มหาวิทยาลัย
[บทบรรยายเรนเดียร์]
เช้าวันจันทร์รถติดแน่นยิ่งกว่าทุกวัน ฉันชินกับการเดินทางในกรุงเทพฯ แล้ว ถึงได้เผื่อเวลาในการเดินทางเอาไว้ทุกครั้ง ไม่อย่างนั้นก็คงมาสายเหมือนเมื่อก่อนที่ยังปรับตัวไม่ได้ ที่ผ่านมาทำให้รู้แล้วว่าเช้าวันจันทร์ต้องออกเดินทางไวกว่าปกติสักครึ่งชั่วโมง ขนาดว่าคอนโดไม่ได้อยู่ไกลจากมหาวิทยาลัยมากสักเท่าไหร่ก็ยังต้องเผื่อเวลาแบบนี้เลย
รถของฉันติดไฟแดงตรงแยกนี้มานานหลายนาที พอไฟเขียวแล้วก็ไม่ทันได้ไปถึงสัญญาณไฟก็เปลี่ยนเป็นสีแดง ฉันต้องจอดรอสัญญาณไฟหมุนวนระหว่างเขียวกับแดงอยู่ถึงสามรอบ เสียงเพลงในรถที่เปิดคลอเบา ๆ พอให้ช่วยคลายความหงุดหงิดไปได้บ้าง เพลงรักที่เปิดนั้นทำให้หวนนึกถึงวันออกเดต เรื่องที่ฉันอยากจะเม้าท์กับเพื่อนมาก เมื่อวานก็คิดว่าจะไลน์คุยกับมันไปเลยแต่ก็รู้สึกว่าจะเม้าท์ไม่สนุกเหมือนเวลาคุยกันต่อหน้า ถึงได้รอให้ถึงวันนี้ซะก่อน
ผ่านแยกนี้ไปได้สักที คราวนี้รถได้วิ่งต่อไปได้เรื่อย ๆ ด้วยความเร็วที่ไม่มาก แต่หลุดแยกนั้นมาได้แล้วก็โล่งไปเยอะ เพราะขับต่อมาอีกไม่เท่าไหร่เลี้ยวซ้ายข้างหน้าไปก็ถึงจะมหาวิทยาลัยที่ฉันเรียนแล้ว
เมื่อมาถึงฉันก็จอดรถแล้วรีบเดินไปที่หน้าตึกคณะนิเทศศาสตร์แล้วกวาดตามองหายัยแฟร์เพื่อนสนิทเพียงคนเดียวของฉัน แขนที่ชูสูงโบกเรียกอยู่นั้นทำให้ฉันคลี่ยิ้มทักทายแล้วเดินเข้าไปนั่งด้วย
“เล่ามาเลยจ้ะเดียร์” ยัยแฟร์เองก็มีท่าทีอยากรู้เหมือนกับฉันที่อยากเล่าจะแย่ เมื่อวานฉันไลน์ไปบอกว่ามีเรื่องที่อยากจะเล่าให้ฟัง
“กูไปเดทกับพี่แต๊งมา” สีหน้าของฉันเคลิ้มขึ้นมาในตอนที่พูดถึงเรื่องที่อยากเม้าท์ ยัยแฟร์ยังไม่รู้เรื่องของฉันกับพี่แต๊งเลยเพราะฉันปิดปากเงียบ อยากให้ได้ออกเดทกันสักครั้งก่อนแล้วค่อยเปิดเผยให้เพื่อนรักฟัง
“แต๊งไหน หล่อปะ อายุเท่าไหร่ เรียนหรือทำงาน” แฟร์ส่งคำถามรัว ๆ ฉันทำหน้าเอือมใส่มันแล้วรีบปรามก่อนที่มันจะถามไปมากกว่านี้จนฉันจะตอบไม่ทัน
“ถามช้า ๆ หน่อยสิ กูก็กำลังจะเล่าอยู่นี่”
“ว่ามา”
“คืองี้นะ...”
2 สัปดาห์ที่ผ่านมา
งานแต่ง @ โรงแรมหรู
อาหารมากมายที่จัดวางเรียงให้แขกเหรื่อได้หยิบกินตามต้องการ ฉันมองเห็นแก้วใสขนาดเล็กที่มีกุ้งราดด้วยน้ำจิ้มซีฟู้ดและมีไม้แหลมเสียบไว้ให้จิ้มกินอย่างง่ายเหลืออยู่แค่สองแก้ว ฉันหยิบไปกินก่อนหน้านี้แล้วติดใจก็เลยจะมาเอาไปกินอีก เห็นว่าเหลืออยู่น้อยจึงรีบเร่งฝีเท้าเดินเข้าไป
ทว่าส้นแหลมของรองเท้าดันพลิกในตอนที่กำลังจะถึงบาร์อาหารพอดี
ใบหน้าของฉันคงเหวอมากเพราะร่างกายที่เซถลาไปด้านข้างและกำลังจะล้มลง แต่มีอ้อมแขนแกร่งที่รับตัวฉันไว้ทำให้ร่างเล็กของฉันไม่กระแทกเข้ากับพื้น
“ว้าย !” เสียงร้องด้วยความตกใจของฉันทำให้แขกเหรื่อในงานต่างพากันมองมา พอรู้สึกได้ว่าตัวเองไม่ได้เจ็บตรงไหนและยังซุกอยู่ในอ้อมแขนของใครสักคนเลยรีบเงยหน้าขึ้นมองคนที่ช่วยเอาไว้
หล่อจัง ฉันกะพริบตาปริบ ๆ และเหมือนกับตกอยู่ในภวังค์ ตะลึงงันในความหล่อเหลาของเขาจนเขายิ้มเขินและคลายอ้อมกอด ตอนนั้นฉันถึงรู้สึกตัวว่าตัวเองมองหน้าเขานานเกินไป ฉันหลบสายตาของอีกฝ่ายด้วยความเขินอาย พอได้เห็นคนหล่อก็มองซะจนลืมไปเลยว่ามีคนอื่นอีกมากมายที่อยู่ภายในห้องแกรนด์ของโรงแรมแห่งนี้ด้วย
ฉันก้มศีรษะขอโทษผู้คนที่ทำให้ตกใจจากเสียงกรี๊ดของตัวเอง และยิ้มเจื่อนไปให้พวกเขา หันกลับมามองคนที่ช่วยเอาไว้แล้วยกมือไหว้อย่างสุภาพ
“ขอบคุณที่ช่วยนะคะ”
“ไม่เป็นไรครับ ว่าแต่อยากกินอะไรเหรอ ผมเห็นคุณรีบเดินมาเลย” เหมือนเขากำลังแซวที่ฉันกึ่งวิ่งกึ่งเดินมาที่บาร์อาหาร กำลังคิดว่าฉันกลัวจะไม่ได้กินล่ะสิ
กุ้งของฉัน! พอเขาถามขึ้นมาก็ทำให้ฉันนึกขึ้นได้ว่าจะมาเอากุ้งเพิ่ม ฉันหันขวับมาที่บาร์อาหารและเพ่งมองไปยังจุดที่วาง ไม่มี! กรี๊ดดดด กุ้งหมดเหรอ
“มีอะไรเหรอ” คนข้าง ๆ เห็นฉันทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ ก็ถามขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่เจือความห่วงใย
ฉันหันไปมองเขาด้วยแววตาเศร้าสร้อยและเบะปากราวจะร้องไห้งอแงเหมือนเด็กที่ถูกแย่งขนมไป ฉันชี้นิ้วไปยังจุดที่ว่างไม่มีอาหารวางตรงนั้น
“กุ้งหมด” ฉันบอกกับเขาด้วยความเสียดาย ถ้าเมื่อกี้ไม่มัวแต่มองหน้าเขาราวกับถูกสะกด ฉันคงรีบพุ่งมาเอากุ้งไปได้ก่อน ถึงได้อยู่ในอ้อมแขนของคนหล่อแต่อดกินกุ้งแบบนี้ ฉันว่าไม่คุ้มเลย
