บทนำ : รอยร้าวแห่งกาลเวลา

1661 Words
ซู่ๆๆ สายฝนโปรยลงมาอย่างไม่ขาดสายตั้งแต่ช่วงเช้ามืด มันช่างน่าแปลก ปกติแล้วช่วงฤดูร้อนแบบนี้มักไม่ค่อยมีฝนตกลงมาสักเท่าไหร่ แต่ปีนี้สภาพอากาศดูแปรปรวนกว่าที่ผ่าน ๆ มา ท้องฟ้าทั้งผืนเป็นสีเทาหม่นขมุกขมัวเหนือเมืองหลวงในวันนี้ดูราวกับเป็นผ้าม่านที่กำลังปิดบังบางสิ่งเอาไว้ เป็นวันที่ไม่สดใสเอาเสียเลย... หลินซือหยูคิดพลางยืนนิ่งอยู่หน้าตึกสูงของมหาวิทยาลัย เธอเปียกฝนเล็กน้อย มือกำโทรศัพท์แน่นจนข้อนิ้วซีด เพราะเธอเพิ่งได้รับข้อความจากอาจารย์ที่ปรึกษามาหมาด ๆ ถ้าคุณยังส่งงานวิจัยไม่ทันภายในสิ้นเดือนนี้ ผมจะตัดคุณออกจากรายชื่อนักศึกษา ผมยืดเวลามาให้คุณมากเกินไปแล้ว คำขู่ที่แสนเย็นชานั้นทำให้หัวใจของเธอเต้นแรงด้วยความกลัว เธอสูดหายใจเข้าลึกเพื่อเรียกสติ อากาศชื้น ๆ จากฝนไหลซึมเข้าเต็มปอด แต่ไม่ช่วยให้เธอรู้สึกดีขึ้นเลยสักนิด ยิ่งเจอสภาพอากาศแบบนี้ยิ่งทำให้เธอรู้สึกดิ่งไปกันใหญ่ “ทำไมชีวิตฉันถึงได้ยุ่งเหยิงขนาดนี้เนี่ย!!” ซือหยูพึมพำกับตัวเอง น้ำตาคลอหน่วยที่ดวงตาทั้งสองข้าง เธอในวัยยี่สิบห้าปีไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองมีค่าเลยสักครั้ง ครอบครัวก็แตกแยก เพื่อนก็มีน้อย แถมการเรียนก็ดันกลายเป็นโซ่ตรวนล่ามเธอจากอิสระมากกว่าที่จะช่วยเติมเต็มความฝันของเธออย่างที่เคยปรารถนา ลมเย็นจากถนนที่รถราพลุกพล่านพัดผ่านมา ผมยาวสีน้ำตาลเข้มของเธอที่มัดไว้หลวม ๆ ปลิวไปตามแรงลม เธอถอนหายใจเบา ๆ ขณะมองกลุ่มเพื่อนร่วมชั้นที่ทยอยลงมาจากรถบัสของมหาวิทยาลัย บางคนถือสมุดบันทึก บางคนสะพายกล้องถ่ายรูป เธอไม่เข้าใจว่าทำไมทุกคนดูตื่นเต้นกับการทัศนศึกษาในครั้งนี้มากขนาดนั้น สำหรับเธอ มันก็เป็นแค่วันหยุดที่ถูกขโมยไปโดยอาจารย์จอมเข้มงวดวิชา “ประวัติศาสตร์เอเชียยุคกลาง” ที่เพิ่งส่งข้อความขู่มาให้เธอเมื่อครู่ บอกให้พวกฉันมาทัศนศึกษาเพื่อหาข้อมูลเพิ่มเติม... แต่ตัวอาจารย์เจ้าของวิชาดันไม่มาด้วยเนี่ยนะ! “ซือหยู รีบมาเซ็นชื่อเร็วเข้า!” เสียงแหลมใสของ หลี่เสี่ยว เพื่อนสนิทเพียงคนเดียวของเธอในชั้นเรียนดังขึ้นจากด้านหน้าประตูพิพิธภัณฑ์ หลี่เสี่ยวโบกมืออย่างกระตือรือร้น ผมสั้นสีดำของเธอเด้งไปมา “พ่อฉันบอกว่าวันนี้พิเศษมาก มีของใหม่จากราชวงศ์ถังมาโชว์ด้วย” “รู้แล้วน่า!” ซือหยูยกยิ้มบางก่อนจะเอ่ยตอบสั้น ๆ แล้วลากขาเดินตามไป เธอหยิบปากกาจากกระเป๋าสะพายใบเก่าขึ้นมาเซ็นชื่อลงไปในสมุดที่หลี่เสี่ยวยื่นมาให้อย่างไม่เต็มใจนัก หลี่เสี่ยวเป็นลูกสาวของศาสตราจารย์หลี่ หัวหน้าทีมขุดค้นที่ดูแลการทัศนศึกษาในครั้งนี้ และนั่นทำให้หลี่เสี่ยวตื่นเต้นเกินเหตุกับทุกอย่างที่เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ ต่างกับซือหยูเพราะเธอไม่เคยเข้าใจ ถึงแม้ว่าเธอจะเรียนประวัติศาสตร์มาเกือบสี่ปี แต่เธอก็ชอบอ่านตำรามากกว่าการมองของเก่าที่เต็มไปด้วยกลิ่นอับและฝุ่นแบบนี้ “เธอจะตื่นเต้นไปไหนเนี่ย” ซือหยูพูดหยอกขณะเดินตามหลี่เสี่ยวเข้าไปในพิพิธภัณฑ์ กลิ่นเย็น ๆ จากเครื่องปรับอากาศผสมกับกลิ่นไม้เก่าของพื้นโถงใหญ่ตีเข้าจมูก เธอมองไปรอบ ๆ เห็นป้ายต้อนรับขนาดใหญ่ที่เขียนเอาไว้ว่า ‘นิทรรศการพิเศษ: สมบัติจากราชวงศ์ถัง’ “ก็มันพิเศษจริง ๆ น่ะสิ” หลี่เสี่ยวตอบกลับด้วยน้ำเสียงร่าเริง “พ่อบอกว่ามีของชิ้นหนึ่งที่เพิ่งขุดเจอจากสุสานเก่า เป็นจี้หยกที่สวยมาก ๆ ยังไม่มีข้อมูลด้วยนะว่าจี้หยกชิ้นนี้เป็นของใคร” “เหรอ...” “เธอต้องชอบแน่ๆ เพราะมันเกี่ยวกับตระกูลหลิน” หลี่เสี่ยวบอกพลางหันมามองหน้าซือหยูด้วยความตื่นเต้น “ตระกูลหลิน?” ซือหยูเลิกคิ้ว “แล้วมันเกี่ยวอะไรกับฉัน” เธอถามต่อด้วยน้ำเสียงขบขัน เธอรู้ว่านามสกุล ‘หลิน’ ของเธอเป็นชื่อที่พบได้ทั่วไปในจีน แต่การที่หลี่เสี่ยวยกมาเชื่อมโยงแบบนี้ ทำให้เธออดไม่ได้ที่จะรู้สึกแปลกใจ “ก็ไม่รู้สิ” หลี่เสี่ยวหัวเราะ “แต่มันบังเอิญดีออก บางทีเธออาจจะมีเชื้อสายขุนนางโบราณก็ได้นะ” เธอควงแขนซือหยูแล้วลากเข้าไปในโถงนิทรรศการโดยไม่ได้สนใจสีหน้าที่เริ่มเบื่อหน่ายของเพื่อนสาว ภายในโถงใหญ่แสงไฟจากโคมระยิบระยับสาดส่องลงบนตู้จัดแสดงที่เรียงรายอยู่ตามผนัง ซือหยูปล่อยให้หลี่เสี่ยวนำทางไปตามจุดต่าง ๆ ผ่านโลงศพไม้ที่มีรอยขูดลึก ๆ ดาบทองสัมฤทธิ์ที่ขึ้นสนิม และผ้าไหมเก่าที่ขาดวิ่น เธอพยักหน้าให้ หลี่เสี่ยวเป็นระยะ ๆ ราวกับว่ากำลังตั้งใจฟัง แต่สายตาของเธอเริ่มเลื่อนไปมองนาฬิกาข้อมือบ่อยขึ้น เธอแอบนับเวลาว่าเมื่อไหร่จะถึงตอนที่ได้กลับหอพักเพื่อนอนอ่านนิยายออนไลน์เรื่องโปรดสักที จนกระทั่งเธอหยุดชะงักอยู่ที่หน้าตู้กระจกตู้หนึ่ง... มันไม่ใช่ตู้ที่ใหญ่ที่สุดในโถง และไม่ใช่จุดที่คนมุงมากที่สุดด้วย แต่บางอย่างในนั้นดึงดูดสายตาของเธอโดยไม่รู้ตัว ซือหยูปล่อยแขนหลี่เสี่ยวในทันทีแล้วเดินตรงเข้าไปที่ตู้กระจกนั้นด้วยความรู้สึกที่บอกไม่ถูก ภายในตู้มีจี้หยกสีเขียวมรกตรูปหยดน้ำวางอยู่บนผ้ากำมะหยี่สีแดงเข้ม ขนาดของมันไม่ได้ใหญ่ไปกว่าหัวแม่มือของเธอสักเท่าไหร่ ผิวหยกเรียบเนียนราวกับถูกขัดเกลามานานนับศตวรรษ มีรอยสลักคำว่า ‘**(หลิน)’ อยู่ด้านหลัง แสงไฟของตู้จัดแสดงสะท้อนบนจี้หยกทำให้มันดูเหมือนมีชีวิตและลายเส้นสีเขียวเข้มบนหยกชิ้นนั้นในบางครั้งซือหยูก็รู้สึกเหมือนว่ามันจะขยับได้ “สวยจัง...” ซือหยูพึมพำขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว เธอก้มลงไปอ่านป้ายเล็ก ๆ ที่ปรากฏอยู่ข้างตู้จัดแสดง ‘จี้หยกแห่งราชวงศ์ถัง คาดว่าสร้างขึ้นในสมัยจักรพรรดิถังไท่จง พบในสุสานของขุนนางตระกูลหลินที่ยังไม่ระบุตัวตน บางตำรากล่าวว่าเป็นเครื่องรางผูกวิญญาณ’ “ตระกูลหลินจริง ๆ ด้วย” ซือหยูพูดกับตัวเอง เสียงของเธอเบาจนแทบไม่ได้ยิน เธอหัวเราะในลำคอ ความคิดที่ว่าเธออาจจะมีความเชื่อมโยงกับวัตถุโบราณชิ้นนี้ช่างดูไร้สาระสิ้นดี แต่ในขณะเดียวกันหัวใจของเธอก็เต้นเร็วขึ้นโดยไม่มีเหตุผล มันรู้สึกตื่นเต้นแปลก ๆ เธอเงยหน้าขึ้นมองจี้หยกอีกครั้งและรู้สึกเหมือนมันกำลังจ้องกลับมาที่เธอ เงาสะท้อนของใบหน้าตัวเองบนผิวหยกนั้นดูแปลกตา เธอพบว่าดวงตาของเธอที่ปรากฏอยู่ในเงาสะท้อนไม่ใช่ของเธอ แววตานั้นดูเข้มแข็งและดื้อรั้น ไม่เหมือนกับแววตาของเธอในตอนนี้ “ซือหยู ดูอะไรอยู่น่ะ” หลี่เสี่ยวเดินเข้ามาใกล้แล้วยื่นหน้าเข้ามาข้าง ๆ “นี่ไง...” เธอชี้ให้ดู “อ๋อ จี้หยกนี่เอง พ่อบอกว่ามันพิเศษมากเลยนะ เพราะยังไม่มีบันทึกว่ามันเป็นของใคร ทั้งที่ฝีมือการแกะสลักเนี้ยบสุด ๆ” “อ่อ...” “เธอชอบเหรอ? ไม่เคยเห็นเธอสนใจอะไรแบบนี้มาก่อนเลย” หลี่เสี่ยวเอ่ยถามด้วยสีหน้าสงสัย “ก็... ไม่รู้สิ” ซือหยูตอบเลี่ยง ๆ เธอไม่รู้ว่าจะอธิบายยังไงถึงความรู้สึกแปลก ๆ ที่เกิดขึ้นในอก มันไม่ใช่แค่ความสวยงามของจี้หยกที่ทำให้เธอหยุดมอง แต่เหมือนมีอะไรบางอย่างในนั้นเรียกหาเธอ เสียงกระซิบที่ดังอยู่ในหัวของเธอตลอดเวลา มันเบามากจนเหมือนเสียงของลมที่พัดผ่านมาและผ่านไป แต่มันค่อนข้างรบกวนจิตใจของเธอได้ไม่น้อย และเธอแน่ใจว่ามันไม่ใช่แค่การจินตนาการไปเองอย่างแน่นอน “แล้วเธอเคยได้ยินตำนานการผูกวิญญาณจากพ่อเธอบ้างไหม” ซือหยูถามต่อ “อืม... พ่อเคยเล่าให้ฟังตอนเด็ก ๆ ว่านักรบโบราณบางคนฝังวิญญาณไว้กับเครื่องราง เพื่อรอคนที่ถูกกำหนดให้ปลดปล่อยมัน” “หลี่เสี่ยว!!” ไมทันที่ซือหยูจะได้เอ่ยปากถามต่อ เสียงทุ้มของศาสตราจารย์หลี่ก็ดังมาจากอีกฝั่งของห้องโถง “พาเพื่อน ๆ ไปรวมตัวที่ห้องเก็บของลับเดี๋ยวนี้ พ่อจะเล่าเรื่องการขุดค้นให้ฟัง” “ได้ค่ะ” หลี่เสี่ยวตะโกนตอบ แล้วหันมาคว้าแขนซือหยู “ไปกันเถอะ อย่ามัวยืนเหม่ออยู่ตรงนี้ เดี๋ยวจะพลาดของดีเอา” ซือหยูพยักหน้ารับแต่สายตายังไม่ละจากจี้หยก เธอรู้สึกถึงแรงดึงดูดที่แข็งแกร่งขึ้นเรื่อย ๆ มันเหมือนมีบางอย่างในนั้นรอเธออยู่ บางอย่างที่เธอไม่เข้าใจและไม่รู้เลยว่ามันจะเป็นสิ่งที่เปลี่ยนชีวิตของเธอไปตลอดกาล เธอหันหลังเดินตามหลี่เสี่ยวไปแต่ความรู้สึกหนักอึ้งในอกยังคงอยู่ เธอสัมผัสคอตัวเองตามสัญชาตญาณราวกับมีอะไรบางอย่างควรจะห้อยอยู่ที่นั่น ในขณะที่เธอเดินออกไป เธอไม่รู้เลยว่าเงาสะท้อนของดวงตาในจี้หยกนั้นยังคงจ้องมองตามหลังเธอ มันเป็นดวงตาคู่หนึ่งที่ไม่ใช่ของเธอในตอนนี้ แต่ก็กำลังจะกลายเป็นของเธอในไม่ช้า...
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD