“เราต้องทำได้” สาวน้อยพูดกับเงาตัวเองที่สะท้อนกระจกด้านในลิฟต์ขณะถือถาดกาแฟ พอจะได้เจอเขาจริง ๆ ก้อนเนื้อในอกข้างซ้ายก็เต้นโครมครามไม่หยุด “เราต้องคิดในแง่ดีเข้าไว้ บางทีเขาอาจจะใจดีก็ได้ กว่าจะรวยขนาดนี้ก็ต้องผ่านความลำบากมาก่อน เขาน่าจะเข้าใจเราแหละ” ว่าแล้วก็สูดหายใจเข้าปอดลึก ๆ นึกถึงแต่เรื่องดี ๆ ที่เคยประสบพบเจอมาพอได้เป็นกำลังใจให้ตัวเอง
ติ๊ง!
แต่ทันทีที่ประตูลิฟต์เปิดออก ปลายกระบอกปืนก็จ่อเข้าที่กลางหน้าผากมน พร้อมกันนั้นถาดกาแฟในมือเล็กก็ร่วงลงพื้นจนเกิดเสียงดัง
เพล้ง!
“กรี๊ดดด!!! จะ จะทำอะไรคะ!” ถึงจะตกใจกลัวแต่ก็ยังพอมีสติที่จะถาม ทว่าก็ต้องชะงักกับท่าทางน่ากลัวของอีกฝ่าย
“ใครส่งแกมา” ชายในชุดสูทสีดำใบหน้าครึ่งท่อนล่างมีเคราดกดำปกปิด ส่วนครึ่งบนสวมแว่นตาสีดำเอ่ยถามด้วยภาษาไทยสำเนียงแปลก ๆ มือใหญ่ข้างหนึ่งของเขากระชากท่อนแขนเล็กจนสโรชาเซถลามายืนอยู่นอกลิฟต์
“พะ พี่หญิงค่ะ พี่หญิงบอกให้พรีม เอ๊ย พี่หญิงบอกให้ฉันเอากาแฟมาเสิร์ฟแทนเพราะพี่หญิงต้องเข้าประชุมค่ะ” คนตอบไม่ใช่แค่เสียงสั่นแต่เนื้อตัวยังสั่นไปด้วย คำตอบของสาวน้อยทำให้คนที่จ่อปืนใส่หน้าผากเธอหันไปซุบซิบบางอย่างเป็นอีกภาษากับบอดี้การ์ดอีกคน ก่อนจะมีการติดต่อกันผ่านหูฟังไปยังที่หนึ่ง ระหว่างนั้นสโรชาก็เริ่มตั้งสติได้ ดวงตากลมสั่นไหวค่อย ๆ ลอบมองไปยังโถงทางเดินซึ่งมีบอดี้การ์ดนับสิบกำลังยืนเล็งปืนมาที่เธอ แต่ในโชคร้ายก็ยังมีโชคดี เพราะตอนนี้สโรชามั่นใจแล้วว่าคนที่เธออยากเจอนั้นอยู่ที่นี่จริง ๆ
“ขอโทษที่ทำให้ตกใจด้วย” เสียงทุ้มเอ่ยด้วยภาษาไทยพร้อมกับลดกระบอกปืนลง พลันนั้นบอดี้การ์ดคนอื่นก็ลดปืนลงแล้วกลับไปยืนประจำที่ตามเดิม “คราวหน้าก็อย่าขึ้นมาอีก ที่นี่นอกจากบอดี้การ์ดกับเลขาและผู้ช่วยเลขาแล้วก็ห้ามคนอื่นขึ้นมา” คนตรงหน้าเอ่ยต่อ
“แล้วถ้ามีเรื่องสำคัญที่ต้องคุยกับเจ้านายล่ะคะ” ยังไม่ทันจะได้รับคำตอบ บานประตูห้องที่ใหญ่ที่สุดในชั้นก็เปิดออกพร้อมกับบอดี้การ์ดคนหนึ่งก้าวออกมา
“ท่าน… อื้ม นายให้เข้าไปพบครับ คุณสโรชา” ท้ายทอยบางเย็นวาบทั้งที่คนมาใหม่ยืนพูดอยู่ตรงหน้าแต่เธอกลับเสียววาบไปทั้งแผ่นหลัง ชื่อของเธอที่ไม่เคยบอกใครในชั้นนี้แต่คนตรงหน้ากลับรู้ได้ในทันทีทำให้สโรชาเริ่มใจเสีย เมื่อครู่ที่พวกเขาติดต่อกันคงสืบเรื่องของเธอหมดแล้ว แน่นอนว่าตอนนี้ตัวตนของเธอถูกเปิดเผย ไม่เช่นนั้นคนในห้องคงไม่เรียกเธอเข้าไปพบ
สโรชาเดินเข้ามาในห้องทำงานที่ถูกตกแต่งด้วยข้าวของราคาแพงโทนดำน้ำตาล ทว่าเดินเข้าไปได้เพียงไม่กี่ก้าวขาทั้งสองข้างก็แข็งทื่อจนก้าวไม่ออก ดวงหน้าน้อยร้อนผ่าวจนต้องเบือนหนีไปทิศทางอื่น ภาพตรงหน้าที่ทำให้อกสั่นขวัญหาย คือชายร่างใหญ่ใบหน้าคมเข้มสวมมิชลาฮ์สีดำแถบทองนั่งเอนหลังพิงเก้าอี้โซฟาอยู่ข้างโต๊ะทำงาน โดยมีหญิงสาวคนหนึ่งในสภาพเปลือยเปล่ากำลังนั่งคุกเข่าซุกหน้าอยู่กลางหว่างขาของเขา ยิ่งไปกว่านั้นคือในห้องนี้มีบอดี้การ์ดสองคนยืนหันหน้าไปทางนั้นด้วยท่าทีเรียบเฉย แม้จะตื่นตระหนกกับภาพที่ได้เห็น แต่เสี้ยวนาทีที่เห็นว่าเขาสวมเสื้อคลุมที่มีเพียงไม่กี่คนในประเทศนั้นสวมใส่ก็พอจะปะติดปะต่ออะไรได้ สาเหตุที่นายทุนหน้าเลือดคนนี้พบตัวได้ยากเย็นและมีการคุ้มกันที่แน่นหนาขนาดนี้ เขาจะต้องเป็นบุคคลสำคัญระดับประเทศแน่นอน
“สโรชา…” เพียงแค่คนที่นั่งอยู่เอ่ยชื่อเธอเบา ๆ พร้อมกับจ้องมองมา ร่างน้อยก็เย็นวาบ มุมปากหนามีเคราสีอ่อนปกคลุมกระตุกยิ้มร้ายใส่เธอ ทว่าดวงตาคมเข้มของเขากลับไม่ยิ้มตาม
“ทายาทโรงแรมดังเข้ามาฝึกงานในบริษัทของฉัน” ประโยคถัดมาของคนตรงหน้าทำหัวใจดวงน้อยเต้นโครมคราม ขณะเดียวกันมือคนพูดก็กดศีรษะของหญิงสาวที่ซุกหน้าอยู่กลางหว่างขาลงแรง ๆ จนสโรชาถึงกลับกลั้นหายใจเมื่อได้ยินเสียงอู้อี้ปนเสียงสำลักของเธอ “เธอถามเรื่องของฉันจากคนในนี้เยอะเลยนะ” เขาพูดต่อพร้อมทึ้งผมดกดำของหญิงสาวตรงหน้าขึ้นก่อนจะกดลงแรง ๆ จนเธอสำลักอีกครั้ง
“ที่ฉันเข้ามาฝึกงานเป็นเรื่องจริงค่ะ แต่ไม่ได้มีเจตนาไม่ดีแอบแฝงนะคะ ช่วงนี้อยู่ในช่วงฝึกงานจริง ๆ ถ้าคุณรู้ชื่อฉันก็น่าจะรู้เรื่องนี้ด้วย” คนเสียงสั่นพยายามสบตากับเขาทว่าภาพของหญิงสาวที่กำลังดื่มด่ำของหวานอยู่หว่างขาแกร่งก็ทำให้เธอเริ่มเสียสมาธิ “ส่วนเรื่องที่ฉันอยากรู้เกี่ยวกับคุณก็เพราะ…”
“แค่ก แค่ก แค่ก” เสียงสำลักของหญิงสาวเจ้าของแผ่นหลังขาวเนียนทำให้สโรชาเริ่มนึกคำพูดตัวเองไม่ออก
“แปลกแฮะ” เสียงทุ้มพึมพำขณะช้อนตามองร่างอรชรในชุดนักศึกษาตรงหน้า “วันนี้เสร็จเร็ว แต่ก็กลับมามีอารมณ์อีกแล้ว” มุมปากหนาเหยียดยิ้มขณะกดศีรษะของหญิงสาวตรงหน้าเข้าหาหว่างขาอีกครั้ง แต่ดวงตาเขากลับมองมายังร่างเล็กเบื้องหน้า
“ฉันอยากคุยกับคุณเรื่องกิจการของครอบครัวที่ถูกเทคโอเวอร์ไปค่ะ” สาวน้อยกัดฟันพูด
“คุยเรื่องงานกับคนไม่เคยทำงานแล้วจะได้อะไร” ฉายาของเธอคือแม่นกน้อยในกรงทองที่มีดีแค่ความสวย ความฉลาดเดียวที่สโรชามีคือเรื่องเรียน ส่วนเรื่องงานในบริษัทนั้นเธอไม่เคยแตะเลยสักนิดและไม่รู้อะไรเลยสักอย่าง ไม่แปลกที่เขาจะพูดแบบนี้
“มะ ไม่ใช่ค่ะ ฉันหมายถึงอยากให้คุณกับคุณพ่อของฉันเจรจาเรื่องนี้กันใหม่อีกครั้งน่ะค่ะ”
“ทำไมล่ะ” คนฟังถามกลับอย่างไม่ใส่ใจ
“ก็คุณฮุบกิจการของฉันไปอย่างไม่เป็นธรรมนี่คะ สิ่งที่คุณทำมันเรียกว่าการบังคับขายนะ”
“แล้วยังไง?” คิ้วหนาเลิกขึ้น ใบหน้าคมเข้มเรียบเฉยไร้ชีวิตชีวาไม่สนใจอะไร “นักธุรกิจที่ไหนจะมีคุณธรรม แต่ถึงมีก็ต้องนึกถึงกำไรก่อนคุณธรรมอยู่แล้ว” สโรชาสูดหายใจเข้าปอดลึก ๆ เมื่อนึกถึงคำพูดของโยธกาเพื่อนรัก เธอไม่น่าเผชิญหน้ากับเขาเองเลย ถูกถามแบบนี้แล้วจะตอบยังไง รู้สึกเป็นเด็กน้อยจริง ๆ
“ก็… ก็สิ่งที่คุณทำมันไม่ถูกต้องนี่คะ ถ้าจะเข้ามาเทคโอเวอร์ก็ต้องเข้ามาโดยที่ทั้งสองฝ่ายต่างก็พึงพอใจในผลประโยชน์สิคะ”
“เด็กน้อย” เสียงทุ้มเรียกคนตรงหน้าก่อนจะดันหญิงสาวที่ซุกหน้าอยู่กลางหว่างขาออกแล้วจัดแจงเสื้อผ้าตัวเองให้เข้าที่เข้าทาง “ที่ฉันเข้ามาเทคโอเวอร์โรงแรมของเธอก็เพราะฉันอยากได้ ส่วนวิธีการน่ะมันไม่สำคัญหรอก ฉันสนใจแค่ผลลัพธ์ของมันเท่านั้น แล้วก็สิ่งที่ฉันทำอยู่มันไม่ผิดกฎหมายเลย”
“…” ลำคอบางกลืนน้ำลายลงอึกใหญ่ขณะก้าวถอยหลังเมื่อคนตรงหน้าเดินเข้ามาหาช้า ๆ
“เข้าใจไหมว่าที่ฉันเทคโอเวอร์โรงแรมของเธอก็เพราะฉันอยากได้โรงแรมของเธอ”
“นี่คุณ…” มือเล็กกำกันแน่นอยู่ข้างลำตัวเมื่อใบหน้าคมเข้มโน้มเข้ามาใกล้ ลมหายใจร้อน ๆ ของบุคคลอันตรายที่พ่นใส่ผิวหน้าทำให้ร่างน้อยชาวาบไปทั้งตัว
“แล้วฉันก็ไม่อยากเจรจากับพ่อเธอ แต่ถ้าเจรจากับเธอก็ไม่แน่” เป็นอีกครั้งที่สโรชาเห็นมุมปากหนายกยิ้มโดยที่ดวงตาของเขาไม่ยิ้มตามเช่นเคย
“หมายความว่าจะเจรจากับฉันแทนเหรอคะ” ดวงตากลมเบิกกว้างด้วยความดีใจจนเผลอฉีกยิ้มออกมา แต่ก็ต้องรีบหุบยิ้มเมื่อคนตรงหน้าชะงักไปเพราะท่าทีของเธอ
“สนใจไหมล่ะ” ร่างกำยำปรับสีหน้ากลับมาเป็นปกติอย่างรวดเร็วพร้อมกับพยักหน้าให้เบา ๆ เขายืนกอดอกมองเธอก่อนจะพูดบางอย่างต่อ “ถึงตอนนี้ฉันจะถือหุ้นมากกว่าพ่อของเธอแต่อำนาจการตัดสินใจจะเป็นของพ่อเธอทั้งหมด ขอแค่เธอตอบตกลงข้อเสนอของฉัน”
“จริงเหรอคะ! ถ้างั้นข้อเสนอที่ว่าคืออะไรเหรอคะ”
“ฉันจะยกเลิกการเทคโอเวอร์โรงแรม แล้วมาเทคโอเวอร์เธอแทน โอเคไหม”
“…คะ?”