“กำลังจะมาเติมค่ะ” พนักงานที่ยืนจัดวางอาหารเอ่ยขึ้นมาพร้อมรอยยิ้ม เธอคงได้ยินที่ฉันพูดคุยกับผู้ชายคนนี้แล้ว
“นั่นไงมาแล้ว” คนข้างฉันมองไปยังพนักงานชายที่เข็นรถเข็นและมีอาหารวางเรียงเป็นชั้นเข้ามา ฉันยิ้มด้วยความดีใจแล้วรอให้เขาเอาถาดมาวาง
ฉันหยิบมาหนึ่งแก้วแล้วจิ้มกุ้งตัวโตเนื้อเด้งที่ผ่านการลวกมาแล้วราดด้วยน้ำจิ้มซีฟู้ดแซ่บ ๆ เข้าปากไปเคี้ยว อร่อยซะจนฉันต้องรีบหยิบมาอีกแก้ว ลืมผู้ชายที่ยืนอยู่ด้วยไปชั่วขณะ พอนึกขึ้นได้ก็เงยหน้ามองเขาแล้วยิ้มเขินขึ้นมา
“คงอร่อยมากเลยนะเนี่ย” เขาแซวฉันอีกแล้ว
“อร่อยค่ะ พี่ลองชิมดูสิคะ” ฉันไม่แน่ใจว่าเขาอายุเท่าไหร่ แต่เท่าที่ดูจากภายนอกเขาน่าจะพ้นวัยเรียนไปแล้ว ท่าทางของเขาสุขุมมากทีเดียว
ฉันหยิบให้เขาหนึ่งแก้ว เขารับแล้วลองจิ้มกิน แววตาของเขาเป็นประกายขึ้นมาแต่ฉันดูออกว่าเขาแกล้งทำให้เกินจริงไปสักหน่อย
“เวอร์ไปค่ะ” ฉันเหล่ตามองเขาแล้วมองบาร์อาหารพลางคิดว่าจะกินอะไรอีกดี อาหารแต่ละอย่างน่ากินทั้งนั้น
“ข้าวผัดปูหน่อยไหม เนื้อปูเยอะ สด ๆ หวาน ๆ” พี่เขาแนะนำ ฉันเลยหยิบจานที่วางเรียงมาตักข้าวผัดตามคำแนะนำของเขา
“เดี๋ยวพี่ตักให้” เขาเสนอแล้วคว้าจากในมือของฉันไปถือเองก่อนจะเดินไปตักข้าวผัด เขาคงเห็นว่าฉันไม่ถนัดเพราะอีกมือก็มีแก้วกุ้งอยู่ด้วย
“ขอบคุณนะคะ” ฉันยื่นมือไปรับรับจานมาเมื่อเขาตักเสร็จแล้ว แต่ว่าพี่เขาไม่ยอมปล่อยมือออกจากจาน สายตาที่เขามองฉันอยู่ก็เหมือนกับว่ามีอะไรที่อยากจะพูด อีกทั้งพวงแก้มของเขายังแดงระเรื่อ คงเป็นเพราะเขาผิวขาวเลยเห็นได้ชัด
“มีอะไรหรือเปล่าคะ” ฉันเลยถามออกไป
“เรายังไม่รู้จักกันเลย พี่ชื่อแต๊งนะครับ เป็นญาติของมาติน” พี่มาตินเป็นเจ้าบ่าวของงานนี้
“ยินดีที่ได้รู้จักนะคะพี่แต๊ง เรนเดียร์ค่ะแต่จะเรียกแค่เดียร์ก็ได้ เดียร์เป็นญาติของพี่ผึ้งค่ะ” ส่วนฉันเป็นญาติของเจ้าสาว
“พี่เดาว่าน้องเดียร์ยังเรียนอยู่แน่ ๆ เรียนปีไหนเหรอครับ”
“เดียร์เรียนปีสี่ค่ะ พี่แต๊งคงทำงานแล้วใช่ไหมคะ” ฉันถามเพื่อให้แน่ใจว่าตัวเองไม่ได้ทึกทักไปเองว่าเขาอายุเยอะกว่า
“ใช่ครับ ตอนนี้พี่ทำร้านอาหารแถวเอกมัยน่ะครับ”
“ค่ะ” ฉันยิ้มให้เขาก่อนจะดึงจานเบา ๆ เพื่อให้เขาปล่อยมือ ทว่าเขายังรั้งจานไว้ไม่ยอมปล่อยให้ฉันอยู่ดี
