รู้สึกจนใจ ไม่คิดเลยว่าจู่ๆ ชีวิตของท่านและลูกต้องมาตกระกำลำบากถึงเพียงนี้ จากเจ้าของบริษัทส่งออกขนาดกลางกลับต้องกลายเป็นบุคคลล้มละลายเพราะความผิดพลาดทางธุรกิจ  “ตั้งใจทำงานนะลูก” สินาถลูบศีรษะของบุตรสาวแผ่วเบา ดวงตารื้นหยาดน้ำใส กล้ำกลืนเสียงสะอื้น ขณะที่บุตรสาวพยายามฝืนยิ้ม หลุบตาซ่อนแววหม่นหมองแล้วปรับสีหน้าให้สดใสพร้อมส่งเงินให้ท่านปึกหนึ่ง “แม่เก็บเอาไว้นะคะ เอาไว้ใช้จ่ายภายในบ้าน ส่วนหนี้สินมิ่งจะเป็นคนใช้เขาเอง” สินาถขมวดคิ้วขณะรับเงินมาถือไว้อย่างแปลกใจ เงินจำนวนไม่น้อยนี้บุตรสาวได้มาจากไหนกัน “หมายความว่ายังไง เอามาจากไหน” สีหน้าและแววตาคาดคั้นของมารดา ทำให้มิ่งขวัญฝืนยิ้มเพื่อกลบเกลื่อนความจริงบางอย่าง “เจ้านายเขาจ่ายล่วงหน้ามาก่อนค่ะ มิ่งบอกเองว่าที่บ้านเรากำลังลำบาก เจ้านายใจดีท่านเลยให้มิ่งเบิกมาใช้ก่อนส่วนหนึ่ง” สินาถสบตาบุตรสาวอย่างไม่เชื่อถือนัก แต่ความจำเป็นทำให้ท่านต้องขบริมฝีปากแน่น แม้ในใจจะเจ็บปวด ยิ่งคิดถึงสามีที่ล่วงลับไปแล้วยิ่งเจ็บปวดนัก เขารักมิ่งขวัญมากเหลือเกิน รักลูกสาวคนนี้ดั่งชีวิตจิตใจ หากรู้ว่าลูกสาวที่รักต้องมาลำบากเพราะสิ่งที่พ่อและแม่พลาดไปคงจะตายตาไม่หลับ “มิ่ง… ลูกคิดว่าจะโกหกแม่ได้หรือไง” มิ่งขวัญสบตาแดงเรื่อของมารดาแล้วเม้มปากแน่น “ไม่ค่ะ มิ่งรู้ดีว่าโกหกไม่ได้ แต่สิ่งที่มิ่งพูดคือความจริง ไม่ว่างานที่มิ่งทำจะเป็นแบบไหน แต่เงินนี่คือเงินที่มิ่งได้มาอย่างบริสุทธิ์” “แต่มันต้องแลกมาด้วย…” สินาถนิ่งงัน เช่นกันกับมิ่งขวัญที่ใจกระตุกวาบ มารดารู้… ท่านรู้ทันเสมอ  “มิ่งทำเพื่อเราทุกคน งานมันไม่มีอะไรมาก แค่คอยดูแลเจ้านาย มิ่งทำได้ มิ่งจะทำเพื่อแม่และน้องค่ะ” สินาถกล้ำกลืนคำพูดกลับลงไปอย่างยากเย็น ดวงตาคลอหยาดน้ำ เพียงสบตาลูกสาวคนโตท่านก็รู้ได้ทันทีว่าไม่มีทางที่จะได้เงินจำนวนมากนี้มาง่ายๆ เพราะงานที่มิ่งขวัญเคยทำมีค่าตอบแทนเพียงหมื่นเศษ แล้วเงินหลักแสนที่ท่านถือจะมาจากไหนได้ ถ้าไม่ใช่จากรูปกายของบุตรสาว แม้ไม่สวยฉูดฉาดบาดตา แต่ก็ผุดผาดละมุนละไมน่าทะนุถนอมและมองได้ไม่เบื่อ… “แม่คงเป็นแม่ที่แย่ที่สุด หากพ่อรู้ว่าแม่ไม่สามารถดูแลลูกสองคนให้ดีกว่านี้ได้เขาคง…” “อย่าคิดแบบนั้นสิคะแม่…” มิ่งขวัญสั่นหน้ารัว น้ำตาคลอ “แม่ดูแลเราสองคนมาอย่างดีที่สุดแล้ว ส่งมิ่งจนเรียบจบ ไม่เคยให้มิ่งและน้องต้องลำบาก