ตอนที่ 14 จี้หยกสั่นไหว

1388 Words
ฝนที่ตกมาตลอดทั้งคืนหยุดลงแล้ว หลินซือหยูยังคงรู้สึกอ่อนเพลียไม่หายจากเหตุการณ์เมื่อคืนนี้ เธอนั่งอยู่บนพื้นหญ้าชื้นในทุ่งโล่งนอกกำแพงเมืองฉางอาน แสงจันทร์สีเงินสาดส่องลงมา ท้องฟ้าปลอดโปร่งหลังฝนหยุดตก เสียงหยดน้ำจากใบไม้รอบ ๆ ดังเป็นจังหวะ เธอมองไปที่จ้าวหย่งเฉินที่นั่งข้าง ๆ ใบหน้าคมเข้มของเขาเปียกชุ่มจากฝน ดวงตาที่เคยเย็นชายังคงมีแววของความอบอุ่นจากคำสารภาพและสัมผัสเมื่อครู่ เธอสัมผัสริมฝีปากของตัวเองเบา ๆ รอยจูบของเขายังคงทิ้งความรู้สึกหอมหวานและรุ่มร้อนไว้ในใจ นี่มันเกิดอะไรขึ้นกับฉัน? จู่ ๆ จี้หยกที่ห้อยคอเริ่มร้อนขึ้นอย่างรุนแรง เธอสะดุ้งตื่นจากภวังค์ และคว้าจับมันแน่น มันสั่นสะเทือนในฝ่ามือของเธอราวกับมีชีวิต แสงสีเขียวเข้มพุ่งออกจากรอยสลัก **(หลิน) อย่างไม่เคยเป็นมาก่อน “หย่งเฉิน!” เธอร้องเรียกด้วยความตกใจขณะที่คว้ามือของเขา หย่งเฉินหันมามองทันที ดวงตาของเขามีแววตื่นตัว “เกิดอะไรขึ้น?” เขาถามด้วยน้ำเสียงทุ้มที่เต็มไปด้วยความกังวล เขามองไปที่จี้หยกในมือของเธอ “มัน... มันร้อนมาก แล้วมันก็สั่นแรงมากด้วย!” เธอตอบ ขณะที่พยายามควบคุมความตื่นตระหนก แสงสีเขียวจากจี้หยกเริ่มพุ่งออกมาเป็นลำแสงบาง ๆ ส่องไปยังท้องฟ้าที่มืดมิด หย่งเฉินคว้ามือของเธอแน่น “เจ้าเคยเห็นมันเป็นแบบนี้มาก่อนหรือไม่” เขาถาม ขณะที่จ้องจี้หยกด้วยสายตาที่ทั้งสงสัยและระแวง “ไม่เคย!” ซือหยูตอบ ขณะที่จี้หยกสั่นแรงขึ้น เธอรู้สึกถึงพลังงานบางอย่างที่ไหลออกจากมัน เข้าสู่ร่างของเธอ มันปวดไปทั่วทั้งร่าง เธอรู้สึกทรมานเพราะมันร้อนจนเหมือนโดนลวกผิว ภาพในนิมิตปรากฏขึ้นในหัวทั้งที่เธอยังไม่ได้สัมผัสที่จี้เลยแม้แต่น้อย ‘หลินซือเยว่กำลังยืนในห้องมืดในมือถือจดหมายลับ ข้าง ๆ เธอมีชายในชุดเกราะ เขาคือหลินเซี่ยงจือ มองเธอด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัว “เจ้าไม่ควรเปลี่ยนมัน” เขาเอ่ยพูดกับหลินซือเยว่ ขณะที่แสงสีเขียวจากจี้หยกพุ่งออกมาจากมือของหลินซือเยว่ และฉากนั้นแตกสลายเป็นเสี่ยง ๆ’ “นี่มันอะไรกัน?” เธอร้องออกมาในขณะที่ภาพหายไป แต่จี้หยกยังคงสั่นแรงในมือของเธอ หย่งเฉินมองเธอด้วยความกังวล “เจ้าเห็นอะไร?” เขาถาม ขณะที่ยกมือขึ้นสัมผัสแก้มของเธอเบา ๆ เพื่อปลอบเธอ ซือหยูหายใจหอบ “ฉันเห็นหลินซือเยว่... และหลินเซี่ยงจือ เขาบอกว่าฉันไม่ควรเปลี่ยนแปลงอะไร” เธอพูด ขณะที่มองเขาด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยความสับสน “ฉันรู้สึกเหมือนมันกำลังเตือนฉันถึงบางอย่าง” หย่งเฉินขมวดคิ้ว “เปลี่ยนอะไร?” เขาถาม ขณะที่มือของเขาคลายจากแก้มของเธอ แต่ยังคงจับไหล่ของเธอแน่นเพื่อให้เธอรู้สึกถึงความปลอดภัย ซือหยูเงียบไปชั่วขณะ เธอรู้สึกถึงพลังที่ไหลจากจี้หยกเข้าสู่ร่างของเธอ มันทำให้เธอปวดหัวเล็ก ๆ และเห็นภาพลาง ๆ ขึ้นมาอีกครั้ง ‘ภาพของเมืองฉางอานที่ลุกไหม้ กองทัพของหย่งซานบุกเข้ามา และร่างของหย่งเฉินที่ล้มลงในสนามรบ’ “มันเหมือน... ฉันกำลังเปลี่ยนประวัติศาสตร์” เธอพูดด้วยน้ำเสียงที่สั่นเทา “ประวัติศาสตร์?” หย่งเฉินถามกลับด้วยสีหน้าไม่เข้าใจ “หมายถึงถ้าฉันช่วยคุณล้างมลทินให้ตระกูลหลิน มันอาจเปลี่ยนบางอย่างในอนาคต เอ่อ... ฉันหมายถึงในกาลข้างหน้า” “อนาคต? มันคือที่ใด” “อนาคตหมายถึงกาลเวลาข้างหน้า เป็นช่วงเวลาที่เกิดขึ้นหลังจากช่วงเวลาที่เราอยู่กันในตอนนี้” ซือหยูพยายามอธิบายอย่างค่อยเป็นค่อยไป เพราะไม่แน่ใจว่าอีกฝ่ายจะเชื่อเธอหรือไม่ หย่งเฉินมองเธอด้วยสายตาที่ลึกซึ้ง “เจ้ากำลังบอกว่าเจ้ามาจากกาลข้างหน้างั้นหรือ” แม้เป็นเรื่องที่ไม่น่าเชื่อ แต่เขาก็รอฟังคำตอบอย่างตั้งใจ พลางจับไหล่ของเธอแน่นขึ้นราวกับกลัวคำตอบที่จะได้ยินจากปากของหญิงสาวตรงหน้า “ฉัน...” ซือหยูลังเล ขณะที่จี้หยกยังคงสั่นในมือของเธอ เธอรู้ว่าเธอไม่สามารถโกหกเขาได้อีกต่อไป “ใช่ ฉันมาจากที่นั่น มันเป็นแดนไกล... แดนที่ห่างไกลกว่าที่คุณคิด” “มันไกลเท่าใด” แทนที่จะตกใจ แต่เขากลับถามต่ออย่างอยากรู้ราวกับว่าเขาเชื่อในสิ่งที่เธอบอกหมดหัวใจ “เกิดขึ้นหลังจากที่นี่มากกว่า 1,200 ปี” “หากไกลเพียงนั้น เหตุใดเจ้าจึงมาถึงฉางอานได้” “ฉันไม่รู้ว่าทำไมจี้หยกถึงพาฉันมา บางทีอาจเป็นเพราะต้องมาช่วยคุณและตระกูลหลินของฉัน” เธอเอ่ยพูด ดวงตาทั้งสองเริ่มชื้นแฉะด้วยน้ำตาที่กำลังคลอหน่วย หย่งเฉินเงียบไปชั่วขณะ ดวงตาของเขามองลึกเข้าไปในดวงตาของเธอราวกับพยายามอ่านความจริง “กาลข้างหน้า แดนที่ห่างไกล...” เขาพูดซ้ำ “ที่เจ้าพูดมา ข้าไม่เข้าใจหรอก