ตอนที่ 10 กลยุทธ์จากอนาคต

2260 Words
ตอนที่ 10 กลยุทธ์จากอนาคต เป็นคืนแรกที่หลินซือหยูได้นอนหลับพักผ่อนอยู่ในห้องนอนจริง ๆ เสียที ถึงแม้ว่าจะไม่ได้นุ่มสบายเหมือนกับห้องนอนของเธอในยุคปัจจุบันแต่มันก็เป็นหลักเป็นแหล่ง และรู้สึกปลอดภัยกว่านอนอยู่ในป่ามากทีเดียว มันเป็นห้องพักที่อยู่ในเรือนของแม่ทัพจ้าวหย่งเฉินในเมืองหลวงฉางอาน เขาพาเธอมาพักผ่อนที่นี่หลังจากที่เสร็จธุระจากเรือนใหญ่ตระกูลหลิน โดยปกติเขาก็ไม่ค่อยจะได้อยู่ที่เรือนหลังนี้มากนัก เพราะต้องออกเดินทางลาดตระเวนไปทั่วราชอาณาจักร เพื่อดูแลความเรียบร้อยตามคำสั่งของฮ่องเต้ เขาจึงเคยชินกับการนอนในเต็นท์ตามค่ายพักชั่วคราวมากกว่า แสงตะเกียงสั่นไหวตามลมที่พัดผ่านเข้ามาภายใน ความเงียบทำให้ซือหยูได้ยินเสียงฝีเท้าของทหารยามที่เดินไปมาด้านนอกดังเป็นจังหวะ แต่กลับดูคล้ายเสียงหัวใจของเธอที่เต้นระรัวราวกับกลองศึกที่ใกล้แตกสลาย เธอมองไปที่จดหมายลับบนโต๊ะไม้หยาบ ๆ ตัวอักษรจีนโบราณระบุชื่อ ‘ถังหย่งซาน’ และรายชื่อขุนนางที่สมคบกับเขาด้วยหมึกสีแดงจาง ๆ ราวกับเลือดที่แห้งกรัง นี่คือหลักฐานที่หย่งเฉินต้องการ... แต่ถ้าองค์ชายสามรู้ว่าฉันมีมันล่ะ ความคิดนั้นแวบเข้ามาในหัวของเธอพร้อมกับหัวใจที่เต้นแรงขึ้น ในชั่วขณะนั้นแสงสีเขียวเล็ดลอดออกมาจากรอยสลักบนจี้หยกที่เธอสวมมันไว้กับคออีกแล้ว เธอรีบยกมือขึ้นสัมผัสมันก่อนที่ภาพในหัวจะผุดขึ้นมา วูบ! ‘ภาพของ หลินเซี่ยงจือ ยืนบนกำแพงเมืองฉางอานในศึกใหญ่ พร้อมกับถือจี้หยกเอาไว้ในมือก่อนจะสั่งการทหาร แต่ทันใดนั้น เงาของชายในชุดดำก็โผล่ออกมาจากควันที่ปกคลุมไปทั่วพื้นที่ ครู่แรกเธอดูไม่ออกว่าเป็นใคร แต่พอหมอกควันจางไป พร้อมกับที่ผ้าปกคลุมใบหน้าเปิดออก เธอจึงได้รู้ว่าชายชุดดำก็คือถังหย่งซานนั่นเอง “นี่คือจุดจบของตระกูลหลิน” หย่งซานยกดาบขึ้นพร้อมยกยิ้มที่แสนจะเย็นชา’ พรึ่บ! แล้วภาพนั้นก็ตัดหายไปในทันที แม้ว่าในความเป็นจริงมันจะเป็นไปได้ยากที่องค์ชายสามจะเผชิญหน้ากับหลินเซี่ยงจือบรรพบุรุษต้นตระกูลหลิน แต่นี่คงเป็นคำบอกใบ้บางอย่างที่จี้หยกนี้ต้องการมอบให้เธอ แม้ว่าซือหยูจะอยากรู้เรื่องราวมากกว่านี้ แต่ดูเหมือนจี้หยกจะอนุญาตให้เธอได้รับรู้คำบอกใบ้ได้อย่างจำกัด