“น้องเดียร์สะดวกให้ไลน์ไหมครับ” เขาพูดด้วยท่าทางเขิน ๆ และยังมองไปทางอื่นราวกับไม่กล้าสบตาด้วย ฉันแทบจะกรี๊ดออกมาอีกครั้งที่คนตรงหน้าขอไลน์ และฉันก็ไม่ลังเลเลยที่จะตอบออกไป
“สะดวกมากค่ะ คิก ๆ” ฉันหัวเราะกลบเกลื่อนความเขิน พี่แต๊งก็หัวเราะตาม เราสองคนเลยได้แลกไลน์กันไว้แล้วคุยกันมาตลอดจนถึงทุกวันนี้ โดยที่ฉันให้สถานะกับพี่เขาเป็นคนคุยยังไม่ได้มีอะไรที่พิเศษไปมากกว่านั้น ค่อย ๆ ทำความรู้จักกันไปก่อน ส่วนความสัมพันธ์ของเราจะพัฒนาไปในทางไหนนั่นก็อีกเรื่อง
ปัจจุบัน
“นี่ถ้ามึงไม่อยากกินกุ้งมากขนาดนั้นก็อดได้รู้จักกันเลยนะ” แฟร์พูดขึ้นมาหลังจากที่ฉันเล่าจบ ฉันเหล่ตามองเพราะประโยคที่เพื่อนเอ่ยออกมานั้นเหมือนกำลังบอกว่าฉันเห็นแก่กินแน่ ๆ
“ตอนนี้กูก็อยากกินกุ้งบ้างเลย เขาสั่งอาหารมาจากไหนวะ อาหารของโรงแรมปะ” แฟร์พูดต่ออีก ฉันกลอกตามองบนแล้วเบ้ปากใส่ แฟร์ก็เลยหัวเราะออกมาเสียงดัง
“สนใจเรื่องพี่แต๊งก่อน” ฉันพูดเสียงระอา แต่ยัยเพื่อนบ้าก็ยังหัวเราะอยู่อีก
“ก็มึงพูดถึงกุ้งแซ่บ ๆ จนกูหิวเลยอะ” แฟร์ทำท่าเช็ดน้ำลายที่มุมปาก หากฉันบีบคอเพื่อนตอนนี้จะดีหรือเปล่า กวนจังเลย!
“มึงเลิกกวนก่อน” ฉันแกล้งทำหน้างอ ยัยแฟร์ก็เลยหยุดหัวเราะแล้วเลิกกวนฉัน
“แล้วไงต่ออะ คุยกันแล้วโอเคปะ” แฟร์ถาม
“ไม่รู้สิ ก็เพิ่งเริ่มคุยกันได้สองอาทิตย์เอง แต่จากที่คุยกันอยู่พี่แต๊งก็น่ารักดีนะ เมื่อวานที่ไปเดทกันมายิ่งรู้สึกว่าเขาน่ารักมาก เขาแทบไม่ให้กูลุกไปตักอาหารเองเลย พี่เขาเทคแคร์ดีเวอร์อะ”
เมื่อวานนี้ฉันไปเดทกับพี่แต๊งมาที่ห้องอาหารบุฟเฟต์ของโรงแรมริมแม่น้ำเจ้าพระยา พี่แต๊งตักกุ้งเนื้อเด้งตัวอวบใสมาให้ฉันเยอะมาก แววตาของฉันเป็นประกายและรีบจิ้มกินอย่างเอร็ดอร่อย และเขาก็คอยไปตักของอร่อย ๆ มาให้ฉันกินอีกหลายอย่าง จนฉันต้องบอกให้เขานั่งกินของตัวเองบ้างเพราะฉันก็เกรงใจเขาอยู่เหมือนกันนั่นแหละ แต่คำตอบที่ได้รับก็ทำให้ฉันยิ้มไม่หุบ
‘พี่ชอบเวลาน้องเดียร์กิน หน้าตาน้องเดียร์ดูมีความสุขกับของอร่อย ๆ มาก’
ฉันเลยยิ้มเขินจนหน้าร้อนไปหมด ต้องรีบยกแก้วน้ำผลไม้ที่เขาสั่งมาให้ดื่มอย่างรวดเร็ว เผื่อว่าจะลดความร้อนบนพวงแก้มได้
“ที่เขาพูดแบบนั้นเพราะเห็นว่ามึงเห็นแก่กินหรือเปล่าเดียร์” แฟร์ออกความเห็น
ฉันยกกระเป๋าขึ้นทำท่าจะเหวี่ยงใส่เพื่อนรักที่ชอบช็อตฟีลให้ฉันหายฟิน คนกำลังเคลิ้มไปกับใบหน้าหล่อ ๆ ที่คอยยิ้มและเอาใจฉันตลอดการเดท แต่ยัยเพื่อนบ้าดันดับความฟินของฉันซะงั้น
“มึงก็มีแฟนสักทีเถอะแฟร์ จะได้เข้าใจว่ามันฟินยังไง” ฉันย้อนกลับไปเพราะเพื่อนรักคนนี้ยังโสดสนิททั้งที่หน้าตาก็สะสวย หุ่นก็เป๊ะ ดูยังไงก็ไม่น่าหาแฟนได้ยากเลย แต่ฉันก็ยังไม่เห็นว่ามันจะมีแฟนสักที
“หาอยู่ไง แต่มันก็หายากนะมึง”
“หายากตรงไหน กูเห็นน้องฟร้องเขาคอยมาเมนต์ไอจีมึงบ่อยขนาดนั้น น้องเขาต้องมีใจชัวร์”
“หยุดเลย พูดเรื่องมึงต่อ นอกจากกินข้าวกลางวันแล้วกินอะไรอีกปะ” ยัยแฟร์ไม่อยากพูดเรื่องตัวเองเลยกลับมาที่เรื่องของฉันต่อ หน้าตาของนางที่ถามฉันเชิงล้อเลียนแสดงออกถึงความหื่นกามขนาดนั้น กับคำว่า‘กินอะไรอีก’ ที่นางถามคงจะหมายถึงกินกันบนเตียง! ฉันส่ายหน้าแทนคำตอบ
“ไปดูหนังกันต่อย่ะ” ฉันตอบไปแล้วเพื่อนรักก็ยู่หน้าเหมือนกับเสียดายว่าไม่ได้เป็นไปอย่างที่ตัวเองคิดเอาไว้
“กูเพิ่งจะเปิดใจคุยเอง จะให้รีบกินกันเลยหรือไง” ฉันทำท่าจะเขกหัวเพื่อนรัก นางก็หัวเราะคิกคักไปตามประสา ฉันเห็นว่าใกล้จะถึงเวลาขึ้นเรียนแล้วก็เลยลุกเดินหนีออกมาซะเลย แต่ยัยแฟร์ก็รีบลุกแล้ววิ่งตามมากอดแขนฉันไว้
“ตอนนั่งดูหนังกัน กอดแขนกันแบบนี้ปะ” แฟร์ถามเสียงทะเล้น และก็ทำให้ใบหน้าของฉันเห่อร้อนขึ้นมาอีกครั้ง มันยังจะตามมาถามต่ออีก
“ก็มีจับมือบ้าง ไม่ได้กอดแขนย่ะ” หนังที่ดูเป็นหนังรักโรแมนติก เวลาที่มีฉากฟิน ๆ พี่แต๊งก็หันมามองหน้าฉันแล้วคว้ามือไปจับไว้ แล้วเขาก็เลื่อนสายตาไปดูหน้าจอเหมือนเดิม ไม่ได้มีอะไรมากไปกว่านั้น
“ฟินเวอร์” แฟร์พูดแซวขึ้นมา แล้วเราก็เดินมาถึงห้องเรียนพอดี เลยหยุดคุยกันไว้แค่นี้
เลิกเรียน
“มึง ไปกินเค้กกัน วันนี้กูอยากกินของหวานอีกแล้วอะ”ฉันชวนยัยแฟร์ไปร้านประจำที่อยู่หลังมหา’ลัย
“กับพี่แต๊งนี่ยังหวานไม่พอใช่ปะ”
“ทำไมเพื่อนแซวเก่งงี้อะ”
“ก็เห็นมึงกลับมาหัวใจสดใสได้อีกครั้ง กูก็ยินดีกับมึงด้วยไง”
“จ้ะเพื่อน ขอบใจมึงมากนะ แต่กูก็อยากเห็นมึงมีกับเขาบ้างเหมือนกันนะ”
“รอไปก่อน” พูดจบเราก็พากันหัวเราะคิกคักไปตามประสา ฉันเดินกอดคอยัยแฟร์ที่สูงน้อยกว่าฉันเล็กน้อยไปด้วยความอารมณ์ดี
ก็คงจริงอย่างที่แฟร์ว่า เพราะตั้งแต่ที่ฉันเลิกกับเขา ฉันก็เป็นโสดมาได้ 1 ปีเต็ม ๆ ไม่ได้คุยกับใครจริงจังอย่างพี่แต๊งมาก่อน เพราะฉันเองก็ไม่อยากผิดหวังอีกแล้ว