"เสียดายไหมที่จะไม่ได้เจอพี่อีกแล้ว"
ประธานสาวตัดสินใจถามออกไปตรงๆ ถึงความคาใจของเธอ
หน้าซื่อตาคมนั้นเหมือนกำลังใช้ความคิด ยกมือนึงขึ้นมาเกาหัวอย่างงงๆ
"คงไม่ซินะ......ว่าแต่เรามาทำงานทุกวันเลยเหรอ"
รินรดาถามขณะเปิดประตูรถสปอรต์คันงามสีบรอนซ์
"ไม่ครับ...เฉพาะเทศกาลครับพี่"
คนหน้าซื่อยิ้มพร้อมกับใช้มือกุมกลางลำตัวอย่างผู้น้อยที่ตอบคำถามผู้ใหญ่ พร้อมโค้งตัวลงบอกลา
นั่นคือประโยคสุดท้ายที่ทั้งคู่ได้พูดกันหลังจากค่ำคืนที่สุดแสนพิเศษ
ประธานสาวนั่งเหม่อลอยอยู่ภายในห้องทำงานของเธอ พลางคิดอย่างกลัดกลุ้มคาใจทั้งๆ ทีผ่านมาหลายวันแล้วแต่ก็ยังสลัดออกจากหัวไม่ได้
'ทำไมนร้า......เราไม่สวยพอ ?
หรือว่าแก่ไป ?
หรือว่า...เจ้าเด็กนั่นมีเมียอยู่แล้ว ?
ต้องใช้แน่ๆ....'
พอคิดได้ก็ตบเข่าตัวเองดังฉาด
"ประธานคะ"
.
.
"ท่านประธานคะ"
พิมสุดาเรียกด้วยเสียงที่ดังขึ้นจนรินรดาสะดุ้ง
"ท่านประธานคิดถึงใครอยู่เหรอคะ"
"คิดถึงใคร? ฉันนี่นะ"
ท่านประธานทำสีหน้าเชิงถามใส่เลขาสาวพร้อมกับชี้หน้าตัวเอง พิมสุดาอมยิ้มอย่างมีนัยพร้อมทำสีหน้าแบบว่าเชื่อก็ได้
"นี่ พิมทำสีหน้าแบบนั้นหมายความว่ายังไง"
"อิ อิ หนูว่า.............ท่านประธานหิว......ผัดไทยค่ะ หนูว่าชัวร์" ใบหน้านั้นยิ้มอย่างซุกซนแล้วพูดต่อ
"ท่านประธานเปลี่ยนไปตั้งแต่คืนเค้าท์ดาวค่ะ นั่งเหม่อบ่อยๆ อาการมันฟ้อง"
"เธอนี่มันรู้ดีจริงๆ แล้วคิดว่าพี่ควรทำไง" ประธานสาวนั่งท้าวคางมองหน้าเลขาอย่างขอความเห็น
"ก็เลี้ยงไว้ซิคะจะยากอะไร ดีกว่าประธานจะต้องไปเสี่ยงดวงนัดคนโน้นทีคนนี้ที"
"แล้วเธอก็จะได้หลุดพ้นจากฉันด้วยใช่มะ" ประธานสาวพูดต่ออย่างรู้ทัน
"ใช่ค่า...วิน วิน ด้วยกันทุกฝ่าย
ท่านประธานได้เสียว
เด็กนั่นได้เงิน
ส่วนหนูได้ผัว"
ประธานสาวถึงกับง้างปากเตรียมจะด่า
แต่พิมสุดาที่กำลังจัดเรียงเอกสารอยู่บนโต๊ะรับแขกเลี่ยงที่จะสบตาแล้วชิงพูดต่อขึ้นก่อน
"นี่ค่ะ ท่านประธานตารางงานมาแล้วคะ แน่นเอียดเลย"
พร้อมยื่นเอกสารให้อย่างตัดบทป้องกันการตอบโต้
"หึ ! "
ประธานสาวเหลือบดูตารางแล้วลมแทบจับมันแน่นจริงๆ ไปต่างประเทศสามหนในหนึ่งเดือน นัดประชุมกับพบลูกค้าอีกสี่นัด ประชุมประชุมแล้วก็ประชุม
"นี่ พิม กว่าฉันจะว่างอีกทีนี่เมื่อไหร่"
"ช่วงวาเลนไทน์แหละพี่"
รินรดาถึงกับหงายหลังพิงพนักเก้าอี้ยกมือขึ้นก่ายหน้าผากอย่างอ่อนแรง
"พี่คงเหนื่อยมาเยอะ พักตรงนี้แหละครับสบายใจได้"
รินรดานึกถึงคำพูดของผัดไทยที่เคยพูดกับเธอในคืนข้ามปี
"ใช่พี่เหนื่อยจริงๆ ผัดไทย"
ที่จริงมันก็แค่พูดธรรมดาที่หาฟังได้ทั่วไป ยิ่งสำหรับคนที่เคยฟังบ่อยๆ อาจจะเลี่ยนด้วยซ้ำ แต่สำหรับคนที่แทบไม่เคยมีใครจะพูดให้ฟังอย่างรินรดา มันค่อนข้างจะจับเข้าไปถึงในหัวใจเลยทีเดียว
13 กพ. ก่อนวาเลนไทน์หนึ่งวัน
"อาอี๊ แวะซื้ออะไรป่าวเดี๋ยวจอดให้"
รินรดาบอกกับผู้อาวุโสวัยหกสิบกว่าที่หน้าอ่อนกว่าวัยของนางขณะขับรถผ่านร้านสะดวกซื้อก่อนถึงบ้าน
"ม่ายอ่ะ อั้วไม่รู้จะซื้อไร"
รถสปอร์ตหรูจึงขับเลยไปอย่างชะลอความเร็วจนผ่านซอยๆ หนึ่งที่มีเพียงป้อมยามเล็กๆ ตั้งอยู่บริเวณนั้น ไม่มีบ้านมีแต่ที่เปล่าบางแปลงล้อมรั้วแต่บางแปลงก็ไม่ ที่ที่เคยเป็นสังเวียนสวาทของประธานสาวถึงสองรอบ
รินรดาสอดส่ายสายตามองไปยังป้อมยามพร้อมกับจอดรถอยู่ห่างๆ
"ลื้อจอดรถมาย"
อาอี๊เลิกคิ้วถามอย่างสงสัยพร้อมมองตามสายตาของหลานสาว
"ดูที่นิดหน่อย แปปนึงอี๊"
รินรดาตอบอย่างกลบเกลื่อนพลางชะโงกหน้ามองไปยังจุดหมาย บริเวณป้อมยามปรากฏผู้หญิงวัยรุ่นคนหนึ่งสวมเสื้อยืดลายขวางเข้ารูปเอวลอย กางเกงยีนส์สั้นจนแทบจะเห็นแก้มก้นในมือถือกล่องข้าว พร้อมกับยิ้มแย้มให้กับชายหนุ่มที่อยู่ในป้อมยาม คนในป้อมเกาหัวอย่างเขินๆ พร้อมโน้มคอเชิงขอบใจ จากนั้นนางนั่นก็โบกมือบ๊ายบายแล้วเดินถือกล่องข้าวออกมา เดินออกมาได้สักพักก็หันไปยิ้มให้หนุ่มในป้อมใหม่
ผัดไทยในชุดรปภครึ่งท่อนยืนยิ้มแฉ่งอยู่ในป้อมพร้อมกับโบกมือ
"หึ ! ที่อย่างนี้ยิ้มหน้าบานเชียวนะ"
ประธานสาวกัดฟันพูดด้วยเสียงแผ่วเบากับตัวเอง ตาเฉี่ยวชั้นเดียวฉายแววไม่พอใจออกมาอย่างชัดเจน
"ลื้อเป็นไร ? โกรธใคร ?" อาอี๊ถามพร้อมมองตามสายตาหลานสาวอย่างสงสัย
รินรดาไม่ตอบแต่ค่อยๆ ชะลอรถตามหลังเด็กสาวคนนั้นไป ดูจากทิศทางแล้วน่าเป็นแม่ค้าร้านข้าวที่อยู่เลยซอยนั้นไปสามซอย กางเกงสั้นเห็นแก้มก้นเดินบิดส่ายไปมาอย่างอ่อยเหยื่อ
"หึ !!"
จังหวะที่แม่ค้าสาวเดินผ่านถนนตรงช่วงที่มีน้ำขัง ประธานสาวก็เร่งเครื่องเหยียบน้ำสาดกระจายเหมือนคลื่นสูงที่ซัดเข้าหาฝั่ง
"ว๊ายยยย "
แม่ค้าสาวร้องเสียงหลงพยายามยกมือขึ้นป้องแต่สายไปแล้ว....นางเปียกไปครึ่งตัว ทำท่าจะขยับปากด่าแต่ก็ยังสายไปอีก
รินรดายิ้มอย่างสะใจพร้อมเร่งเครื่องหนีแต่ก็อดไม่ได้ที่จะมองผลงานตัวเองทางกระจกหลัง
"อาริน ลื้อไปแกล้งเค้าทำไม คนทำมาหากิน"
"แกล้งไรอี๊ หนูไม่ได้ตั้งใจจะเหยียบเบรกแต่ไปโดนคันเร่ง ฮ่า ๆ"
"ลื้อนี่น้ำขุ่นๆ" อาอี้มองหลานสาวด้วยสายตากังวลแต่ก็ไม่ว่ากล่าวอะไรต่อ
รินรดาไม่ได้ใส่ใจต่ออาการของอาอี๊มีเพียงเรื่องเดียวที่คิดอยู่ในหัว
'คนแบบฉันเนี่ยนะ ?
ทั้งรวยและสวยแบบฉันเนี่ยนะ ?
หนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่รุมตามจีบแบบฉันเนี่ยนะ ?
คนแบบฉันเนี่ยนะจะถูกเมิน ?
ไม่มีทาง !'
'ไอ้เด็กบ้าพรุ่งนี้เรามีเรื่องต้องคุยกัน'
จะคืนคริสมาส คืนส่งท้ายปีหรือคืนวาเลนไทน์ บรรยากาศในซอยเล็กๆ แห่งนี้ก็ไม่เคยเปลี่ยนไป มีเพียงแค่แสงไฟจากป้อมยามอันโดดเดี่ยวกับไฟทางคุณภาพต่ำที่เป็นที่พึ่งพา ไม่มีใครสามารถรู้ได้ว่าหนุ่มหน้าคมในป้อมยามจะรู้สึกถึงความเหงาเปล่าเปลี่ยวที่ปกคลุมโดยรอบบ้างหรือไม่
ร่างสูงบึกบึนใบหน้าคมคายนั้นยังคงนั่งอ่านหนังสือตามเดิมไม่มีแววสะทกสะท้านต่อสิ่งใด
'คืนวาเลนไทน์ก็คงไม่มีความหมายกับเธอเหมือนกันซินะ'
.
.
"แฮร่ !!!"
ประธานสาวแอบย่องมาอย่างเงียบๆ แล้วแกล้งหลอกเสียงดังหวังว่าจะได้เห็นอาการตกใจจากคนซื่อบื้อบ้าง แต่เปล่าเลยรปภหนุ่มเงยหน้าขึ้นมามองด้วยสีหน้าเมินเฉยจากนั้นก็ปรากฏรอยยิ้มกว้างที่ดูออกทันทีว่าไม่ได้แสแสร้ง
รินรดาใจชื้นขึ้นมาหน่อยที่พ่อผัดไทยของเธอยังออกอาการดีใจให้ได้เห็นบ้าง ปากบางชมพูจึงส่งยิ้มหวานทักทายกลับไป
"สวัสดีครับพี่ ผมนึกว่าจะไม่ได้เจอพี่อีกแล้ว"
"หึ พูดเหมือนว่าเราอยากเจอพี่งั้นแหละ"
ประธานสาวมองคนซื่ออย่างจับสังเกตุว่ามีท่าทีดีใจหรือไม่ พร้อมกับนั่งลงข้างๆ อย่างถือวิสาสะอีกเช่นเคย ไม่มีคำตอบจากคนซื่อมีแต่เพียงรอยยิ้มที่ทายไม่ออก
"ว่าไงเรานะอยากเจอพี่ไหม"
ประธานสาวคาดคั้นต่อ
"ก็....." มีแต่คำว่า ก็ และรอยยิ้มแทนคำตอบรินรดามองหน้านั้นอย่างหงุดหงิดแต่ก่อนจะได้เอ่ยอะไรออกไป หนุ่มคนซื่อก็ชิงพูดขึ้นมาก่อนด้วยประโยคที่ทำเอาประธานสาวถึงกับเสียอาการ
"พี่จะมากระทำชำเราผมอีกแล้วใช่ไหมครับ ?"