และไม่สามารถเรียกร้องอะไรมากกว่านี้ได้ มือของเธอสั่นเทาเล็กน้อยจากเรื่องราวที่เพิ่งได้เห็นก่อนจะบ่นพึมพำกับตัวเองด้วยน้ำเสียงสั่นเทา “นะ... นี่มันเรื่องอะไรกันแน่” “เจ้ามีเรื่องกังวลใจหรือ” เสียงทุ้มของจ้าวหย่งเฉินดังขึ้นจากทางเข้าทำให้เธอสะดุ้งขึ้นก่อนจะมองไปตามทิศทางที่เสียงดังขึ้น เธอเห็นเขายืนอยู่ที่ประตูห้อง ชุดเกราะของเขาดูสะอาดขึ้นนิดหน่อย ไม่ได้เปื้อนคราบเลือดแห้งกรังเหมือนกับทุกที แต่ใบหน้าคมเข้มของเขายังดูตึงเครียดเหมือนเดิม วันใดที่เธอได้เห็นรอยยิ้มจากเสือยิ้มยากคนนี้ โลกคงแตกแน่นอน “ฉัน... ฉันแค่กำลังคิดว่าจะจัดการปัญหานี้ยังไงดี” เธอเอ่ยตอบขณะที่พยายามควบคุมลมหายใจของตัวเองให้เป็นปกติ “จากจดหมายนี้ องค์ชายสามมีกองโจรซุ่มอยู่ในเขตชานเมืองฉางอาน และอาจรู้ว่าฉันมีหลักฐานนี้อยู่ ถ้าเขามาชิงหลักฐานนี้ไปได้ เราคงตายแน่!” “ถ้าเป็นเช่นนั้น เราคงต้องเริ่มลงมือแล้ว” หย่งเฉินพูดพลางพยักหน้าเป็นสัญญาณให้ซือหยูลุกเดินตามออกไป พวกเขาทั้งสองคนออกเดินทางกลับไปยังค่ายหลักที่ตั้งอยู่บริเวณเขตหลัวหยาง เขาควบม้าอย่างเร่งรีบด้วยกลัวว่าจะไม่ทันการ เป็นครั้งแรกที่ซือหยูได้นั่งม้าตัวเดียวกับแม่ทัพจ้าว เธอสวมกอดที่เอวของเขาแน่นเพราะความเร็วของม้าทำให้เธอค่อนข้างกลัวเป็นพิเศษ ทันทีที่มาถึงทั้งสองคนก็รีบเดินเข้าไปในเต็นท์ว่าการทันที หย่งเฉินไม่ลืมที่จะเรียกทหารคนสนิทให้ตามเข้าไปด้วย เขาเดินเข้ามานั่งลงที่โต๊ะตรงข้ามกับซือ หยู ดวงตาอันเย็นชาและเฉียบคมของเขาจ้องเธอนิ่งแต่มันก็แฝงความกังวลเอาไว้อยู่ไม่น้อย “เราจะช้าไม่ได้อีกแล้ว” เขาพูดด้วยน้ำเสียงตึงเครียด “กองโจรของหย่งซานรู้เส้นทางรอบเมืองฉางอาน ในป่า และเมืองหลัวหยางดี พวกมันเคลื่อนไหวเร็วและซุ่มโจมตีได้แม่นยำ ถ้าเราพลาดเพียงนิด แม้แต่ข้าก็อาจไม่รอด” เขาวางแผนที่เก่าของฉางอานและหลัวหยางบนโต๊ะ ฝ่ามือของเขากดลงบนแผนที่จนกระดาษยับ “เราต้องหาวิธีล่อพวกมันออกมา ก่อนที่หย่งซานจะเคลื่อนไหวในเมืองหลวง” ซือหยูมองแผนที่อย่างพิจารณาด้วยความตื่นเต้นปนกลัว “ฉันคิดออกแล้ว” เธอพูดด้วยน้ำเสียงที่สั่นเล็กน้อย “เราต้องใช้กลยุทธ์หลอกล่อ!” หย่งเฉินขมวดคิ้ว “กลยุทธ์หลอกล่อหรือ เจ้าพูดแบบนี้อีกแล้ว” เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่ค่อนข้างระแวง “เจ้าช่วยอธิบายให้ข้าฟังที แต่ถ้าพลาดขึ้นมา รู้ใช่ไหมว่าพวกเราจะเป็นอย่างไร” ซือหยูกลืนน้ำลายอึกใหญ่ ความกังวลก่อตัวขึ้นในใจเธอทันที “กลยุทธ์ของเรา ก็คือ... เราปล่อยข่าวลวงว่าเราจะเดินทางผ่านทางหลักไปฉางอาน แต่จริง ๆ แล้วเราจะแอบเดินทางไปทางเลี่ยงผ่านเขตชานเมืองหลัวหยาง” หย่งเฉินมองเธอด้วยสายตาที่ประเมิน “ข่าวลวงหรือ พวกมันจะเชื่อได้อย่างไร ถ้าพวกมันมีสายลับ แล้วรู้ทันกลยุทธ์ของเราล่ะ พวกเราทั้งหมดอาจถูกฆ่าตายอยู่ในป่า” “งั้นพวกเราต้องระวังให้ดี ให้คนไปข่าวลวงในหมู่บ้านละแวกใกล้ ๆ ค่ายด้วย พวกโจรมันต้องได้ยินแน่ ส่วนในค่าย คุณต้องให้คนรู้แผนการนี้น้อยที่สุด เพราะอาจมีสายลับซ่อนอยู่ก็เป็นได้” “ได้ ข้าจะระวัง เจ้าเล่าแผนของเจ้าต่อเถอะ” “ระหว่างที่พวกเราเดินทางไปยังเส้นทางเลี่ยงเขตชานเมืองหลัวหยางก็ให้กองกำลังดักซุ่มอยู่ที่นั่น ส่วนเส้นทางหลักให้คุณใช้ทหารบางส่วนแกล้งแพ้แล้วถอยทัพ พวกมันจะคิดว่าเราเสียเปรียบ คิดว่าเราไม่มีทางหนี แล้วพวกมันจะยกพวกตามมาเพื่อกำจัดเราอย่างแน่นอน” เธอหยิบกิ่งไม้จากพื้นวาดแผนที่คร่าว ๆ ลงบนดิน ฝ่ามือของเธอสั่นเล็กน้อย “นี่คือทางหลัก นี่คือทางเลี่ยง ถ้าทหารของคุณแกล้งพ่ายแพ้ที่ทางหลัก แล้วพวกมันติดกับบุกตามมาในเส้นทางเลี่ยงเมืองจริง ก็จะเป็นโชคดีของเรา เราจะสามารถซุ่มโจมตีได้ แต่ถ้าพลาดขึ้นมา เราอาจจะถูกโจมตีจากทุกด้าน” หย่งเฉินมองภาพที่เธอวาดบนดินนิ่ง ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความกดดันก่อนจะเอ่ยปากพูดออกมา “น่าสนใจ” น้ำเสียงของเขาหนักแน่น “แต่ถ้าพวกมันมีสายลับในค่ายของเรา ข่าวลวงนี้อาจไม่สำเร็จ” “คุณพูดถูก” ซือหยูย้ำคำ เขาหันไปสั่งทหารทันที “จัดทัพไปซ่อนตัวที่เส้นทางลับเขตหลัวหยาง แต่จงระวังให้ดี อย่าให้มีใครพบเห็นพวกเจ้า อีกส่วนนำทัพไปกับข้าที่เส้นทางหลักในป่าหลัวหยางเพื่อมุ่งหน้าไปเมืองฉางอาน จากนั้นให้รอคำสั่งจากข้า ถ้าพลาด ข้าจะตัดคอคนที่รับผิดชอบ” ทหารพยักหน้าและวิ่งออกไปจัดเตรียม ใบหน้าของพวกเขาคลาคล่ำไปด้วยความตึงเครียด บ่ายวันนั้น