ถึงเวลาแล้วที่มิ่งจะตอบแทนแม่บ้าง พ่อต้องเข้าใจเราค่ะ ท่านต้องเข้าใจ” สรัลทนฟังได้พักใหญ่จึงเข้ามายอบกายลงข้างพี่สาว มิ่งขวัญหันไปสบตาอีกฝ่ายแล้วเอ่ย “ดูแลแม่ด้วยนะสรัล พี่อาจจะไม่ค่อยได้กลับบ้านบ่อยนัก”  บอกน้องพลางหันไปยังมารดา  “เจ้านายมิ่งท่านเดินทางบ่อยค่ะ มิ่งเองก็จะต้องเดินทางไปกับท่านด้วยเช่นกัน” สินาถถอนหายใจยาว พยายามทำใจยอมรับสิ่งที่ต้องเผชิญ “มิ่งก็ดูแลตัวเองให้ดีนะ ถ้าลำบากนัก ก็กลับบ้านเรานะลูก” “แม่…” มิ่งขวัญโผกอดมารดาแนบแน่น เช่นเดียวกับที่ท่านโอบกอดบุตรสาวเอาไว้ เกือบนาที มิ่งขวัญจึงผละห่าง “มิ่งต้องไปแล้วค่ะ”  สินาถพยักหน้า พลางลุกขึ้นยืนพร้อมลูกๆ ทั้งสอง “แม่จะออกไปส่งลูกที่หน้าบ้าน สรัลยกกระเป๋าไปส่งพี่มิ่งที่รถ” “ครับ” สรัลรับคำอย่างว่าง่าย ไม่นานนักทั้งสามก็ไปหยุดกล่าวลากันที่หน้าบ้าน ซึ่งมีรถยนต์และคนขับของบ้านอภิลักษณ์รออยู่ “พี่มิ่งต้องโทร.หาผมกับแม่บ่อยๆ นะครับ ไม่งั้นผมจะไปหาพี่มิ่งจนถึงที่ทำงานเลย” มิ่งขวัญถลึงตาใส่น้องชาย พลางหันไปยิ้มแหยให้คนขับรถที่มองมา “สรัลพูดอะไรแบบนั้น เดี๋ยวพี่โทร.มาบ่อยๆ ก็แล้วกัน” สรัลจึงยิ้มได้ ก้าวไปเปิดประตูรถให้พี่สาวแล้วบอก “ผมจะตั้งใจเรียน จะช่วยแม่ทำงาน พี่มิ่งไม่ต้องห่วง” คำมั่นสัญญาจากน้องชายทำให้มิ่งขวัญน้ำตาซึม หันไปสบตามารดาที่ยืนอยู่ไม่ห่างแล้วยิ้มให้ “พี่เชื่อว่าสรัลทำได้” อึดใจต่อมาประตูรถยนต์ถูกปิดลง มิ่งขวัญได้แต่มองมารดาและน้องชายด้วยแววตารื้นหยาดน้ำ จนเมื่อรถคันโตผ่านหน้าบ้านหญิงสาวจึงได้แต่ถอนใจ กลืนน้ำตาลงไปในอก บอกตนเองให้เข้มแข็ง อดทน แล้วหันไปมองบ้านหลังน้อยที่กำลังถูกยึดด้วยแววตามุ่งมั่น จะไม่ยอมให้สมบัติชิ้นเดียวของแม่ต้องถูกขายทอดตลาด เหตุเพียงเพราะท่านเอาบ้านหลังนี้ไปจำนองนำเงินมาส่งเสียให้หล่อนได้เรียนจนจบ หล่อนจะต้องแก้ไขทุกอย่างให้กลับมาเป็นเหมือนเดิม จะไม่ยอมให้ท่านต้องลำบากอีกแล้ว ไม่ว่าชีวิตต่อจากนี้จะต้องเผชิญกับอะไร หล่อนยอม… เย็นย่ำ ณ คฤหาสน์อภิลักษณ์ คุณฉัตรฉายนั่งอยู่บนรถเข็นกลางสนาม โดยมีพยาบาลส่วนตัวคอยดูแลไม่ห่างกาย พอดีกับที่รถยนต์ของบ้านตีวงเลี้ยวเข้าไปจอดหน้ามุข ไม่นานนักร่างระหงของใครคนหนึ่งก็ก้าวลงมาพร้อมกับคนขับรถของท่านที่กุลีกุจอขนกระเป๋าออกมาให้ “นั่นใคร?” น้ำเสียงทรงอำนาจเปล่งถาม ใบหน้าขรึมดุขมวดคิ้วจ้องตามองอย่างแปลกใจ นางพยาบาลสาวมองตามสายตานายจ้างแล้วเอ่ยออกมาอย่างไม่มั่นใจนัก “ไม่คุ้นหน้าเลยค่ะ แต่แปลกนะคะ มีกระเป๋าเสื้อผ้ามาด้วย เอ่อ… หรือว่าจะเป็น…” น้ำเสียงแสดงความสงสัยและคาดเดาของพยาบาลสาวทำให้คุณฉัตรฉายต้องหันมองแล้วเลิกคิ้วสูง “ใคร แม่นั่นเป็นใคร!” มัลลิกา พยาบาลสาวจากสถานพยาบาลชื่อดังหลุบตาลงแวบหนึ่ง ก่อนเหลือบตาขึ้นมองนายจ้างสูงวัยพลางเอื้อนเอ่ยติดขัด “เอ่อ คือ เอ่อ…” “พูดมา!” น้ำเสียงเด็ดขาดของคุณฉัตรฉายทำให้มัลลิกาจำต้องเอ่ยออกมาอย่างเสียไม่ได้ “คือ ดิฉันได้ยินมาว่า คุณทัตเรียกผู้หญิงคนหนึ่งมาพบเมื่อช่วงบ่ายค่ะ ไม่รู้ว่าเรียกมาพบเรื่องอะไร แต่เห็นเด็กในบ้านบอกว่าคุณทนายเองก็ทราบเรื่องนี้ดี ดิฉันเลยคิดว่าผู้หญิงคนนั้นอาจจะเป็นคนดูแลส่วนตัวของคุณทัตค่ะ” “ฮึ!” คุณฉัตรฉายสะบัดหน้ามองไปยังตัวคฤหาสน์ด้วยสายตากราดเกรี้ยว ขุ่นเคืองบุตรชายนัก “พาฉันเข้าบ้าน ฉันอยากเห็นหน้าแม่นั่นชัดๆ!!” มัลลิกามองคนสั่งแวบหนึ่ง ก่อนจะดันรถเข็นของอีกฝ่ายตรงไปยังคฤหาสน์ตามคำสั่ง  ขณะเดียวกันนั้น มิ่งขวัญก็ถูกพาตัวไปยังห้องพักด้านหลัง ซึ่งถูกจัดเตรียมไว้เรียบร้อย สาวใช้ที่พามารีบขอตัวทันที ท่าทางรีบร้อนของอีกฝ่ายทำให้หญิงสาวมองตามด้วยความแปลกใจจนต้องเรียกเอาไว้ “เดี๋ยวสิ อย่าเพิ่งไป” ครั้นถูกเรียกจึงชะงัก หันกลับไปมอง ท่าทางเหมือนไม่อยากอยู่นาน…  “มีอะไรคะคุณ” “เรายังไม่รู้จักกันเลย” สาวใช้นิ่งงันไปนิดหนึ่ง มองหน้าอีกฝ่ายอย่างชั่งใจอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะยิ้มให้แล้วบอกชื่อตนออกไป “ดิฉันชื่อแป๋วค่ะคุณ เอ่อ ถ้าคุณไม่มีอะไรแล้วต้องขอตัวก่อนนะคะ” หญิงสาวขมวดคิ้วมุ่นพลางเอ่ยขึ้นก่อนที่อีกฝ่ายจะผละไป “เดี๋ยวสิคะ ฉันยังไม่ได้แนะนำตัวเองเลย” แป๋วชะงัก สบตาสาวสวยตรงหน้านิ่ง นึกหวั่นใจว่าสาวร่างบางที่ยืนยิ้มให้หล่อนจะมาไม้ไหน ปกติคนบ้านนี้ไม่ว่าลูกน้องหรือเจ้านายต่างไว้ตัวด้วยกันทั้งนั้น น้อยนักจะพูดจาพาที เล่นหัวกับผู้ที่ด้อยกว่า มิ่งขวัญเห็นอาการลุกลี้ลุกลนของอีกฝ่ายแล้วถอนหายใจพลางยิ้มจางๆ พร้อมแนะนำตัว “ฉันชื่อมิ่งขวัญ เรียกมิ่งเฉยๆ ก็ได้ ถ้ามีอะไรให้ช่วยก็บอกได้เลยนะคะ มิ่งยินดี” ได้ฟังคำพูดหวานหูจากอีกฝ่ายแป๋วยิ่งไม่ไว้วางใจ แกล้งทำดีหรือเปล่าก็ไม่รู้ ยิ่งมาในฐานะผู้หญิงของฉันท์ทัตหล่อนยิ่งเสียวสันหลังวาบ กลัวถูกลูกหลง… “เอ่อ ค่ะ ขอตัวก่อนนะคะ” ว่าแล้วก็รีบหมุนตัวเดินแกมวิ่งจากไปทันที ปล่อยให้ผู้มาใหม่ยืนมองด้วยสายตางุนงง ไม่เข้าใจอาการลุกลี้ลุกลนของอีกฝ่ายแม้แต่น้อย  “แปลกคนจริง…” พึมพำพลางส่ายหน้าเบาๆ แต่เพียงครู่เดียวจึงเลิกสนใจ หันไปจัดของเข้าที่เข้าทาง พลางมองไปรอบห้องขนาดกำลังพอดี บรรยากาศรอบด้านดูสดชื่นตา เงียบสงบ เหมาะแล้วสำหรับหล่อน… แป๋วพาตนเองออกมาจากห้องพักด้านหลังอย่างรวดเร็ว แต่ยังช้าเกินไปเมื่อพบกับคุณผู้หญิงของบ้านที่ถูกพยาบาลหน้าหยิ่งดันรถเข็นเข้ามาจนถึงในนี้ทั้งที่ร้อยวันพันปีไม่เคยเข้ามา “เอ่อ… คุณผู้หญิง” “ทำไมต้องทำหน้าตกใจยะหล่อน”  ผู้ถูกถามรีบยอบตัวลงคุกเข่าทันที “ปละ… เปล่าค่ะคุณผู้หญิง” คุณฉัตรฉายค้อนขวับพลางเหลือบตาไปยังห้องพักด้านหลังแล้วหลุบตาลงมองคนของตน “ผู้หญิงคนนั้นเป็นใคร เข้ามาในบ้านนี้ทำไม ใครอนุญาตให้เข้ามา” น้ำเสียงเต็มไปด้วยการวางอำนาจและกราดเกรี้ยวทำให้สาวใช้รู้สึกหวั่นใจแทนผู้หญิงสวยที่มาใหม่นักหนา “เห็นว่าชื่อคุณมิ่งขวัญค่ะ คุณทนายโกสุมท่านสั่งเอาไว้ว่าให้หนูจัดเตรียมห้องให้เรียบร้อย เพราะจะมีเลขาส่วนตัวคนใหม่ของคุณทัตมาพักที่นี่ค่ะ” “เลขาส่วนตัวอย่างนั้นเรอะ!” คุณฉัตรฉายเอ่ยถามราวคำราม  “ตาทัตนะตาทัต มันชักจะมากไปแล้ว ตาทัตอยู่ไหม” แป๋วเงยหน้าขึ้นสบตาคุณผู้หญิงพลางตอบรัวเร็ว “ไม่อยู่ค่ะ คุณทัตออกไปข้างนอกตั้งแต่ช่วงบ่าย” คุณฉัตรฉายเชิดหน้า ดวงตาวาววาบพลางออกคำสั่ง “โทร.ตามคุณทนาย บอกว่าฉันมีเรื่องจะคุยด้วย ให้มาหาเดี๋ยวนี้…” “ค่ะคุณผู้หญิง” คุณฉัตรฉายตวัดตาขึ้นพลางเอ่ยกับคนด้านหลัง “แม่ต่ายพาฉันไปหาแม่นั่นหน่อยสิ ชักอยากจะเห็นหน้าแม่เลขาส่วนตัวคนใหม่ของตาทัตเสียจริง!” สั่งด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด เช่นเดียวกับมัลลิกาที่หลุบตามองแป๋วอย่างเย็นชา “ค่ะท่าน…” รับคำพลางดันรถเข็นพาคุณฉัตรฉายตรงไปยังห้องพักด้านหลังตามคำสั่ง ทิ้งให้สาวใช้ตาแป๋วสมชื่อมองตามด้วยใจระทึก ไม่รู้จะเกิดศึกกลางบ้านขึ้นอีกหรือเปล่า คุณฉัตรฉายกับคุณฉันท์ทัตเป็นคู่แม่ลูกที่เปรียบเสมือนขิงและข่า ต่างก็แรงไปแรงมาด้วยกันทั้งคู่ ไม่รู้เป็นแม่ลูกกันได้อย่างไร “ตายละ! จะเกิดอะไรขึ้นอีกล่ะเนี่ย เฮ้อ ฉันละกลุ้ม” สั่นหัวแรงๆ ก่อนจะรีบออกไปโทรศัพท์ตามตัวทนายประจำตระกูลตามคำสั่งของผู้เป็นใหญ่อีกคนของบ้านอภิลักษณ์…
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD