“นั่งๆ เลยแยม ต่อไปเลคเชอร์สังคมมึงไม่ต้องให้มันลอกนะ อยากงกกับเพื่อนนัก” ไอ้ต้นยังกัดไอ้โจ้ไม่ปล่อย ไม่รู้ว่าก่อนผมจะมาถึงพวกมันกัดเรื่องอะไรกันมาก่อนหรือเปล่า
“เออ นั่งๆ มึงอ่ะหุบปากได้แล้วไอ้เชี่ยต้น กูจะฟังน้ำคนสวยร้องเพลง” ไอ้โจ้ดึงแขนผมให้นั่งข้างมันก่อนหันไปกัดไอ้ต้นต่อ
“เอาล่ะพวกมึง มึง มึง ทั้งหลายเงียบๆ ซะ ต่อไปนี้มาฟังน้ำคนสวยของกูร้องเพลงกัน เอ้า ฮิ้ว” ไอ้โจ้ยังไม่เลิก คงจะซัดไปหลายแก้วแล้วก่อนผมจะมา ส่วนน้ำนั่งยิ้มไม่ได้ว่าอะไรเพราะรู้ดีว่าไอ้โจ้มันแค่หยอกเล่น
ที่ที่พวกเรานั่งสังสรรค์กันก็ที่ที่ใช้แสดงรอบกองไฟกันเมื่อคืนวานเพียงแต่คืนนี้กองไฟเล็กกว่ามากและวงล้อมกับจำนวนสมาชิกก็น้อยลงมาก รวมๆ แล้วแค่ยี่สิบกว่าคน ส่วนใหญ่ก็พวกขี้เมาทั้งนั้น จะมีสาวๆ อยู่แค่ห้าหกคนที่สนิทกัน ผมนั่งข้างไอ้โจ้มีไอ้ทศขนาบอีกข้าง และตรงข้ามอีกฝั่งของกองไฟคือไอ้คนที่จูบผมเมื่อตอนเย็น ไม่รู้ว่ามานานหรือยังแต่ผมเพิ่งจะเห็นมันตอนได้ที่นั่งเรียบร้อยแล้ว ไอ้โจ้บอกว่าวงเหล้าเคล้านักร้องขี้เมาเริ่มไปได้สักพักแล้ว มันออกมาตามผมแต่ไม่เจอเลยโทรตามแทน
“น้ำร้องเพลงนี้นะ เปลี่ยนบรรยากาศนิดนึง เพลงอาจเศร้าหน่อยแต่น้ำชอบโดยส่วนตัว ห้ามมีใครบ่น อิอิ” น้ำพูด มือก็เกากีต้าร์ไปด้วยก่อนจะเริ่มร้อง เสียงน้ำใสมากครับ และยังเป็นนักร้องของมหาวิทยาลัยด้วย แต่เพลงที่น้ำร้องมันทำให้ผมถึงกับไปไม่เป็นเลยทีเดียว
**ไม่ควรมีใจก็รู้ รู้ดีแก่ใจก็ยังทำ
ก็เลยต้องเจ็บซ้ำๆ ไม่รู้จะทำอย่างไร
ยิ่งรักยิ่งทำให้ฉันนั้นยิ่งปวดใจ
เพราะมองทางไหนไม่เห็นอนาคตเลย
ฉันเกลียดตัวเองที่เผลอใจ ไม่รู้ทำไมต้องรักเธอ
เกลียดที่ต้องเจอ เกลียดที่มีเธอเต็มหัวใจ
พยายามเพียงใดใจฉันก็ยังรักเธอไม่เปลี่ยนไปไหน
เกลียดความรู้สึกที่ต้องทำใจ ให้ลืมเธอไปทั้งๆ ที่ยังห่วงใย
มันมองทางไปไม่เห็น หนทางที่เดินช่างมืดมน
ไม่เคยจะมีสักหน ที่ฟ้าจะดูเป็นใจ
ยิ่งรักยิ่งทำให้ฉันนั้นยิ่งปวดใจมากมายเหลือเกิน
เพราะมองทางไหนไม่เห็นอนาคตเลย
ฉันเกลียดตัวเองที่เผลอใจ ไม่รู้ทำไมต้องรักเธอ
เกลียดที่ต้องเจอ เกลียดที่มีเธอเต็มหัวใจ
พยายามเพียงใดใจฉันก็ยังรักเธอไม่เปลี่ยนไปไหน
เกลียดความรู้สึกที่ต้องทำใจ ให้ลืมเธอไปทั้งๆ ที่ยังห่วงใย
ฉันเกลียดตัวเองที่เผลอใจ ไม่รู้ทำไมต้องรักเธอ
เกลียดที่ต้องเจอ เกลียดที่มีเธอเต็มหัวใจ
พยายามเพียงใดใจฉันก็ยังรักเธอไม่เปลี่ยนไปไหน
เกลียดความรู้สึกที่ต้องทำใจ ให้ลืมเธอไปทั้งๆ ที่ยังห่วงใย
เกลียดความรู้สึกที่ต้องทำใจ ให้ลืมเธอไปทั้งๆ ที่ยังห่วงใย
**เพลงประกอบละคร ไฟรักเพลิงแค้น เกลียด-โบว์ลิ่ง มานิดา เรืองศรี
ไม่ใช่นิ่งเพราะเสียงใสๆ ของน้ำ ไม่ใช่นิ่งเพราะชอบเพลงนี้ ไม่เคยฟังมาก่อนด้วยซ้ำ แต่ที่นิ่งเพียงเพราะเนื้อเพลงท่อนนั้นท่อนเดียว เผลอใจเหรอ รักเหรอ มันคืออะไรกันแน่ที่ตีกันให้วุ่นในหัว อะไรที่ทำให้วูบไหวในอก ไม่รู้ว่าผมคิดไปเองหรือเปล่าว่ามันก็มองผมอยู่เหมือนกันเมื่อได้ฟังเนื้อเพลงท่อนนั้น หรือไม่ผมก็คงใกล้บ้าแล้ว
เพลงจบไปแล้วเรียกเสียงปรบมือได้รอบวงเลยทีเดียว น้ำยังคงร้องต่อไปอีกสองสามเพลงก่อนส่งไม้ผลัดให้คนอื่นร้องต่อ แต่ละคนเริ่มมีอาการของคนเมาปรากฏกันให้เห็น อย่างเช่นไอ้สองคนที่นั่งขนาบข้างผมที่เริ่มกิ่งเอาไม้ที่ไม่รู้ไปหามาจากไหนมาเคาะขวดเคาะแก้วให้เป็นจังหวะ ปากก็ตะโกนร้องเพลงมั่วไปเรื่อย บางคนเริ่มออกสเตปส์ที่ไม่ค่อยจะน่ามองเท่าไหร่ในสายตาผม ยังมีแค่ผมที่ยังไม่แม้แต่จะแตะเหล้าสักหยด
“เป็นไรวะ ปวดขี้หรือไง นั่งทำหน้าเหมือนขี้ไม่ออก” ไอ้ต้นหันมาถามผมด้วยเสียงยานคาง คงจะเมาไปแล้ว
“เปล่า” ผมปฏิเสธแล้วหันไปมองพวกที่กำลังเต้นต่อ
“เปล่าอะไร คิ้วมึงอ่ะจะผูกโบว์กันอยู่แล้ว ไหนดูดิ๊” ไอ้ต้นยังไม่เลิกสงสัยแถมจับหน้าผมให้หันไปทางมันก่อนเอานิ้วชี้จิ้มๆ ลงบนระหว่างคิ้ว
“เออๆ งั้นกูไปห้องน้ำก่อน” ผมตัดบทมัน เพราะมัวแต่คิดเรื่องเมื่อตอนเย็นวนไปวนมาจนเริ่มรู้สึกทนไม่ไหว เลยเดินออกจากวงเหล้าจะไปล้างหน้าล้างตาสักหน่อย เผื่อสมองจะได้ปลอดโปร่งขึ้นมาบ้าง
“ไหนบอกไม่ปวดขี้ไงวะ ไอ้นี่นิท่าจะบ้า” เสียงไอ้ต้นยังลอยตามหลังมา ผมเดินผ่านห้องนั่งเล่นเห็นมีบางคนนอนกลิ้งอยู่ตรงนั้นสามสี่คน เดินไปหยิบผ้าขนหนูของตัวเองที่ตากไว้หลังบ้านก่อนเดินมาถึงห้องน้ำชั้นล่าง เข้าไปล้างหน้าล้างตาเสร็จ สำรวจตัวเองในกระจกจนได้รู้ว่าปากตัวเองเจ่อหน่อยๆ แต่ดีที่ไม่มีใครทักอะไร เผลอยกมือขึ้นลูบไล้เบาๆ รู้สึกได้ว่าหน้าร้อนผ่าวเหมือนกำลังจะไหม้