หย่งเฉินนำทัพออกจากค่าย เสียงม้าก้าวเท้าดังก้องในป่าบนเส้นทางหลักใกล้เขตชานเมืองหลัวหยาง ซือหยูนั่งบนเกวียน รู้สึกถึงความกดดันที่ระลึกซ้ำในอก ฉันหวังว่ากลยุทธ์นี้จะใช้ได้ ทันใดนั้นจี้หยกที่ห้อยคอไว้ก็ร้อนขึ้นอย่างรวดเร็ว มันเรืองแสงสีเขียวจาง ๆ เธอรีบสัมผัสมันทันที และส่งภาพที่ทำให้เธอต้องสะดุ้งขึ้น วูบ! ‘ภาพคล้ายเดิมกับที่เธอเห็นมาก่อนหน้านี้ของหลินเซี่ยงจือยืนบนกำแพงเมือง เพียงแต่ครั้งนี้มันเป็นกำแพงของเมืองหลัวหยาง เซี่ยงจือกำลังสั่งการทหารให้ใช้กลยุทธ์หลอกล่อ แต่ทันใดนั้นถังหย่งซานในชุดโจรสีดำก็โผล่ออกมาจากควัน เขายิ้มเย็นชาและยกดาบขึ้นก่อนจะกล่าวประโยคเดิม “นี่คือจุดจบของตระกูลหลิน”’ จากนั้นภาพดังกล่าวก็หายไป ทำให้ซือหยูหน้าเสียในทันที นี่มัน... เป็นคำเตือนหรือเปล่านะ! ฉึก!! เสียงคุ้นหูดังขึ้นที่ข้างหูเธอ เป็นอีกครั้งที่ลูกธนูเฉียดหลินซือหยูไปนิดเดียวราวกับว่ามีบางสิ่งคอยช่วยเหลือเธอให้รอดพ้นจากความตายครั้งแล้วครั้งเล่า ลูกธนูปักเข้าที่เกวียนด้านซ้าย หัวใจของเธอเต้นแรงจนเหมือนกับว่ามันจะหลุดออกมาจากอก “ศัตรูโจมตี!” ทหารคนหนึ่งตะโกนดังก้อง หย่งเฉินหยุดม้าในทันที เสียงม้าร้องดังลั่นเพราะถูกดึงบังเ**ยนให้หยุดอย่างกะทันหัน ใบหน้าของเขาคลาคล่ำไปด้วยความโกรธ ก่อนตะโกนสั่ง “ปกป้องเกวียน!” ทหารทั้งหมดกระจายตัว จับอาวุธพร้อมเผชิญหน้ากับกองโจรในชุดผ้าดำหยาบจำนวนสิบคนที่โผล่ออกมาจากพุ่มไม้ ถือดาบและธนู ใบหน้าของพวกมันถูกบังด้วยผ้าคลุม ดวงตาเต็มไปด้วยความดุร้าย “หย่งเฉิน! ลงมือเลย!” ซือหยูตะโกนด้วยน้ำเสียงสั่นเทา หย่งเฉินดึงดาบยาวจากฝักทันทีแล้วตะโกนสั่ง “ถอยทัพ!” สิ้นเสียงของเขาทหารทั้งหมดแกล้งวิ่งหนีกลับจากทางหลักเพื่อไปยังทางลับอย่างตื่นตระหนก ใบหน้าของพวกเขาคลาคล่ำไปด้วยความกลัวที่ดูสมจริง โจรทั้งสิบคนหัวเราะเยาะ “พวกมันกลัวแล้ว!” ชายคนหนึ่งตะโกน ขณะที่วิ่งตามทัพของหย่งเฉินไป ซือหยูมองตามด้วยความตื่นเต้นปนกลัว มันได้ผล... หรือเปล่านะ ทันใดนั้นหางตาของเธอก็เห็นเงาดำเคลื่อนไหวจากด้านหลังอย่างรวดเร็ว “ระวัง!” เธอตะโกน โจรอีกสามคนที่ซ่อนอยู่ในพุ่มไม้พุ่งเข้ามาหาเธอกับหย่งเฉินด้วยความดุร้าย หย่งเฉินกระโจนมาบังหน้าซือหยูเอาไว้ด้วยความรวดเร็ว แล้วยกดาบในมือฟันลงทันที สายลับคนแรกกรีดร้องเมื่อแขนขวาขาดสะบั้น เลือดสาดกระจายไปบนพื้นป่า เขาล้มลงคุกเข่า แต่สายลับคนที่สองพุ่งเข้ามาด้วยดาบยาว หย่งเฉินหมุนตัวหลบอย่างเฉียดฉิว ดาบของสายลับกรีดผ่านเกราะของเขาที่ไหล่ขวา “อ๊ะ!” เขาเผลอหลุดเสียงร้องออกมา เพราะเขาไม่ทันได้ระวังจึงพลาดท่าจนต้องเจ็บตัว เลือดสีแดงไหลซึมออกมาให้เห็นบนเกราะ เขากัดฟันแน่น หมุนตัวอีกครั้งด้วยความโกรธและฟันตัดคอสายลับคนนั้น เลือดสาดกระจายไปทั่วใบหน้าของเขา แต่สายลับคนที่สามยิงธนูใส่เขาจากระยะใกล้ หย่งเฉินหมุนตัวหลบลูกธนูได้ทัน มันจึงลอยไปปักลงพื้นดินไม่ไกลจากเขามากนัก เขารีบคว้ามีดสั้นจากเอวแล้วขว้างออกไปด้วยความแม่นยำ ปักเข้าที่ลำคอของสายลับก่อนที่มันจะยิงซ้ำ สายลับล้มลงนิ่ง เลือดไหลนองพื้นป่า ส่วนทหารของหย่งเฉินอีกทัพหนึ่งที่ซุ่มตัวในป่าหลัวหยางก็โผล่ออกมาโจมตีโจรที่วิ่งตามทหารของหย่งเฉินไปทางลับนั้น สายลับทั้งหมดถูกกำจัดในเวลาไม่ถึงหนึ่งนาที หย่งเฉินหายใจหอบ ขณะที่เช็ดเลือดจากดาบด้วยปลายแขนเสื้อ “เจ้าแนะนำได้ถูกต้อง” เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่ผสมความประหลาดใจและความกดดัน “เป็นโชคดีของเจ้า หากกลยุทธ์นี้ล้มเหลว ข้าคงไม่ปล่อยให้เจ้ารอด” “ก็ฉันบอกแล้วว่ากลยุทธ์นี้จะใช้ได้ดี” ซือหยูตอบพลางยกยิ้มอย่างฝืน ๆ แต่ในใจเธอรู้ว่าเธอใช้ความรู้จากตำราประวัติศาสตร์สมัยใหม่ หาใช่ความเก่งกาจของมันสมองของเธอ หย่งเฉินมองเธอด้วยสายตาที่เปลี่ยนไป “เจ้ามีความสามารถเกินหญิงสามัญ” เขาพูด “แต่ข้าจะถามอีกครั้ง เจ้ามาจากไหนกันแน่ ถ้าข้าพบว่าเจ้าเกี่ยวข้องกับหย่งซาน ข้าจะจัดการเจ้าเอง” ซือหยูส่ายหน้า “ฉันไม่พูดแล้ว ก็เคยบอกไปแล้วว่าจะพูดครั้งสุดท้าย ฉันมาจากแดนไกล บอกไปคุณก็ไม่รู้จักหรอก” เธอตอบ หย่งเฉินพยักหน้า “ได้ ถ้าอย่างนั้น ข้าจะไว้วางใจเจ้าในตอนนี้ แต่ถ้าข้าพบว่าเจ้าโป้ปดกับข้า ข้าจะไม่ยอมปล่อยผ่าน” เขาพูดก่อนจะสั่งทหารเคลียร์ศพและตรวจสอบเส้นทาง ใบหน้าของเขาคลาคล่ำไปด้วยความเคร่งเครียด อย่างน้อย... เขาวางใจฉันมากขึ้นแล้ว... ใช่ไหมนะ
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD