ตอนที่ 6.2 yam part

1985 Words
“นั่งๆ เลยแยม ต่อไปเลคเชอร์สังคมมึงไม่ต้องให้มันลอกนะ อยากงกกับเพื่อนนัก” ไอ้ต้นยังกัดไอ้โจ้ไม่ปล่อย ไม่รู้ว่าก่อนผมจะมาถึงพวกมันกัดเรื่องอะไรกันมาก่อนหรือเปล่า “เออ นั่งๆ มึงอ่ะหุบปากได้แล้วไอ้เชี่ยต้น กูจะฟังน้ำคนสวยร้องเพลง” ไอ้โจ้ดึงแขนผมให้นั่งข้างมันก่อนหันไปกัดไอ้ต้นต่อ “เอาล่ะพวกมึง มึง มึง ทั้งหลายเงียบๆ ซะ ต่อไปนี้มาฟังน้ำคนสวยของกูร้องเพลงกัน เอ้า ฮิ้ว” ไอ้โจ้ยังไม่เลิก คงจะซัดไปหลายแก้วแล้วก่อนผมจะมา ส่วนน้ำนั่งยิ้มไม่ได้ว่าอะไรเพราะรู้ดีว่าไอ้โจ้มันแค่หยอกเล่น ที่ที่พวกเรานั่งสังสรรค์กันก็ที่ที่ใช้แสดงรอบกองไฟกันเมื่อคืนวานเพียงแต่คืนนี้กองไฟเล็กกว่ามากและวงล้อมกับจำนวนสมาชิกก็น้อยลงมาก รวมๆ แล้วแค่ยี่สิบกว่าคน ส่วนใหญ่ก็พวกขี้เมาทั้งนั้น จะมีสาวๆ อยู่แค่ห้าหกคนที่สนิทกัน ผมนั่งข้างไอ้โจ้มีไอ้ทศขนาบอีกข้าง และตรงข้ามอีกฝั่งของกองไฟคือไอ้คนที่จูบผมเมื่อตอนเย็น ไม่รู้ว่ามานานหรือยังแต่ผมเพิ่งจะเห็นมันตอนได้ที่นั่งเรียบร้อยแล้ว ไอ้โจ้บอกว่าวงเหล้าเคล้านักร้องขี้เมาเริ่มไปได้สักพักแล้ว มันออกมาตามผมแต่ไม่เจอเลยโทรตามแทน “น้ำร้องเพลงนี้นะ เปลี่ยนบรรยากาศนิดนึง เพลงอาจเศร้าหน่อยแต่น้ำชอบโดยส่วนตัว ห้ามมีใครบ่น อิอิ” น้ำพูด มือก็เกากีต้าร์ไปด้วยก่อนจะเริ่มร้อง เสียงน้ำใสมากครับ และยังเป็นนักร้องของมหาวิทยาลัยด้วย แต่เพลงที่น้ำร้องมันทำให้ผมถึงกับไปไม่เป็นเลยทีเดียว **ไม่ควรมีใจก็รู้ รู้ดีแก่ใจก็ยังทำ ก็เลยต้องเจ็บซ้ำๆ ไม่รู้จะทำอย่างไร ยิ่งรักยิ่งทำให้ฉันนั้นยิ่งปวดใจ เพราะมองทางไหนไม่เห็นอนาคตเลย ฉันเกลียดตัวเองที่เผลอใจ ไม่รู้ทำไมต้องรักเธอ เกลียดที่ต้องเจอ เกลียดที่มีเธอเต็มหัวใจ พยายามเพียงใดใจฉันก็ยังรักเธอไม่เปลี่ยนไ­ปไหน เกลียดความรู้สึกที่ต้องทำใจ ให้ลืมเธอไปทั้งๆ ที่ยังห่วงใย มันมองทางไปไม่เห็น หนทางที่เดินช่างมืดมน ไม่เคยจะมีสักหน ที่ฟ้าจะดูเป็นใจ ยิ่งรักยิ่งทำให้ฉันนั้นยิ่งปวดใจมากมายเห­ลือเกิน เพราะมองทางไหนไม่เห็นอนาคตเลย ฉันเกลียดตัวเองที่เผลอใจ ไม่รู้ทำไมต้องรักเธอ เกลียดที่ต้องเจอ เกลียดที่มีเธอเต็มหัวใจ พยายามเพียงใดใจฉันก็ยังรักเธอไม่เปลี่ยนไ­ปไหน เกลียดความรู้สึกที่ต้องทำใจ ให้ลืมเธอไปทั้งๆ ที่ยังห่วงใย