“เฮ้ย มึง” ผมตกใจเมื่อประตูห้องน้ำเปิดออก นี่ผมสะเพร่าจนลืมล็อคประตูเลยเหรอ ดีที่แค่ล้างหน้าไม่อย่างนั้นคงได้อายแทบแทรกแผ่นดินหนี
“อ้าว คิดว่าไม่มีคน เสร็จแล้วเหรอ แล้วทำไมไม่ล็อคประตู” ธีร์ถามเป็นชุดมือยังจับลูกบิดไว้แต่ไม่ยอมออกไปสักที
“แล้วมึงเข้ามาทำไม” หลังจากตกใจจนหาเสียงตัวเองเจอผมก็โวยมันกลับ
“ลืมไอ้นั่นไว้ จะมาเอา” มันชี้ไปที่ที่โกนหนวดก่อนจะเดินเข้าไปหยิบมาถือไว้
“คิดอะไรอยู่ คิดเรื่องเมื่อตอนเย็นอยู่เหรอ” ธีร์ถามออกมาจนผมต้องหันหน้าไปมองแต่ไม่ได้พูดอะไรออกไป
“โกรธหรือเปล่า” น้ำเสียงมันอ่อนลงจนผมรู้สึกได้ แต่ผมยังเงียบและเตรียมหันหลังเดินออกไปจากตรงนั้นแต่มันไวกว่าจับแขนผมไว้
“ตอบก่อน” ธีร์ยังไม่ปล่อยแขนผม จะให้ตอบว่าอะไรหล่ะ ไม่ได้โกรธ แต่ชอบที่มึงจูบน่ะเหรอ เฮ้อ แค่คิดก็หน้าเห่อร้อนไปหมดแว
“เอ่อ...คือ” เสียงผมหายอีกแล้ว ธีร์ทำหน้าอยากรู้มากขึ้น
“มึง....จูบกูอีกทีได้ไหม” ผมกลั้นใจบอกออกไป ลองอีกทีเผื่อจะรู้ใจตัวเองมากขึ้น แต่ดูเหมือนไอ้คนตรงหน้าจะตกใจ ตกตะลึงในความกล้าไร้ยางอายของผมยืนนิ่งเป็นหินไปแล้ว เอาวะ เป็นไงเป็นกันก่อนผมจะยื่นหน้าเข้าไปจูบมันเองซะเลย แค่ปากชนปาก ไม่กล้าล้ำลึก ไม่กล้าขยับไปมากกว่านี้จนถอนปากออก ไอ้คนตรงหน้าก็ยังนิ่ง นั่นยิ่งทำให้ผมอายมากขึ้นรีบสะบัดแขนออกวิ่งไปจากตรงนั้นทันที
แฮ่ก แฮ่ก
อีกแล้ว ผมวิ่งหนีมันมาอีกแล้วด้วยเรื่องเดิม จูบ แต่คราวนี้เป็นผมที่เริ่มก่อน รู้สึกได้ถึงหัวใจที่เต้นแรงตอนจูบมัน แต่เพราะมันนิ่งจนทำให้ผมไม่กล้าสู้หน้า ชอบมันจริงๆ หรือ ผมชอบผู้ชายหรือ เหมือนจะรู้ใจตัวเองแต่ไม่กล้ายอมรับความจริง กลัวคนอื่นรู้ กลัวที่บ้านรับไม่ได้ กลัวโดนรังเกียจ กลัวผิดหวัง กลัวไปหมด
สายลมริมหาดห่างจากวงเหล้าทำให้ผมรู้สึกผ่อนคลายขึ้นมานิดหน่อย ผมเหมือนคนขี้ขลาดที่ไม่ยอมรับความจริงของหัวใจตัวเองสักที ทำไมนะแค่ยอมรับไปว่าชอบ แค่ยอมรับกับตัวเองมันถึงได้ยากเย็นขนาดนี้ ผมเดินเตร่เตะทรายไปเรื่อยจนรู้สึกว่ามีคนวิ่งมาดักหน้า
“แฮ่ก หนีมาทำไม” คนตรงหน้าถามผมก่อนจะรีบโกยอากาศเข้าปอด คนที่ผมเพิ่งจะจูบไป คนที่ผมยอมรับในใจว่าชอบมันไปแล้วกำลังยืนหอบอยู่ตรงหน้าผม
“ยังไม่ตอบเลยว่าหนีมาทำไม” มันยังถามคำถามเดิม
“แล้วจะให้อยู่ทำไมล่ะ” ผมถามกลับ ใช่ จะให้อยู่ต่อทำไมล่ะ อายก็อาย
ธีร์เงียบ ยืนจ้องหน้าผมไม่วางตา
“โกรธหรือที่กูเอ่อ...จูบมึง” กระดากปากตัวเองพิลึกที่ต้องพูดอะไรแบบนี้
“หึหึ แบบนั้นเขาไม่เรียกจูบหรอกนะ แบบนี้ต่างหาก” พูดจบมันก็ฉกวูบลงบนริมฝีปากบางของผมที่ไร้การต่อต้านใดๆ ทั้งสิ้น ลิ้นร้อนไล้เลียไปตามกลีบปากก่อนซอกซอนเข้าไปในโพรงปากเกาะเกี่ยวลิ้นของผมให้เกี่ยวพันไปตามๆ กัน มือหนายกขึ้นตรึงท้ายทอยของผมให้รับจูบได้ถนัดยิ่งขึ้น จูบเรียกร้องให้ผมต้องตอบสนองไปโดยไม่รู้ตัว ไม่ได้เร่าร้อนเหมือนตอนเย็น แต่นุ่มนวลจนตัวผมเหมือนลอยได้ เคลิบเคลิ้มไปกับรสสัมผัสที่อีกฝ่ายมอบให้ก่อนจะผละออกให้ผมได้โกยอากาศเข้าปอด
“พอก่อนเดี๋ยวอดใจไม่ไหว” ธีร์กระซิบชิดริมฝีปาก กดจูบลงมาแผ่วเบาสองสามครั้งก่อนวนไปจูบตรงหน้าผากผมแล้วกอดผมไว้
“ทีนี้รู้ใจตัวเองหรือยัง หืม” ธีร์ถามทั้งที่ยังกอดผมแน่น มือก็คอยลูบหลังลูบไหล่ผมไปมาเหมือนปลอบประโลม
“รู้ด้วยหรือว่าคิดอะไรอยู่” ผมถาม และไม่ได้ขัดขืนแต่อย่างใดที่โดนกอดแต่กลับยกมือขึ้นกอดตอบด้วยซ้ำ
“รู้สิ คิ้วจะผูกโบว์ได้แล้ว ทีนี้ก็เหลือแค่บอกความจริงมาเท่านั้น” ธีร์ผละอ้อมกอดออก จิ้มนิ้วตรงระหว่างคิ้วผม
“ความจริงอะไร” ผมถาม
“ความจริงจากใจ ธีร์ชอบแยมนะ” อึ้งกับคำสารภาพที่ไม่มีปีมีขลุ่ยของคนตรงหน้า
“ทีนี้จะบอกได้หรือยังว่ารู้สึกอย่างไรกับธีร์” มันถาม แต่ผมยังนิ่ง เขินจนทำอะไรไม่ถูก คาดว่าหน้าคงจะแดงมากแน่นอน
“เอาเถอะ ไว้ค่อยบอกก็ได้” ก่อนมันจะดึงผมเข้าไปกอด
“ขอเวลาหน่อยนะ” ผมบอกออกไปหลังจากที่หาเสียงตัวเองเจอและกอดตอบมันไป ไม่ใช่ว่าไม่อยากบอกว่าชอบ แต่ขอเวลาอีกนิดเพื่อทำใจสักหน่อย ขอรวบรวมความกล้าอีกหน่อยละกัน
“หึหึ พร้อมเมื่อไหร่ก็บอกด้วยละกัน ไม่ไปไหนหรอก” แค่กอดจริงๆ กอดที่เหมือนกำลังถ่ายทอดความรู้สึกของกันและกันให้อีกฝ่ายได้รับรู้ เรายืนกอดกันจนธีร์ไล่ให้ผมไปนอนเพราะดึกแล้ว พรุ่งนี้ต้องตื่นเดินทางกลับแต่เช้า ส่วนพวกวงเหล้านั้นกระจายตัวกันไปนอนตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ พอผมเดินกลับจากชายหาดทุกคนก็แยกย้ายกันหมดแล้ว
แม้ความสัมพันธ์จะยังไม่ชัดเจน แต่อย่างน้อยผมก็ยอมรับใจตัวเองได้แล้วว่าชอบไอ้บ้าหน้าโหดนั่น แม้จะยังไม่บอกออกไปก็ตาม แต่คงไม่นานที่ผมจะมีความกล้าสารภาพออกไป