บทที่7 กับข้าวฝีมือแม่

2421 Words
[บทบรรยายเรนเดียร์] ฉันยกมือปาดน้ำตาที่ไหลอาบแก้มออกอย่างลวก ๆ แล้วเงยหน้าขึ้นมองเพดาน พร้อมกับกลั้นน้ำตาไว้ไม่ให้ไหลลงมาอีก ฉันไม่อยากต้องมีน้ำตาอีกแล้ว มันน่าแปลกที่ลึก ๆ ฉันก็ยังรอเปอร์อยู่แต่พอเขามาขอโอกาสฉันกลับไม่อยากให้โอกาสเขาซะอย่างนั้น ความเจ็บที่ฝังอยู่ในใจของฉันมันคงยากที่จะจางหายไป ขนาดผ่านมาเป็นปีจากฉันคิดว่าดีขึ้นมากแล้วเพราะใช้ชีวิตได้อย่างสนุกและมีความสุขอยู่ในทุกวัน ทว่ากลับกลายเป็นว่าตอนนี้เหมือนกับฉันโดนสะกิดเข้าที่แผลที่กำลังตกสะเก็ดแล้วเกิดเป็นแผลสดจนเจ็บปวดขึ้นมาอีกครั้ง ฉันเดินเข้าไปในห้องน้ำแล้วล้างหน้าล้างตาให้สะอาดเพื่อให้มีความสดชื่นขึ้นมาบ้าง ไม่อยากจมอยู่กับความคิดฟุ้งซ่านและความทรงจำบ้า ๆ ฉันเลยเปลี่ยนชุดแล้วลงมาที่ฟิตเนสส่วนกลางของคอนโด ระบายอารมณ์ด้วยการวิ่งบนลู่อยู่เป็นชั่วโมง เหงื่อที่โทรมกายและอาการที่เหนื่อยล้าช่วยให้ฉันหายจากความเครียดความเศร้าต่าง ๆ ได้ ฉันทิ้งตัวลงนั่งพักแล้วหยิบขวดน้ำดื่มที่เตรียมไว้มาเปิดดื่ม นั่งพักจนหายเหนื่อยแล้วก็ขึ้นมาที่ห้องของตัวเอง อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วทิ้งตัวลงที่โซฟาเปิดหาซีรีส์ดูไปอย่างเพลิดเพลินจนหมดวัน ช่วงสายของวันต่อมาฉันตื่นขึ้นมาด้วยความสดชื่น เพราะเมื่อคืนได้หลับสนิทไปอย่างรวดเร็ว ฉันนอนเกลือกกลิ้งเล่นบนที่นอน เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นมา “ฮัลโหลค่ะแม่” ฉันรับสายทันทีที่เห็นชื่อที่หน้าจอ [เดี๋ยวนี้ไม่มาหาแม่บ้างเลยนะเดียร์] เสียงของคนในสายมีความเง้างอนเจืออยู่ ฉันไม่ได้กลับไปบ้านเลย ได้เจอพ่อแม่ล่าสุดก็ตอนที่ไปงานแต่งงานญาติของฉัน “เดียร์ไม่ว่างเลยค่ะแม่” [แม่ไม่อยากจะเชื่อหรอกว่าไม่ว่าง เดียร์ไม่ได้คิดถึงพ่อกับแม่มากกว่ามั้ง] เสียงของแม่เหมือนกับว่าท่านน้อยใจมากทีเดียว ฉันรู้สึกผิดขึ้นมาเลย ทั้งที่ปกติแล้วฉันก็ไม่ค่อยได้กลับบ้าน พ่อกับแม่ก็ไม่เคยโทรมาพูดแบบนี้เลย สงสัยคราวนี้จะน้อยใจจริง ๆ แล้วมั้ง “คิดถึงสิคะ” [งั้นก็มาหาแม่บ้างสิ มาวันนี้เลยได้หรือเปล่าลูก] “ได้เลยค่ะแม่ งั้นเดี๋ยวเดียร์ไปหานะคะ” ฉันตอบกลับไปไม่มีอิดออด บ้านก็ไม่ได้อยู่ไกลนักขับรถไปสักประมาณหนึ่งชั่วโมงก็ถึงแล้ว แม่โทรมาหาขนาดนี้ยังไงฉันก็ต้องรีบกลับไปให้ท่านหายคิดถึง แม่จะได้ไม่น้อยใจฉันอีก [มาแน่นะลูก] แม่ถามราวกับว่าไม่เชื่อ “แน่สิคะแม่ เดี๋ยวเดียร์อาบน้ำเสร็จแล้วจะออกไปเลยค่ะ” ฉันพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง ไม่ใช่ว่าจะตอบตกลงแบบปัดไปเฉย ๆ สักหน่อย [เดี๋ยวแม่ทำกับข้าวอร่อย ๆ ไว้รอนะลูก ขับรถมาดี ๆ ละอย่าขับเร็วนักนะ] เสียงของแม่สดใสขึ้นมาก แม่คงดีใจจริง ๆ ที่ฉันจะกลับไปที่บ้าน “ค่าแม่” ฉันกดวางสายแล้วลุกไปอาบน้ำทันที ฉันใช้เวลาอาบน้ำไม่นานเพราะเดี๋ยวแม่จะรอนานเกินไป ก็เลยรีบอาบแล้วออกมาแต่งตัวแต่งหน้าเบา ๆ ให้พอไม่จืดชืด เปิดประตูห้องออกมาแล้วเผลอตัวมองประตูห้องตรงข้าม ฉันสะบัดหัวเพื่อเรียกสติตัวเองแล้วเดินออกมา จะต้องไปสนใจอะไรเขาทำไม ฉันเปิดเพลงคลอเบา ๆ ในระหว่างขับรถมาตลอดทาง จะได้ไม่เหงาเกินไปแม่โทรมาถามเป็นระยะว่าใกล้ถึงหรือยัง เมื่อมาถึงบ้านแล้วฉันก็เลี้ยวรถเข้ามาที่โรงจอดรถของบ้านให้เรียบร้อย เมื่อเดินลงมาจากรถแล้วก็รู้สึกแปลกใจขึ้นมาว่าวันนี้แม่ฉันดูแปลกไปยังไงชอบกล ปกติแม่ก็ไม่เคยมายืนรอถึงหน้าประตูบ้านแบบนี้เลย หรือว่าคราวนี้แม่จะตื่นเต้นเป็นพิเศษกับการกลับบ้านของฉันขนาดนั้นเลยหรือเปล่า ฉันยกมือไหว้แม่ด้วยความนอบน้อม แม่ก็อ้าแขนให้ฉันสวมกอด ใบหน้าของแม่นั้นฉายแววความสุขอย่างชัดเจน ทั้งรอยยิ้มและแววตาที่ประกายออกมา แต่ฉันรู้สึกได้ว่าแม่ดูแปลกไปราวกับมีอะไรเป็นพิเศษ “แม่ตื่นเต้นที่เดียร์กลับมาขนาดนี้เลยเหรอคะ” ฉันถามด้วยความสงสัย ตอนแรกก็พยายามจะไม่คิดอะไรแต่ก็ยังรู้สึกคาใจว่าทำไมแม่ถึงมีท่าทางที่แปลกไปจริง ๆ “ก็แม่ดีใจนี่ที่ลูกสาวคนสวยของแม่มาหา” แม่ประคองใบหน้าของฉันแล้วหอมแก้มฉันไปฟอดใหญ่ เชื่อแล้วว่าแม่ดีใจจริง ๆ ฉันก็เลยสวมกอดท่านไว้แน่นแล้วหอมแก้มของแม่บ้าง “เดียร์ก็คิดถึงแม่เหมือนกันค่ะ” “ว่าแต่เดียร์ผอมลงอีกหรือเปล่า” แม่ยิ้มแล้วมองรูปร่างของฉัน “เดียร์ลดหุ่นค่ะแม่” ฉันยิ้มหวานให้แม่อย่างออดอ้อน เพราะกลัวว่าท่านจะบ่นเรื่องที่ฉันลดน้ำหนัก “ผอมจะแย่อยู่แล้วจะลดทำไมอีก” แต่แม่ก็ไม่หลงกลด้วยท่านยังบ่นอีก แม่ชอบบ่นเรื่องรูปร่างของฉันอยู่เสมอ เจอกันทีไรก็ต้องถามคำถามนี้ทุกทีเลย “อย่าบ่นเลยค่า เข้าบ้านกันดีกว่า” ฉันต้องรีบเปลี่ยนเรื่องเพราะถ้าไม่ขัดแม่ก็จะบ่นยาวเลยน่ะสิ ฉันเดินเข้ามาในบ้านก็เจอว่าพ่อนั่งอ่านหนังสืออยู่ที่ห้องรับแขก “สวัสดีค่ะพ่อ” พ่อได้ยินเสียงฉันก็เงยหน้าขึ้นมามอง แล้วพ่อก็รีบวางหนังสือลงบนโต๊ะ ก่อนจะลุกเดินเข้ามาหา ฉันพุ่งตัวไปสวกอดพ่อด้วยความรวดเร็ว พ่อกอดตอบแล้วค่อยปล่อยออก ยื่นมือมาประคองใบหน้าของฉันแล้วเพ่งมองจนคิ้วขมวด สายตาที่มองมาราวกับว่าใบหน้าของฉันมีอะไรที่ผิดปกติไป “กินให้มันเยอะ ๆ หน่อยสิเดียร์ พ่อว่าลูกผอมเกินไปแล้ว” “เห็นไหมล่ะ แม่บอกแล้วว่าเดียร์ผอมเกินไป” แม่พูดขึ้นมาเพราะมีคนคิดตรงกัน ฉันยิ้มแห้งแล้วเถียงอะไรไม่ออก พ่อและแม่ความคิดตรงกันแบบนี้ฉันเถียงไปก็ไม่ชนะหรอก ทั้งที่ฉันก็น้ำหนักเท่าเดิมนั่นแหละ ไม่ได้ผอมลงอย่างที่พ่อแม่คิดสักหน่อย แต่น่าจะเป็นเพราะว่าพ่อและแม่ต้องการให้ฉันมีเนื้อมีหนังมากกว่านี้ ท่านคงติดภาพจำในตอนเด็ก ๆ ของฉันที่จ้ำม่ำมาก แก้มป่องใสอมชมพู ตอนเด็กก็น่ารักดี แต่พอโตมาฉันก็ไม่อยากเจ้าเนื้อแบบนั้นหรอก ฉันก็เลยลดน้ำหนักจนหน้าท้องแบนราบ แขนขาเรียวเล็ก แก้มก็ตอบลงกว่าตอนเด็กไปนิดหน่อยเท่านั้นเอง พอมาตอนนี้ เจอหน้าทีไรก็ถูกท่านทั้งสองทักเรื่องหุ่นอยู่ทุกที ฉันก็ได้แต่ยิ้มแห้งไปแบบนี้นั่นแหละ จะทำอะไรได้ “วันนี้มีอะไรกินบ้างเหรอคะ” ฉันเปลี่ยนเรื่องอีกแล้ว ถามเรื่องของกินดีกว่า “ไม่บอก เดี๋ยวรอดูทีเดียว” แม่ยิ้มหวานทว่าฉันกลับรู้สึกตงิดใจยังไงชอบกล จะว่ารอยยิ้มของแม่ดูเจ้าเล่ห์ก็ไม่ใช่ ฉันย่นคิ้วเข้าหากันขณะที่มองหน้าแม่ เลื่อนสายตาไปหาพ่อ พ่อก็ทำเฉไฉแล้วโอบไหล่ฉันไว้ “ไปดูข่าวเป็นเพื่อนพ่อดีกว่า” “เดียร์ไม่ชอบดูข่าวนี่คะพ่อ เปลี่ยนเป็นดูตลกกันดีกว่า” “ก็ได้” พ่อโอบไหล่ฉันแล้วพาเดินมานั่งที่โซฟา ฉันหย่อนก้นนั่งแล้วหันไปมองที่หน้าห้อง แม่ก็ไม่ได้ยืนอยู่ที่เดิมแล้ว “แม่ไปทำกับข้าว” พ่อเห็นฉันมองหาก็เลยเอ่ยขึ้นมา ฉันหันกลับไปดูโทรทัศน์เป็นเพื่อนพ่อ ท่านเปิดรายการตลกให้ดู เราหัวเราะลั่นกันอยู่สองคน สักพักใหญ่แม่ก็เดินเข้ามา “ไปกินข้าวกันจ้ะพ่อลูก กับข้าวพร้อมแล้ว” แม่เอ่ยขึ้นมาฉันและพ่อก็เลยลุกขึ้นเดินไปที่ห้องกินข้าว “วันนี้แม่ลงมือทำกับข้าวเองเลยนะ อยากให้เดียร์กินฝีมือแม่บ้าง” “ขอบคุณค่ะแม่” ฉันกอดแล้วหอมแก้มแม่หนึ่งฟอด ปกติแล้วเรื่องอาหารจะเป็นหน้าที่ของแม่บ้าน แต่วันนี้แม่คงดีใจที่ฉันมาถึงได้ลงมือทำอาหารด้วยตัวเองเลย ฉันก็ดีใจที่จะได้กินกับข้าวฝีมือแม่ เพราะว่าแม่ฉันทำอาหารอร่อยมาก ๆ บนโต๊ะอาหารมีกับข้าวอยู่สี่อย่าง เต้าหู้ทรงเครื่องของโปรดอีกอย่างหนึ่งของฉัน สูตรที่แม่ทำอร่อยที่สุด ฉู่ฉี่กุ้งจานใหญ่หน้าตาน่ากินจนฉันอยากตักชิมซะตอนนี้เลย ผัดแขนงหมูกรอบ และปลาทับทิมทอดน้ำปลา ทำไมถึงมีเมนูนี้ด้วยล่ะ ปกติแล้วที่บ้านฉันไม่ค่อยกินปลากันเท่าไหร่ นาน ๆ จะกินสักครั้งหนึ่ง ฉันเห็นแล้วก็นึกถึงเปอร์ขึ้นมา เขาชอบเมนูนี้มาก เป็นอาหารจานโปรดของเขาทุกครั้งที่มาบ้านฉันเมื่อก่อนเลย ฉันมองแม่บ้านรอให้ตักข้าวให้ แต่ก็ยังไม่ตักสักที ฉันอยากกินอาหารฝีมือแม่แล้ว รสชาติอาหารของแม่จะได้ช่วยให้ฉันหยุดนึกถึงเขา “สวัสดีครับ” ดวงตาของฉันเบิกโตด้วยความตกใจ ฉันนั่งหันหลังให้ประตูก็เลยไม่เห็นว่ามีใครเดินเข้ามา ถึงฉันจะไม่เห็นแต่ก็รู้ได้ว่าคนที่เดินเข้ามานั้นคือใคร ! เสียงของคนที่ฉันเพิ่งจะนึกถึงเขา “สวัสดีจ้ะเปอร์ มากินข้าวกันลูก นั่งข้างเดียร์เลย” แม่พูดกับเปอร์ด้วยน้ำเสียงสดใส สีหน้ายิ้มแย้มดีใจที่ได้เจอเปอร์ ที่เห็นว่าวันนี้แม่มีท่าทางที่แปลกไปก็คงเป็นเพราะนัดให้เปอร์มาด้วยแน่ ๆ ท่านถึงตื่นเต้นขนาดนั้น และยังทำของโปรดของเปอร์ไว้อีกด้วย ฉันจ้องหน้าเปอร์ราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ คนคิดแผนนัดให้มาเจอกันคงไม่ใช่พ่อหรือแม่ของฉันหรอก ฉันคิดว่าเปอร์น่าเป็นฝ่ายโทร.มาพูดกับท่านแล้วให้นัดฉันมาที่นี่แน่ ๆ ฉันอยากจะโวยวายใส่เปอร์ซะจริง ๆ แต่พ่อแม่นั่งอยู่ตรงนี้ฉันถึงไม่ทำเพราะเกรงใจท่านทั้งสองคน ในตอนที่เราสองคนคบหากัน ตอนนั้นฉันอยู่ม.6 ส่วนเปอร์อยู่ม.4 พ่อแม่ของฉันและพ่อของเปอร์รับรู้มาตลอด เราคบกันในสายตาของผู้ใหญ่ เปอร์มากินข้าวบ้านฉันอยู่บ่อย ๆ ฉันก็เคยไปกินข้าวบ้านเปอร์ด้วยเหมือนกัน และตอนที่เราเลิกกัน ผู้ใหญ่ก็รับรู้แต่คงอยากให้กลับมาดีกันอีกละมั้ง เพราะพ่อกับแม่ของฉันก็รักเปอร์เหมือนลูกอีกคน ท่านเคยอยากมีลูกชายแต่ดันได้ลุกสาวอย่างฉันมาแทน “พี่เดียร์มานานแล้วเหรอครับ” เปอร์ถามเสียงหวานพลางตักฉู่ฉี่ใส่จานให้ ฉันเผลอเบ้ปากด้วยความหมั่นไส้ในน้ำเสียงและคำพูดของเขา “ไม่นาน” ฉันตอบโดยไม่ได้มองหน้าเขา “คุณอาสบายดีใช่มั้ยครับ ดูไม่เปลี่ยนไปเลยยังหล่อยังสวยกันเหมือนเดิมเลยนะครับ” “สบายดีลูก เปอร์ก็ยิ่งโตยิ่งหล่อนะเนี่ย” พ่อตอบและชมเขากลับไป “แต่อาไม่สวยเท่าเดิมแล้ว เปอร์ไม่ต้องมายอกันเลย” แม่พูดด้วยท่าทางเขินอาย และออกตัวว่าตัวเองไม่สวยแล้ว แต่ฉันก็ว่าแม่ฉันยังสวยอยู่จริง ๆ นั่นแหละ “ผมไม่ได้ยอซะหน่อย ผมพูดตามที่เห็นเลยครับ” แม่ของฉันก็หัวเราะคิกคักชอบใจที่เปอร์พูดแบบนั้น เปอร์ชวนพ่อแม่ฉันคุยพร้อมกับตักฉู่ฉี่ให้ท่านทั้งสองคน เขาเอาอกเอาใจพ่อกับแม่ฉันขนาดนี้ ท่านถึงได้รักและเอ็นดูเขามาก เปอร์คิดจะมาทำคะแนนกับพ่อแม่ฉันแน่ ๆ “พี่เดียร์ตักปลาทอดให้เปอร์หน่อยสิครับ” เปอร์หันมาพูดเสียงอ้อนกับฉัน ฉันหันไปมองหน้าเขาด้วยแววตาที่ไม่ค่อยพอใจ “ตัก ?” ฉันถามซ้ำให้แน่ใจว่าไม่ได้ฟังผิด “ตักให้เปอร์หน่อยสิลูก” แม่ฉันพูดแทรกขึ้นมา ฉันก็เลยเงียบลงและจำใจตักปลาทับทิมทอดให้เปอร์ ทั้งที่เขาก็ตักเองถึงอยู่แล้ว “ขอบคุณครับพี่เดียร์” คนข้าง ๆ ยิ้มหวานให้ฉันจนน่าหมั่นไส้อีกแล้ว แล้วเขาก็ตักเต้าหู้ทรงเครื่องให้ฉันด้วย ฉันลอบถอนหายใจออกมาแล้วตักกินไปแบบเงียบ ๆ ฟังพวกเขาคุยกันอย่างถูกคอ ไม่รู้ว่าตกลงแม่อยากเจอฉันหรืออยากเจอเปอร์กันแน่ ตลอดการกินข้าวเปอร์ก็คอยอ้อนให้ฉันตักให้อยู่เรื่อย ฉันอยากจะโวยใส่แต่ก็ทำไม่ได้เพราะพ่อแม่คอยสังเกตเราสองคนอยู่ตลอด “ขอบคุณสำหรับอาหารมื้ออร่อยมื้อนี้นะครับคุณอา” เปอร์ยกมือไหว้พ่อแม่ฉันอย่างสุภาพหลังจากที่จบมื้ออาหาร “จ้ะ” แม่ตอบและพ่อก็ส่งยิ้มให้เปอร์ “แล้ววันหลังผมจะมาหาใหม่นะครับ” “ได้สิลูก เดี๋ยวอาจะทำกับข้าวไว้รอ” “จะมาเมื่อไหร่ก็บอกอาได้เลย” พ่อสำทับแม่อีกที “ใครให้มา” ฉันหันไปพูดกับเขาเสียงแข็ง หมั่นไส้มาตั้งนานแล้ว “ก็พ่อแม่พี่เดียร์ไงครับ” เปอร์ยิ้มยียวนและยังยักคิ้วให้แบบกวนประสาทกันอีก แล้วเขาก็รีบเผ่นออกจากบ้านฉันไป ไม่ทันที่ฉันจะได้โต้ตอบอะไรอีก
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD