หญิงสาวมองกองของใช้สลับกับหันไปมองคนตัวโตที่เดินไปนั่งบนโซฟาไขว่ห้างมองหล่อนนิ่งๆ ก่อนจะเดินไปหยุดยังเสื้อผ้าหลายชุดหลายโอกาสถูกวางพาดเอาไว้บนพนักโซฟา นอกจากนี้ยังมีกล่องสีขาว สีชมพู สีครีมที่วางซ้อนเรียงรายหลายต่อหลายใบอย่างมึนๆ แล้วตัดสินใจเปิดกล่องแรกออก หญิงสาวนิ่งงันเมื่อพบกับรองเท้าคู่งามภายในนั้น ก่อนเงยหน้าสบตาชายหนุ่มด้วยแววตาแปลกใจ เขารู้ได้อย่างไรว่าหล่อนใส่เบอร์ไหน ไซซ์อะไร พลางหันไปเปิดอีกกล่องก็เหมือนเดิม เป็นรองเท้า แต่คนละสี คนละแบบ สวยๆ ทั้งนั้น จึงตัดสินใจรองสวมใส่ จึงพบว่ามันพอดิบพอดีกับเท้าของหล่อนราวกับวัด ก่อนจะถอดออกแล้วหันไปยังกล่องที่ใบโตกว่า ในนั้นบรรจุกระเป๋าแบรนด์เนมใบใหญ่ อีกกล่องใบย่อมลดหลั่นกันไป หลากสี หลายยี่ห้อ ก่อนจะไปหยุดที่กองเสื้อผ้า หญิงสาวก็สำรวจตรวจตราอย่างนึกไม่ถึง แต่ละชุดราวกับวัดไว้เช่นกัน มีทั้งสูทสำหรับผู้หญิง ทั้งชุดกลางวัน กลางคืน ลำลอง ทั้งเรียบร้อยและวาบหวิว หรือแม้แต่ถุงน่องเนื้อดีก็ไม่ขาดตกบกพร่อง…
มิ่งขวัญเงยหน้าขึ้นจากกองของใช้สตรีแล้วหน้าร้อนผ่าวเมื่อสบตาคมกริบที่กวาดสายตามายังหล่อนตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า…
“ถ้าชอบหมดนั่นก็เอาไว้ทั้งหมด”
“แต่มันแพงทั้งนั้นนี่คะ” แม้จะไม่เชี่ยวชาญเป็นกูรูสินค้า แบรนด์เนม ทว่าหล่อนก็มีโอกาสจับต้องมาระยะหนึ่งเมื่อครั้งรับจ็อบพิเศษตอนที่ยังเป็นนักศึกษา จึงพอแยกแยะออกว่าอันไหนจริงหรืออันไหนปลอม…
“ไม่ต้องไปห่วงเรื่องนั้น แต่สิ่งสำคัญที่คุณควรรู้เมื่ออยู่กับผมก็คือ ต้องไม่ทำให้ผมรู้สึกขายหน้า คุณคงไม่คิดว่าผมจะยอมให้คุณแต่งตัวเป็นคุณครูอนุบาลไปทำงานกับผมหรอกนะคุณมิ่งขวัญ”
คำตอบของเขาทำเอาคนฟังหน้าร้อนเห่อ รู้สึกอับอายเป็นกำลัง
ฮึ! ไม่อยากรู้สึกขายหน้าใช่ไหม ก็ได้ มิ่งขวัญจัดให้!
“ถ้าอย่างนั้นฉันเหมาหมดนี่เลยค่ะ จะได้ไม่ต้องเสียเวลาส่งคืน”
หญิงสาวตอบพลางจ้องตาเขาไม่ลดละ แต่ชายหนุ่มก็ไม่ได้ว่าอะไร นอกเสียจากหันไปคว้าโทรศัพท์ตั้งโต๊ะแล้วกดหมายเลขลงไปยังด้านล่าง หลังจากนั้นไม่นานนักก็มีสาวใช้สองคนเข้ามาในห้อง ลำเลียงทุกอย่างเข้าที่โดยมีหญิงสาวเข้าไปเมียงมอง ไม่ยอมอยู่ใกล้ฉันท์ทัตอีก เพราะอึดอัดทุกครั้งที่ต้องอยู่ใกล้เขา
ฉันท์ทัตเองเมื่อได้อยู่ตามลำพังเขาก็เผลอนึกถึงใครบางคน งานทำให้ต้องพบเจอกันบ่อยในระยะหลัง สิ่งเหล่านั้นทำให้เขาฟุ้งซ่านจนต้องหาใครบางคนมาเป็นตัวช่วย ช่วยให้เขาเลิกคิดถึง เลิกสนใจ…
ขณะเดียวกัน คนที่กำลังถูกกำจัดออกจากความคิดก็ได้แต่แค้นใจ…
“อ้าว กลับมาเมื่อไรฮึยัยภา…” งามพรรณ มารดาของพรนภาที่เพิ่งลงมาจากด้านบนเดินเข้ามานั่งตรงหน้าพลางเอ่ยถาม บุตรสาวจึงถอนหายใจเฮือกขณะมองท่าน
“สักพักแล้วค่ะแม่ ว่าแต่น้องแพรอยู่ไหนคะ” ถามถึงบุตรสาวอายุห้าขวบซึ่งเกิดกับสามีที่เสียชีวิต
“อยู่กับกิ่ง เห็นพากันวาดรูปอยู่ที่ห้องโน้น” บอกพลางสังเกตสีหน้าของบุตรสาว “เป็นอะไรไปล่ะ ดูสีหน้าไม่ดีเลย ว่าแต่วันนี้เจอคุณป้าหรือเปล่า”
พรนภาถอนหายใจพรืด ไม่อยากพูดถึงคุณฉัตรฉายนัก
“เจอค่ะ”
“แล้วคุณทัตล่ะ”
พรนภาสบตามารดาอยู่ครู่ก่อนพยักหน้า
“เจอค่ะ”
มารดาขมวดคิ้วย่น
“เจอแล้วทำไมต้องมานั่งทำหน้าไม่สบายแบบนี้ หรือว่าขัดใจกับคุณทัตมาอีกใช่ไหม แม่บอกแกแล้วว่าอย่าไปหาเขาอีกแกก็ไม่เชื่อ”
“คุณแม่…” พรนภาแย้งออกมาด้วยน้ำเสียงแข็งๆ “มันไม่ใช่แบบนั้นหรอกนะคะ”
“ไม่ใช่แล้วทำไมแกต้องทำหน้าบึ้ง” ท่านกล่าวออกมาอย่างรู้ทัน “แม่ว่าแกเลิกไปบ้านนั้นเถอะ คุณทัตกับคุณป้าคงไม่สนใจแกแล้ว โดยเฉพาะคุณป้า แม่มองดูก็รู้ว่าอะไรเป็นอะไร เจ้ายศเจ้าอย่างแบบนั้นเขาไม่อยากได้แกแต่แรกแล้ว”
ยิ่งพูดก็เหมือนยิ่งตอกย้ำให้เจ็บปวดและนึกถึงวันคืนเก่าๆ ที่เคยมีกันและกัน เคยมีเขา ผู้ชายที่เคยคิดร่วมอนาคต แต่แล้วกลับมีหลายสิ่งหลายอย่างเปลี่ยนแปลง หลายสิ่งหลายอย่างที่คิดว่ามันดีที่สุดแล้ว ปลาบปลื้มยินดีจนลืมไปว่าเคยสัญญาอะไรไว้กับใคร จนกระทั่งซึ้งถึงคำว่าผิดหวัง และหลุดพ้นในที่สุด จึงเหมือนประตูถูกเปิดออกอีกครั้ง ความหวังเกิดขึ้น ก็หวังจะให้อะไรๆ กลับมาเป็นเหมือนเก่า แต่แล้วจู่ๆ ก็มีใครไม่รู้เข้ามาแทรกทำให้หล่อนผิดหวังซ้ำอีกครั้ง ผิดหวังและอิจฉาเต็มหัวใจ…
“ภาไม่สนคุณแม่ของเขาหรอกค่ะ ท่านจะทำอะไรได้สักเท่าไรกันเชียว ในเมื่อเดินเหินไม่ได้แบบนั้น คนที่ภาสนก็คือทัตคนเดียว แต่คุณแม่รู้ไหมว่าภาไปเจอใครมา” หญิงสาวสบตามารดาด้วยแววตาร้าวราน
“ไปเจอใครอย่างนั้นเหรอ”
พรนภาเหลือบตาไปยังบานหน้าต่าง ดวงตาคู่งามวาววาม แสดงให้เห็นว่าทั้งรักทั้งแค้นในเวลาเดียวกัน
“ผู้หญิงที่ภาไม่เคยรู้จัก ผู้หญิงไม่มีหัวนอนปลายเท้าที่ทัตเก็บเอามาจากที่ไหนก็ไม่รู้ แล้วเขาก็ดูจะชอบมันมาก ภาเสียใจค่ะแม่ ทำไมเขาต้องทำแบบนี้กับภาด้วย ให้ความหวัง กลับมาคบหา แต่พอภากำลังมีความสุข เขากลับ…”
หญิงสาวสั่นไปทั้งตัว ยิ่งคิดถึงเหตุการณ์เมื่อกลางวันก็ยิ่งเจ็บปวด ทำให้มารดาที่นั่งฟังเรื่องราวต้องทอดถอนลมหายใจ ท่านเห็นใจบุตรสาวแต่ก็ไม่รู้จะช่วยอย่างไรได้ จึงขยับเข้าไปนั่งบนโซฟาตัวเดียวกัน แล้วกุมมือเอาไว้ บีบหนักๆ ให้กำลังใจ
“ถ้าเขาทำกับลูกแบบนี้ จะไม่ว่าด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม แม่ว่าลูกถอยออกมาจากเขาเสียเถอะ”
“แต่ว่า…” พรนภาหันมาสบตามารดาด้วยน้ำตาที่ล้นเอ่อ...
“แม่คิดดีแล้ว จริงๆ แม่มองเขามานาน และอยากบอกกับลูกว่าคุณทัตคนนี้ไม่เหมือนกับคุณทัตคนเดิม เขาไม่ได้มองลูกเหมือนอย่างที่เคยมองในครั้งแรก แม่รักลูกนะภา และก็อยากให้ลูกนึกถึงน้องแพรให้มากๆ คนอื่น ยังไงก็เป็นคนอื่นวันยังค่ำ ยิ่งเขาทำแบบนี้ได้ ก็หมายความว่าเขาไม่สนใจลูกเลย”
พรนภานิ่งคิด แต่ทว่าภายในใจกลับค้าน ความรัก ความอยากเอาชนะกำลังพุ่งขึ้นเป็นริ้ว เขาเคยเป็นของหล่อน เคยรักหล่อนหัวปักหัวปำมาแล้ว ทำไมหล่อนจะทำให้เขากลับมารักอย่างหัวปักหัวปำอีกครั้งไม่ได้ ผู้หญิงคนนั้นก็แค่ผู้หญิงธรรมดาหน้าจืดๆ คนหนึ่ง ไม่มีอะไรเทียบหล่อนได้เลย แล้วทำไมต้องยอมปล่อยมือจากเขาออกมาง่ายๆ แบบนี้เล่า ลองยื้อกันสักตั้งเป็นไรไป…
“เขาอาจจะยังโกรธภา อาจจะยังน้อยใจ เลยอยากทำให้ภาเจ็บ”
“แล้วแกจะยอมเจ็บหรือไงภา แม่ไม่เห็นด้วยสักนิด เอาเวลาที่แกจะตามตื๊อคุณทัตมาดูแลลูกเถอะนะ ผู้ชายดีๆ ที่ต้องการร่วมชีวิตกับแกก็มีอีกตั้งมาก ไปสนใจอะไรกับผู้ชายที่เขาไม่ได้สนใจอะไรกับเราขนาดนั้น แม่เตือนแกนะ ถ้ายังไม่หยุด แกเองนั่นแหละที่จะมีแต่เสียกับเสีย มีแต่เจ็บกับเจ็บ…”
คุณงามพรรณเอ่ยพลางลุกขึ้นจากโซฟา มองบุตรสาวที่ยังคงนั่งนิ่งเหมือนกำลังครุ่นคิดแล้วถอนหายใจเฮือก ส่ายหน้าระอา ก่อนจะเดินตรงไปยังห้องนั่งเล่นซึ่งมีน้องแพรอยู่ในนั้นกับพี่เลี้ยงเด็ก…
“แต่ฉันเชื่อว่าคุณยังรักฉันอยู่ ไม่ว่าคุณจะทำแบบนี้เพื่ออะไร ฉันจะทำให้คุณกลับมารักฉันให้ได้อีกครั้ง”
ความมาดหมายมุ่งมั่นอยู่ในแววตาของพรนภา หญิงสาวตั้งใจเอาไว้อย่างเต็มที่ว่าจะต้องทวงสิ่งที่เคยเป็นของตนกลับคืนมาให้จงได้ ไม่ว่าข้างกายของเขาจะมีใครก็ตาม จะสาวและสดแค่ไหนก็ไม่สน เพราะหล่อนมั่นใจว่าจะสามารถมัดใจเขาได้อีกครั้ง แม้ว่าเขาจะพยายามทำให้รู้สึกว่าเขาเห็นหล่อนเป็นผู้หญิงในอดีตที่ไร้ความหมายไปแล้วก็ตาม…