แต่ข้ายินดีเชื่อเจ้า” เขาคลายมือจากไหล่ของเธอ และยกมือขึ้นสัมผัสจี้หยกในมือของเธอเบา ๆ เมื่อหย่งเฉินสัมผัสจี้หยก มันสั่นแรงขึ้นทวีคูณ และแสงสีเขียวพุ่งออกมาอีกครั้ง ซือหยูรู้สึกถึงพลังที่ไหลจากจี้หยกเข้าสู่ร่างของเธอ ครั้งนี้มันมอบความรู้สึกที่รุนแรงกว่าที่เคยเป็นมา วูบ! ‘เมืองหลัวหยางที่เคยรุ่งเรืองในสมัยถังไท่จงกลายเป็นซากปรักหักพัง ร่างของหย่งเฉินนอนนิ่งในสนามรบ และภาพของเธอในยุคปัจจุบันที่ยืนอยู่ในพิพิธภัณฑ์ ดูจี้หยกด้วยใบหน้าที่ว่างเปล่า’ “นี่มัน... อนาคตมันจะเปลี่ยนไปเหรอ” เธอร้อง ขณะที่ภาพหายไป และจี้หยกหยุดสั่นทันที มันเย็นลงทันทีราวกับหมดพลัง หย่งเฉินมองเธอด้วยความตกใจ “เจ้าเห็นอะไร?” เขาถาม ขณะที่จับมือของเธอแน่นขึ้น ซือหยูหายใจหอบ “ฉันเห็นคุณ... และเมืองที่ล่มสลาย” เธอพูด “มันเหมือนจี้หยกกำลังบอกว่าถ้าฉันเปลี่ยนอะไรในยุคนี้ ทุกอย่างในอนาคตอาจพังทลาย” หย่งเฉินขมวดคิ้ว “เจ้ากลัวหรือ?” เขาถาม ขณะที่ยกมือขึ้นลูบแก้มของเธอเบา ๆ เพื่อปลอบเธอ “ข้ากลัวว่าเจ้าจะต้องเจ็บปวดจากสิ่งนี้” เขากระซิบ ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความห่วงใย “ฉันกลัว” ซือหยูยอมรับ ขณะที่น้ำตาคลอ “แต่ฉันกลัวมากกว่าถ้าต้องเสียคุณ” เธอพูดพลางโน้มตัวเข้าใกล้เขา หย่งเฉินโอบกอดเธอแน่น ฝ่ามือของเขาคลอเคลียที่หลังของเธอ “ข้าจะไม่ยอมให้เจ้าเผชิญมันคนเดียว” เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่มุ่งมั่น “ไม่ว่าจี้หยกนี้จะพาเราไปที่ใด ข้าจะอยู่ข้างเจ้า” เขาคลายกอด และยกมือขึ้นสัมผัสใบหน้าของเธอ “ข้าจะปกป้องเจ้า ไม่ว่ากาลข้างหน้าจะเปลี่ยนไปอย่างไร” ซือหยูรู้สึกถึงความอบอุ่นจากคำพูดและสัมผัสของเขา “ขอบคุณ” เธอพูดขณะที่จับมือของเขาแน่น “ฉันจะหาวิธีใช้จี้หยกนี้ให้ถูกต้อง เพื่อคุณและตระกูลของพวกเรา” หย่งเฉินยิ้ม ใบหน้าของเขาคลายลงด้วยความรู้สึกที่ลึกซึ้ง “ดี! เราจะเผชิญมันด้วยกัน” เขาดึงเธอเข้าไปใกล้ และโน้มตัวลงจูบหน้าผากของเธอเบา ๆ ความอบอุ่นจากริมฝีปากของเขาแผ่มาถึงเธอในคืนที่เย็นเยือก ซือหยูมองไปยังแสงจันทร์ ขณะที่จี้หยกในมือของเธอเย็นลงอย่างสงบ หรือนี่คือโชคชะตาของฉันงั้นเหรอ...
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD