บทนำ
เรื่อง : ลิ้มรสรักชีค
เขียน : ใจดินสอ
© สงวนลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ ๒๕๓๗ และฉบับเพิ่มเติม ๒๕๕๘ ห้ามมิให้ผู้ใดคัดลอก เลียนแบบ ดัดแปลง หรือเผยแพร่ด้วยวิธีการอื่นใดโดยมิได้รับอนุญาต
.
คำเตือน
เนื้อหาในนิยายมีการบรรยายถึงฉากร่วมเพศ ความรุนแรง คำหยาบคาย ผู้เขียนแต่งขึ้นเพื่อความบันเทิง ตัวละคร สถานที่ ราชวงศ์ สถานภาพและตำแหน่งต่าง ๆ ของตัวละคร รวมถึงเหตุการณ์ในนิยายล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องที่ผู้เขียนแต่งขึ้นมาทั้งสิ้น ไม่ได้มีอยู่จริง เหมาะสำหรับนักอ่านอายุ 18 ปีขึ้นไป โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
หากผู้เขียนสื่อสาร บรรยายเกินจริง หรือผิดพลาด ประการใด ขอเรียนให้ทราบว่าผู้เขียนไม่ได้ตั้งใจหรือมีเจตนาไม่ดี และขออภัยไว้ ณ ที่นี้ / ใจดินสอ นักเขียน
.
แนะนำตัวละครหลัก
ชีคอาซิซ บินอาเมียร์คาน อาลอัปซาล (อาซิซ) : เจ้าชายลำดับที่ 2 แห่งราชวงศ์อัปซาล ณ ดินแดนทะเลทราย ผู้ครองหนึ่งในเจ็ดรัฐ เจ้าของกิจการผลิตและส่งออกอาวุธ นายทุนกระเป๋าหนักที่นักธุรกิจต่างชาติอยากเข้าหา อูฐแก่ที่สาวน้อยสาวใหญ่ต่างหมายตา
สโรชา กาดีร์ (พรีม) : นักศึกษาสาวลูกเสี้ยวไทย-อาหรับ คณะบริหารธุรกิจ ทายาทเจ้าของโรงแรมดัง เจ้าของฉายาแม่นกน้อยในกรงทอง
.
.
.
บทนำ
“ที่พ่อพูดมาหมายความว่ายังไงคะ เราจะล้มละลาย? มีนายทุนต่างชาติเข้ามาเทคโอเวอร์กิจการไปแล้วทิ้งหนี้ก้อนโตไว้ให้?” ดวงตากลมเบิกกว้างด้วยความตกใจเมื่อได้ยินสิ่งที่ผู้เป็นพ่อเอ่ย
“ทำไมถึงเป็นแบบนี้ล่ะคะ เรื่องใหญ่แบบนี้ทำไมพรีมไม่ได้ยินข่าวอะไรก่อนหน้านี้เลย” ลูกสาวมองหน้าพ่อสลับกับแม่ ร่างเล็กยืนอยู่กลางห้องทำงานของผู้เป็นพ่อโดยมีแม่นั่งก้มหน้าอยู่โซฟา ส่วนพ่อนั่งเอามือปิดหน้าบนเก้าอี้หลังโต๊ะทำงาน
“พ่อผิดเองพรีม พ่อขอโทษนะที่ทำให้ลูกเดือดร้อน” มือหนาละออกจากใบหน้าแล้วมองลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนด้วยดวงตาแดงก่ำ ในใจเต็มไปด้วยความรู้สึกผิดต่อลูกและภรรยา “แต่พรีมไม่ต้องเป็นห่วงนะ พ่อจะไม่ทำให้พรีมลำบาก ถึงจะล้มละลายแต่ก็ยังพอมีเงินก้อนเล็ก ๆ ไว้ให้พรีมเรียนต่อจนจบ แล้วก็ใช้ช็อปปิงใช้เที่ยวกับเพื่อน ๆ ได้เหมือนดะ…”
“คิดว่าพรีมถามเพราะอยากฟังเรื่องนี้เหรอคะ!” เสียงลูกสาวดังก้องห้องทำผู้เป็นพ่อและแม่ชะงักไป พอตั้งสติได้สโรชาก็ชะงักไปเช่นกัน นี่เป็นครั้งแรกที่เธอขึ้นเสียงใส่บิดาบังเกิดเกล้าและทำกิริยาหยาบคายเช่นนี้ ก่อนจะเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลง “พรีมแค่อยากรู้ว่าทำไมพ่อกับแม่ถึงไม่บอกอะไรพรีมเลย อย่างน้อย ๆ ก่อนจะมีปัญหาก็ควรบอกกันบ้างสิคะ จะได้ช่วยกันหาทางแก้ไข หรือที่ผ่านมาพรีมเป็นลูกสาวที่ทำให้พ่อกับแม่วางใจไม่ได้ เป็นลูกสาวที่ทำประโยชน์อะไรไม่ได้”
“ไม่ใช่แบบนั้นนะพรีม!” พ่อกับแม่ปฏิเสธพร้อมกันเสียงดัง “พ่อกับแม่ก็แค่ไม่อยากให้พรีมคิดมาก ยิ่งตอนนี้พรีมต้องเตรียมตัวฝึกงาน ถ้ารู้เรื่องนี้เข้าจะไม่มีสมาธิฝึกงานเอา” ประโยคนี้ผู้เป็นแม่พูดขึ้น
“พ่ออยากให้พรีมได้ใช้ชีวิตของพรีมอย่างเต็มที่ ไม่อยากให้มาปวดหัวเรื่องธุรกิจเหมือนพ่อ”
“แต่พรีมก็ต้องรู้อยู่ดีนี่คะ ยังไงธุรกิจของครอบครัวเราก็ต้องส่งต่อให้พรีมดูแลอยู่แล้ว ใช่ว่าจะให้คนอื่นมาดูแลแทนแล้วให้พรีมถือหุ้นรอรับผลประโยชน์อย่างเดียวสักหน่อย” สาวน้อยมองพ่อกับแม่สลับกันพร้อมกับถอนหายใจออกมา ทว่าทั้งคู่กลับหลบตาและเอาแต่เงียบราวกับสิ่งที่เธอพูดเมื่อครู่นั้นถูกต้องทุกอย่าง
“…”
“…เดี๋ยวนะ! นี่พ่อกับแม่คิดจะให้พรีมนั่งกินนอนกินอย่างเดียวจริง ๆ เหรอคะ” เป็นอีกครั้งที่ลูกสาวเอ่ยถามด้วยความตกใจ “นี่พ่อกับแม่เห็นพรีมเป็นอะไรคะ ทุกคนคิดว่าจะเลี้ยงพรีมไปจนแก่เลยเหรอ”
“…”
“พรีมไม่ได้อยากเกิดมาเพื่อใช้เงินแล้วตายไปโดยที่ไม่ได้ทำอะไรให้พ่อกับแม่นะคะ”
“…”
“พอค่ะ! พอก่อนนะ พอ” มือเล็กคลึงขมับตัวเองเมื่อพ่อกับแม่เอาแต่เงียบ ศีรษะทุยปวดตุบ ๆ จนต้องขมวดคิ้วเมื่อได้รู้ความคิดของพวกท่าน “เราหยุดเรื่องนี้ไว้ตรงนี้แล้วคุยอีกเรื่องก่อนดีกว่าค่ะ” สโรชาเดินผ่านหน้ามารดาไปนั่งโซฟาอีกตัว ส่วนบิดาต้องลุกจากโต๊ะทำงานมาร่วมวงด้วยอย่างเลี่ยงไม่ได้
“ทำไมอยู่ดี ๆ ถึงมีนายทุนเข้ามาเทคโอเวอร์กิจการของเราได้ล่ะคะ พรีมว่ามันกะทันหันไปนะ ถ้ามีคนที่ถือหุ้นมากกว่าคนในครอบครัวเรา เราก็ต้องรู้สิคะ” คำถามแรกของลูกสาวทำให้ผู้เป็นพ่อกุมขมับ
ปกติแล้วถ้ามีผู้ถือหุ้นคนไหนครอบครองหุ้นเพิ่มขึ้นทุกห้าเปอร์เซ็นต์ของหุ้นที่มีสิทธิ์ออกเสียงทั้งหมดในบริษัทฯ ฝ่ายที่ดูแลอยู่จะต้องรายงานผลให้ทราบทุกครั้ง ดังนั้นมันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะถูกฮุบบริษัทฯ โดยที่ไม่ทันได้ตั้งตัวแบบนี้
“ความจริงแล้วเรื่องนี้ฝ่ายที่ดูแลอยู่ก็ตกใจเหมือนกัน เพราะจู่ ๆ คนที่ถือหุ้นเกินห้าเปอร์เซ็นต์ก็ถ่ายโอนหุ้นพร้อมกันในคราวเดียวราวกับว่าเตรียมการมาแล้ว” คำพูดของพ่อทำให้สโรชาอดคิดไม่ได้ว่าอีกฝ่ายใช้วิธี Hostile Takeover หรือพูดอีกอย่างก็คือฝ่ายนั้นเข้ามาครอบงำกิจการของเธอโดยวิธีที่ไม่เป็นมิตร ภาษาชาวบ้านก็ฮุบกิจการหรือบังคับขายกิจการโดยที่อีกฝ่ายไม่เต็มใจนั่นเอง ซ้ำร้ายยังมีหนี้ก้อนโตทิ้งไว้ให้หลังฮุบกิจการไปอีก นี่มันนายทุนหน้าเลือดชัด ๆ
“เราขอเจรจาใหม่อีกครั้งได้นี่คะ ตอนนี้ยังดำเนินการไม่แล้วเสร็จ น่าจะพอมีทางออกอยู่นะ ถึงจะไม่ได้บริษัทคืนมาแต่ก็น่าจะขอเจรจาเรื่องค่าใช้จ่ายที่ฝ่ายเราต้องแบกรับหลังถ่ายโอนบริษัทนะคะ”
“พ่อเองก็อยากทำแบบนั้นเหมือนกัน ถ้าได้คุยกับนายทุนตัวจริงเรื่องคงจบดีกว่านี้ แต่นี่คุยผ่านตัวแทน เขาก็คงทำตามหน้าที่ที่ได้รับมา ตัดสินใจอะไรเองมากไม่ได้แถมยังคุยด้วยยากสุด ๆ ไปเลย เสนออะไรไปก็ปัดตกทุกอย่าง จนเรากลายเป็นฝ่ายเสียเปรียบ ส่วนนายทุนตัวจริงพ่อลองถามคนในวงการดูก็ไม่เคยมีใครเคยเจอเขามาก่อน” สองพ่อลูกคุยกันโดยที่ผู้เป็นแม่นั่งฟังเงียบ ๆ
“คนที่มาเจรจาทีแรกเป็นตัวแทนใช่ไหมคะ” ลูกสาวย่นคิ้วถาม
“ใช่ ยังหนุ่มอยู่เลย แต่บรรยากาศรอบตัวน่าอึดอัดอย่างกับคนที่ผ่านอะไรมามากมายนับไม่ถ้วน คำพูดคำจาก็เด็ดขาดจนพ่อฟังแล้วยังรู้สึกกดดันจนไม่กล้าแย้งอะไร”
“ถ้าพ่อที่เคยอยู่ในดงกระสุนดงปืนพูดแบบนี้ งั้นพวกเขาก็ไม่ใช่คนธรรมดาสิ” เป็นอีกครั้งที่ลูกสาวมองพ่อกับแม่สลับกัน “เป็นศัตรูของพ่อกับแม่หรือเปล่าคะ” สโรชาถามต่อเพราะคิดเป็นอื่นไม่ได้เลย
อดีตของบิดาคือพ่อค้าอาวุธสงคราม เป็นมาเฟียค้าอาวุธแห่งดินแดนทะเลทราย ส่วนแม่ของเธอนั้นก่อนจะมาเป็นเลขาของพ่อและรักกันจนถึงทุกวันนี้ก็เคยเป็นนักฆ่าของฝ่ายตรงข้ามที่แฝงตัวเข้าหาพ่อมาก่อน พอทั้งคู่รักกัน แต่งงานกันและมีเธอ จึงวางมือจากธุรกิจอันตรายมาทำธุรกิจโรงแรมและอสังหาฯ ใช้ชีวิตที่เมืองไทยอยู่ยี่สิบกว่าปีจนได้สัญชาติไทยมาครอบครอง ทั้งสองท่านเคยใช้ชีวิตมาแบบนั้น พอมีเธอซึ่งเป็นแก้วตาดวงใจเพียงหนึ่งเดียวจึงเลี้ยงดูอย่างประคบประหงม ทะนุถนอมราวกับเป็นนกน้อยในกรงทอง
“ไม่รู้เลยลูก สืบยังไงก็หาอะไรไม่เจอ พิมพ์ชื่อลงอินเทอร์เน็ตก็ยังไม่มีอะไรขึ้นมา เห็นเงินหนาขนาดนั้นพ่อก็นึกว่าจะเป็นคนดังพอให้ได้ติดตามข่าวคราวดูบ้าง แต่กลับเงียบทุกช่องทางจนน่าแปลกใจ”
“เขาชื่ออะไรคะ”
“นายทุนตัวจริงพ่อไม่รู้ แต่ตัวแทนที่มาเหมือนจะชื่อ คาริบ”
“เป็นคนที่ไหนคะ”
“อาหรับเอมิเรตส์”
“…คนบ้านเดียวกับคุณปู่เหรอคะ”
“ใช่”
“งานหยาบเลยนะเนี่ย ยิ่งเราตัดขาดจากคุณปู่กับคุณย่าแล้วยิ่งไม่มีทางออกเลย” เพราะการตัดสินใจก้าวออกมาจากโลกสีเทาของผู้เป็นพ่อทำให้ต้องตัดขาดจากญาติพี่น้องและเพื่อนพ้องที่เคยสนิทกัน ตอนนี้จึงไม่สามารถขอความช่วยเหลือจากใครได้เลย
“พ่อสืบมารู้แค่ว่าเจ้านายของเขามีธุรกิจอย่างอื่นที่นี่ด้วย เป็นบริษัทนำเข้าซูเปอร์คาร์ ชื่ออาเมียร์คานอะไรสักอย่างนี่แหละ แต่ชื่อประธานตัวจริงและผู้ถือหุ้นรายใหญ่ถูกปกปิดเป็นความลับทั้งหมด เลยหาอะไรไม่เจออีก”
ครืด ครืด ครืด
ยังไม่ทันที่สามพ่อแม่ลูกจะได้คุยอะไรกันต่อ เสียงโทรศัพท์มือถือของผู้เป็นพ่อก็ดังขึ้นเสียก่อน
“เดี๋ยวพ่อรับสายนี้ก่อนนะ กลับบ้านแล้วค่อยคุยกันใหม่” ผู้เป็นพ่อเอ่ยก่อนจะกดรับสายแล้วเดินแยกตัวออกไป ในตอนนั้นเองเสียงโทรศัพท์มือถือของผู้เป็นแม่ก็ดังขึ้น
“ถ้างั้นพรีมเข้าบ้านก่อนดีกว่าค่ะ เราค่อยคุยกันอีกทีก็ได้” ลูกสาวฉีกยิ้มให้แม่เมื่อเห็นว่าทุกคนต่างมีธุระก่อนจะแยกย้ายกัน
@แชต
สโรชา : ยัยโย
สโรชา : ฉันได้ที่ฝึกงานแล้ว พรุ่งนี้ไปขอหนังสือแนะนำกัน
โยธกา : ที่ไหน ฉันไปด้วย
สโรชา : อาเมียร์คาน ซูเปอร์คาร์
สาวน้อยยกยิ้มเมื่อกดหาชื่อบริษัทฯ ตามที่บิดาบอกไว้ แล้วในประเทศไทยมีที่นี่ที่เดียวโผล่ขึ้นมา
“จะต้องเจอให้ได้ อย่างน้อยในช่วงฝึกงานก็ต้องมีสักวันที่เจ้าของตัวจริงต้องเข้าบริษัทแหละนะ เป็นต่างชาติก็จริงแต่เพิ่งฮุบกิจการคนอื่นไปก็ต้องมาดูอะไรแถวนี้เองบ้างแหละ ถึงจะไม่ได้พบหน้ากันตรง ๆ เพราะเราเป็นแค่เด็กฝึกงาน แต่ได้เห็นรถเขาหรือประตูห้องทำงานเขาก็ยังดี แม่จะพุ่งชนไปเลย”
.
.
.
>>> ลงรายตอนจบแล้วในธ*****ยและรี้ดอะไรต์ ลงอีบุ๊กใน MEB นะคะ
>>> อ่านแล้วถูกอกถูกใจ อย่าลืมกดไลก์และกดติดตามนะคะ