ฉันเกลียดตัวเองที่เผลอใจ ไม่รู้ทำไมต้องรักเธอ เกลียดที่ต้องเจอ เกลียดที่มีเธอเต็มหัวใจ พยายามเพียงใดใจฉันก็ยังรักเธอไม่เปลี่ยนไ­ปไหน เกลียดความรู้สึกที่ต้องทำใจ ให้ลืมเธอไปทั้งๆ ที่ยังห่วงใย เกลียดความรู้สึกที่ต้องทำใจ ให้ลืมเธอไปทั้งๆ ที่ยังห่วงใย **เพลงประกอบละคร ไฟรักเพลิงแค้น เกลียด-โบว์ลิ่ง มานิดา เรืองศรี ไม่ใช่นิ่งเพราะเสียงใสๆ ของน้ำ ไม่ใช่นิ่งเพราะชอบเพลงนี้ ไม่เคยฟังมาก่อนด้วยซ้ำ แต่ที่นิ่งเพียงเพราะเนื้อเพลงท่อนนั้นท่อนเดียว เผลอใจเหรอ รักเหรอ มันคืออะไรกันแน่ที่ตีกันให้วุ่นในหัว อะไรที่ทำให้วูบไหวในอก ไม่รู้ว่าผมคิดไปเองหรือเปล่าว่ามันก็มองผมอยู่เหมือนกันเมื่อได้ฟังเนื้อเพลงท่อนนั้น หรือไม่ผมก็คงใกล้บ้าแล้ว เพลงจบไปแล้วเรียกเสียงปรบมือได้รอบวงเลยทีเดียว น้ำยังคงร้องต่อไปอีกสองสามเพลงก่อนส่งไม้ผลัดให้คนอื่นร้องต่อ แต่ละคนเริ่มมีอาการของคนเมาปรากฏกันให้เห็น อย่างเช่นไอ้สองคนที่นั่งขนาบข้างผมที่เริ่มกิ่งเอาไม้ที่ไม่รู้ไปหามาจากไหนมาเคาะขวดเคาะแก้วให้เป็นจังหวะ ปากก็ตะโกนร้องเพลงมั่วไปเรื่อย บางคนเริ่มออกสเตปส์ที่ไม่ค่อยจะน่ามองเท่าไหร่ในสายตาผม ยังมีแค่ผมที่ยังไม่แม้แต่จะแตะเหล้าสักหยด “เป็นไรวะ ปวดขี้หรือไง นั่งทำหน้าเหมือนขี้ไม่ออก” ไอ้ต้นหันมาถามผมด้วยเสียงยานคาง คงจะเมาไปแล้ว “เปล่า” ผมปฏิเสธแล้วหันไปมองพวกที่กำลังเต้นต่อ “เปล่าอะไร คิ้วมึงอ่ะจะผูกโบว์กันอยู่แล้ว ไหนดูดิ๊” ไอ้ต้นยังไม่เลิกสงสัยแถมจับหน้าผมให้หันไปทางมันก่อนเอานิ้วชี้จิ้มๆ ลงบนระหว่างคิ้ว “เออๆ งั้นกูไปห้องน้ำก่อน” ผมตัดบทมัน เพราะมัวแต่คิดเรื่องเมื่อตอนเย็นวนไปวนมาจนเริ่มรู้สึกทนไม่ไหว เลยเดินออกจากวงเหล้าจะไปล้างหน้าล้างตาสักหน่อย เผื่อสมองจะได้ปลอดโปร่งขึ้นมาบ้าง “ไหนบอกไม่ปวดขี้ไงวะ ไอ้นี่นิท่าจะบ้า” เสียงไอ้ต้นยังลอยตามหลังมา ผมเดินผ่านห้องนั่งเล่นเห็นมีบางคนนอนกลิ้งอยู่ตรงนั้นสามสี่คน เดินไปหยิบผ้าขนหนูของตัวเองที่ตากไว้หลังบ้านก่อนเดินมาถึงห้องน้ำชั้นล่าง เข้าไปล้างหน้าล้างตาเสร็จ สำรวจตัวเองในกระจกจนได้รู้ว่าปากตัวเองเจ่อหน่อยๆ แต่ดีที่ไม่มีใครทักอะไร เผลอยกมือขึ้นลูบไล้เบาๆ รู้สึกได้ว่าหน้าร้อนผ่าวเหมือนกำลังจะไหม้ “เฮ้ย มึง” ผมตกใจเมื่อประตูห้องน้ำเปิดออก นี่ผมสะเพร่าจนลืมล็อคประตูเลยเหรอ ดีที่แค่ล้างหน้าไม่อย่างนั้นคงได้อายแทบแทรกแผ่นดินหนี “อ้าว คิดว่าไม่มีคน เสร็จแล้วเหรอ แล้วทำไมไม่ล็อคประตู” ธีร์ถามเป็นชุดมือยังจับลูกบิดไว้แต่ไม่ยอมออกไปสักที “แล้วมึงเข้ามาทำไม” หลังจากตกใจจนหาเสียงตัวเองเจอผมก็โวยมันกลับ “ลืมไอ้นั่นไว้ จะมาเอา” มันชี้ไปที่ที่โกนหนวดก่อนจะเดินเข้าไปหยิบมาถือไว้ “คิดอะไรอยู่ คิดเรื่องเมื่อตอนเย็นอยู่เหรอ” ธีร์ถามออกมาจนผมต้องหันหน้าไปมองแต่ไม่ได้พูดอะไรออกไป “โกรธหรือเปล่า” น้ำเสียงมันอ่อนลงจนผมรู้สึกได้ แต่ผมยังเงียบและเตรียมหันหลังเดินออกไปจากตรงนั้นแต่มันไวกว่าจับแขนผมไว้ “ตอบก่อน” ธีร์ยังไม่ปล่อยแขนผม จะให้ตอบว่าอะไรหล่ะ ไม่ได้โกรธ แต่ชอบที่มึงจูบน่ะเหรอ เฮ้อ แค่คิดก็หน้าเห่อร้อนไปหมดแว “เอ่อ...คือ” เสียงผมหายอีกแล้ว ธีร์ทำหน้าอยากรู้มากขึ้น “มึง....จูบกูอีกทีได้ไหม” ผมกลั้นใจบอกออกไป ลองอีกทีเผื่อจะรู้ใจตัวเองมากขึ้น แต่ดูเหมือนไอ้คนตรงหน้าจะตกใจ ตกตะลึงในความกล้าไร้ยางอายของผมยืนนิ่งเป็นหินไปแล้ว เอาวะ เป็นไงเป็นกันก่อนผมจะยื่นหน้าเข้าไปจูบมันเองซะเลย แค่ปากชนปาก ไม่กล้าล้ำลึก ไม่กล้าขยับไปมากกว่านี้จนถอนปากออก ไอ้คนตรงหน้าก็ยังนิ่ง นั่นยิ่งทำให้ผมอายมากขึ้นรีบสะบัดแขนออกวิ่งไปจากตรงนั้นทันที แฮ่ก แฮ่ก อีกแล้ว ผมวิ่งหนีมันมาอีกแล้วด้วยเรื่องเดิม จูบ แต่คราวนี้เป็นผมที่เริ่มก่อน รู้สึกได้ถึงหัวใจที่เต้นแรงตอนจูบมัน แต่เพราะมันนิ่งจนทำให้ผมไม่กล้าสู้หน้า ชอบมันจริงๆ หรือ ผมชอบผู้ชายหรือ เหมือนจะรู้ใจตัวเองแต่ไม่กล้ายอมรับความจริง กลัวคนอื่นรู้ กลัวที่บ้านรับไม่ได้ กลัวโดนรังเกียจ กลัวผิดหวัง กลัวไปหมด สายลมริมหาดห่างจากวงเหล้าทำให้ผมรู้สึกผ่อนคลายขึ้นมานิดหน่อย ผมเหมือนคนขี้ขลาดที่ไม่ยอมรับความจริงของหัวใจตัวเองสักที ทำไมนะแค่ยอมรับไปว่าชอบ แค่ยอมรับกับตัวเองมันถึงได้ยากเย็นขนาดนี้ ผมเดินเตร่เตะทรายไปเรื่อยจนรู้สึกว่ามีคนวิ่งมาดักหน้า “แฮ่ก หนีมาทำไม” คนตรงหน้าถามผมก่อนจะรีบโกยอากาศเข้าปอด คนที่ผมเพิ่งจะจูบไป คนที่ผมยอมรับในใจว่าชอบมันไปแล้วกำลังยืนหอบอยู่ตรงหน้าผม “ยังไม่ตอบเลยว่าหนีมาทำไม” มันยังถามคำถามเดิม “แล้วจะให้อยู่ทำไมล่ะ” ผมถามกลับ ใช่ จะให้อยู่ต่อทำไมล่ะ อายก็อาย ธีร์เงียบ ยืนจ้องหน้าผมไม่วางตา “โกรธหรือที่กูเอ่อ...จูบมึง” กระดากปากตัวเองพิลึกที่ต้องพูดอะไรแบบนี้ “หึหึ แบบนั้นเขาไม่เรียกจูบหรอกนะ แบบนี้ต่างหาก” พูดจบมันก็ฉกวูบลงบนริมฝีปากบางของผมที่ไร้การต่อต้านใดๆ ทั้งสิ้น ลิ้นร้อนไล้เลียไปตามกลีบปากก่อนซอกซอนเข้าไปในโพรงปากเกาะเกี่ยวลิ้นของผมให้เกี่ยวพันไปตามๆ กัน มือหนายกขึ้นตรึงท้ายทอยของผมให้รับจูบได้ถนัดยิ่งขึ้น จูบเรียกร้องให้ผมต้องตอบสนองไปโดยไม่รู้ตัว ไม่ได้เร่าร้อนเหมือนตอนเย็น แต่นุ่มนวลจนตัวผมเหมือนลอยได้ เคลิบเคลิ้มไปกับรสสัมผัสที่อีกฝ่ายมอบให้ก่อนจะผละออกให้ผมได้โกยอากาศเข้าปอด “พอก่อนเดี๋ยวอดใจไม่ไหว” ธีร์กระซิบชิดริมฝีปาก กดจูบลงมาแผ่วเบาสองสามครั้งก่อนวนไปจูบตรงหน้าผากผมแล้วกอดผมไว้ “ทีนี้รู้ใจตัวเองหรือยัง หืม” ธีร์ถามทั้งที่ยังกอดผมแน่น มือก็คอยลูบหลังลูบไหล่ผมไปมาเหมือนปลอบประโลม “รู้ด้วยหรือว่าคิดอะไรอยู่” ผมถาม และไม่ได้ขัดขืนแต่อย่างใดที่โดนกอดแต่กลับยกมือขึ้นกอดตอบด้วยซ้ำ “รู้สิ คิ้วจะผูกโบว์ได้แล้ว ทีนี้ก็เหลือแค่บอกความจริงมาเท่านั้น” ธีร์ผละอ้อมกอดออก จิ้มนิ้วตรงระหว่างคิ้วผม “ความจริงอะไร” ผมถาม “ความจริงจากใจ ธีร์ชอบแยมนะ” อึ้งกับคำสารภาพที่ไม่มีปีมีขลุ่ยของคนตรงหน้า “ทีนี้จะบอกได้หรือยังว่ารู้สึกอย่างไรกับธีร์” มันถาม แต่ผมยังนิ่ง เขินจนทำอะไรไม่ถูก คาดว่าหน้าคงจะแดงมากแน่นอน “เอาเถอะ ไว้ค่อยบอกก็ได้” ก่อนมันจะดึงผมเข้าไปกอด “ขอเวลาหน่อยนะ” ผมบอกออกไปหลังจากที่หาเสียงตัวเองเจอและกอดตอบมันไป ไม่ใช่ว่าไม่อยากบอกว่าชอบ แต่ขอเวลาอีกนิดเพื่อทำใจสักหน่อย ขอรวบรวมความกล้าอีกหน่อยละกัน “หึหึ พร้อมเมื่อไหร่ก็บอกด้วยละกัน ไม่ไปไหนหรอก” แค่กอดจริงๆ กอดที่เหมือนกำลังถ่ายทอดความรู้สึกของกันและกันให้อีกฝ่ายได้รับรู้ เรายืนกอดกันจนธีร์ไล่ให้ผมไปนอนเพราะดึกแล้ว พรุ่งนี้ต้องตื่นเดินทางกลับแต่เช้า ส่วนพวกวงเหล้านั้นกระจายตัวกันไปนอนตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ พอผมเดินกลับจากชายหาดทุกคนก็แยกย้ายกันหมดแล้ว แม้ความสัมพันธ์จะยังไม่ชัดเจน แต่อย่างน้อยผมก็ยอมรับใจตัวเองได้แล้วว่าชอบไอ้บ้าหน้าโหดนั่น แม้จะยังไม่บอกออกไปก็ตาม แต่คงไม่นานที่ผมจะมีความกล้าสารภาพออกไป
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD