วันนี้ผมมีเรียนภาษาญี่ปุ่นตอนเช้า ก็สนุกดีนะ ที่จริงตอนแรกก็ไม่ได้อยากลงเรียนวิชานี้หรอก แต่โดนไอ้โจ้ลากไปเรียนเป็นเพื่อน มันบอกว่าไม่มีเพื่อนเรียนผมเลยสงสาร ที่ไหนได้เข้าห้องวันแรกนั่งกันอยู่เกือบครบแก๊ง ผมก็เลยตามเลย จนตอนนี้ชอบวิชานี้ซะแล้ว อ่า...ลืมบอก ผมเรียนเสคเดียวกะไอ้หน้าโหดด้วย
ตั้งแต่เมื่อคืนที่มันส่งข้อความมาบอกว่าฝันดีและผมก็ตอบกลับไป จนถึงตอนนี้ผมยังไม่ได้คุยอะไรกับมันเลย ผมไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นตรงไหน แล้วไม่รู้ว่าตัวผมเองรู้สึกอย่างเดียวกันกับที่มันสารภาพกับผมที่ริมทะเลนั้นหรือเปล่า มันสับสน ลังเล และกลัว
มาเรียนแบบลอยๆ เพราะเมื่อคืนนอนคิดถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมาจนนอนไม่หลับ แล้วเมื่อตอนเย็นผมก็ดันไปจูบธีร์ต่อหน้าไอ้น้องเฟิร์สและเพื่อนๆ ผมอีก ยิ่งทำเอาผมคิดหนักเลยทีนี้ แต่ดีหน่อยที่เพื่อนๆ ผมมันไม่ได้แซวให้อาย
“ไงมึงไอ้ประธาน จูบโชว์หวานพวกกูเลยนะเมื่อวาน” ผมหันไปมองหน้าไอ้คนถูกทักทันที มันก็หันมามองผมแต่ไม่ได้พูดตอบโต้อะไรออกมา
“อิจฉาล่ะสิมึง” ไอ้โจ้ตอกกลับให้ แต่สายตาผมยังมองธีร์อยู่
“เออสิ กูไม่มีให้หวานใส่นี่” ไอ้ต้นว่าพร้อมทำหน้าเศร้าประกอบ
“ตอแหลนะมึง เมื่อวานตอนเย็นชะนีที่ไหนดอดมาหามึงถึงห้องยะถามหน่อย” มิลล์พูดขึ้นจนไอ้ต้นหันไปกัดกันกับมิลล์เสียนานจนอาจารย์เข้ามาสอนทั้งคู่จึงได้แยกย้ายกลับไปนั่งที่เพื่อเริ่มเรียน
ระหว่างที่อาจารย์สอนไปผมก็แอบหันไปมองธีร์เรื่อยๆ วันนี้มันดูแปลก ทุกครั้งมันจะตั้งใจเรียน ตั้งใจจดเนื้อหาที่อาจารย์สอน แต่วันนี้มันดูเหม่อ ไม่ค่อยสนใจที่จะเรียนเท่าไหร่ ผมไม่เห็นมันจดอะไรเลยทั้งคาบ จนไอ้ต้นสะกิดเรียกให้มันจดหัวข้องานที่อาจารย์สั่ง มันก็สะดุ้งนิดหน่อยนั่นทำให้ผมมั่นใจได้ว่ามันนั่งเหม่อ
“เป็นไรวะ นั่งเหม่ออยู่ได้” ผมได้ยินไอ้ต้นถามหลังจากอาจารย์ออกจากห้องไปแล้ว ผมจึงหันไปดูมันอีกที
“เปล่า” มันปฏิเสธแล้วหันมามองผม
“เหรอออออ” ไอ้ต้นกับไอ้โจ้พร้อมใจกันลากเสียงยาวใส่มัน ส่วนผมก็แค่ยิ้มให้
“ไปๆ กินข้าว เดี๋ยวต้องกลับมาประชุมอีก” ไอ้โจ้ชวนทุกคนก่อนนำทัพออกไปจากห้องคนแรก พวกผมที่เหลือก็ทยอยกันออกไป
ร้านข้าวแกงหลังมหาวิทยาลัยคือที่หมายของพวกผม พอถึงร้านก็จับจองที่นั่งก่อนลุกไปสั่งเมนูที่ต้องการให้แม่ค้า วันนี้ลูกค้าไม่ค่อยเยอะเท่าไหร่เพราะยังไม่เที่ยงดี พวกผมเลยมีที่นั่งกันครบคน
“เดี๋ยวแยมกลับหอไงอ่ะ ไอ้โจ้เข้าประชุมนี่” ไอ้ต้นถามผมหลังจากไปสั่งกับข้าวกลับมา
“เอารถมา กินเสร็จก็กลับห้องเลย” ผมตอบ วันนี้ผมแยกกันมากับไอ้โจ้เพราะตอนบ่ายมันต้องเข้าประชุมสโมฯ นานๆ ผมจะขับรถมาเรียนเองสักที ปกติติดรถไอ้โจ้มาตลอดจนรถผมจะเอาไปปลูกสะระแหน่ได้แล้ว วันนี้ฤกษ์งามยามดีเอาออกมาขับสักหน่อย
หลังจากนั่งรอไม่นานอาหารก็มาเสิร์ฟ พวกผมก็กินไปคุยไป มีแต่ผมกับธีร์ที่ยังไม่มีใครเปิดปากด้วยกันทั้งคู่ จนกินเสร็จพวกมันก็เดินมาส่งผมที่รถส่วนไอ้ต้นขอแยกไปปริ้นงาน
ผมขับรถออกมาจากมหาวิทยาลัยแวะซื้อของใช้ ของกินนิดหน่อยที่มินิมาร์ทระหว่างทางก่อนจะมุ่งหน้ากลับคอนโด กะว่าถึงคอนโดแล้วจะงีบหลับสักพัก เริ่มรู้สึกเบลอๆ เพราะเมื่อคืนนอนไม่หลับ ถึงห้องปุ๊บผมก็เอาของที่เพิ่งซื้อมาไปเก็บในตู้เย็นก่อนไปอาบน้ำให้สบายตัวถึงจะไปนอน อาบน้ำเสร็จผมก็กระโดดขึ้นเตียงเตรียมตัวนอน เสียงโทรศัพท์มือถือของผมก็ดังขึ้น
“สวัสดีครับแม่ แยมคิดถึงแม่ที่สุดเลย” แม่ผมโทรมาเองครับ เลยอ้อนหน่อย
(แม่ก็คิดถึงแยม เป็นไงบ้างลูก สบายดีหรือเปล่า) เสียงแม่ผมตอบกลับมาตามสาย
“สบายดีครับ แม่กับพ่อล่ะครับเป็นไงบ้าง”
(แม่กับพ่อสบายดี นี่พ่อก็บ่นๆ อยู่ว่าเมื่อไหร่แยมจะกลับบ้าน พ่อเขาคิดถึง)
“รอปิดเทอมแหละครับแม่ อีกสองเดือนกว่าๆ น่ะ บอกพ่อว่าแยมจะกลับไปอยู่ด้วยให้หายคิดถึงเลย อิอิ”
(จ้า เดี่ยวแม่บอกให้ อ้อ แล้วลูกโจ้สบายดีมั๊ยลูก) แม่ผมกับไอ้โจ้เขาถูกชะตากันครับ
“สบายดีครับ ไม่ต้องห่วง” หลังจากนั้นผมก็คุยกับแม่อีกนิดหน่อยก่อนวางสาย ผมดูนาฬิกาตอนนี้ก็บ่ายสองแล้วเลยหยิบนาฬิกาปลุกมาตั้งปลุกไว้สี่โมงเย็นก่อนวางไว้ตรงหัวเตียงแล้วผมก็เคลิ้มหลับไป
ไม่รู้ว่าผมหลับไปนานแค่ไหนแล้ว ตกใจตื่นเพราะเสียงโทรศัพท์มือถือผมดัง หยิบขึ้นมาดูปรากฏว่าเป็นไอ้โจ้โทรมา
“ว่าไงโจ้” เสียงผมยังงัวเงียอยู่นิดหน่อย
(แยมมึงอยู่ไหน) เสียงไอ้โจ้ดังมาตามสาย แต่ทำไมผมรู้สึกว่าเสียงมันดูร้อนรนพิกล
“อยู่ห้อง มีไรเปล่า” ผมบอกไป
(คือ มึงฟังกูนะ ทำใจดีดี) เสียงไอ้โจ้ฟังดูแปล่งๆ ทำเอาผมใจเสีย
“อะไรไอ้โจ้” ผมรีบถามกลับ เริ่มกลัวในคำตอบ
(ไอ้ธีร์ถูกรถชน ตอนนี้อยู่โรงพยาบาลxxx มึงรออยู่นั่นนะ ไม่ต้องขับรถมา กูให้ไอ้กิจไปรับแล้ว) สมองผมหยุดสั่งการตั้งแต่ได้ยินว่าไอ้ธีร์ถูกรถชนแล้ว ทำไม เกิดอะไรขึ้น ทำไมต้องเป็นมัน
(แยม แยม ไอ้แยม มึงได้ยินกูมั๊ย) ไอ้โจ้ตะโกนมาตามสายเมื่อเห็นผมเงียบไป
“ไอ้ธีร์” หลังจากหาเสียงตัวเองเจอผมก็พูดได้แค่นั้น
(แยม มึงฟังกูนะ กูให้ไอ้กิจไปรับมึงแล้ว คงใกล้ถึงแล้วแหละ มึงไม่ต้องขับรถมานะ) ไอ้โจ้ย้ำผมอีกครั้ง
“เดี๋ยวกูลงไปรอข้างล่าง” ผมกดตัดสายก่อนรีบล้างหน้าแบบลวกๆ แล้วรีบเปลี่ยนชุดลงไปรอไอ้กิจหน้าคอนโด
ไอ้กิจขับรถมาจอดหน้าคอนโดหลังจากที่ผมลงมารอได้ไม่นาน ผมรีบวิ่งไปขึ้นรถ ไอ้มินมาด้วยก่อนพวกผมจะรีบมุ่งหน้าไปโรงพยาบาล ไอ้มินนั่งปลอบผมไปตลอดทาง คงเห็นสีหน้าผมไม่ค่อยดี
“แยม มึงอย่าคิดมานะเว้ย คนอย่างไอ้ธีร์ไม่เป็นอะไรง่ายๆ หรอก” ไอ้มินพูดขึ้นทำลายความเงียบ
“นั่นสิ คนอย่างไอ้ธีร์สิบล้อทับยังไม่ตายเลย” ไอ้กิจเอาด้วย แต่คำปลอบมันฟังดูแปลกๆ นะ ไอ้มินหันไปตีไอ้กิจที่พูดอะไรไม่ดูสถานการณ์ จนไอ้กิจหันมาขอโทษ ผมก็ไม่ได้ว่าอะไรเพราะตอนนี้ผมรู้สึกเหมือนมีอะไรมาทับหน้าอกจนจุก พูดอะไรไม่ออก สมองไร้การตอบสนองไปชั่วคราว ผมหวังเพียงแต่ว่ารีบไปให้ถึงโรงพยาบาลเร็วๆ ไปดูให้แน่ใจว่าที่ไอ้โจ้โทรมาบอกเป็นเพียงเรื่องโกหก ผมแค่กำลังฝันไปเท่านั้น
เมื่อใกล้ถึงโรงพยาบาลผมรีบต่อสายโทรหาไอ้โจ้แต่ก็โทรไม่ติด ผมเลยรีบวิ่งตรงไปยังห้องฉุกเฉิน ไอ้กิจกับไอ้มินก็วิ่งตามมา จนมาถึงหน้าห้องฉุกเฉิน มีพยาบาลสาวคนนึงกำลังจะเดินเข้าไปภายในห้องฉุกเฉินผมจึงรีบวิ่งเข้าไปขวางเธอไว้
“คุณพยาบาลครับ แฮ่ก เพื่อนผม คนที่ถูกรถชนเป็นอย่างไรบ้างครับ” ผมถามเธอไปทั้งที่ตัวเองก็หอบจนตัวโยน
“คุณเป็นญาติคนไข้ใช่ไหมคะ ตอนนี้คุณหมอกำลังช่วยอยู่ค่ะ ดิฉันขอตัวก่อนนะคะ” พยาบาลสาวตอบคำถามผมก่อนรีบเข้าห้องฉุกเฉินไปทำหน้าที่ของตนเอง ส่วนผมยังยืนคว้างอยู่หน้าห้องจนไอ้มินมาพาผมไปนั่งรอตรงเก้าอี้หน้าห้อง
“ไอ้ธีร์ ทำไมต้องเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นด้วย” ผมพูดกับตัวเอง รู้สึกร้อนในหน่อยตาก่อนที่น้ำใสๆ จะไหลออกมาอาบแก้มทั้งสองข้าง ผมร้องไห้อยู่เงียบๆ ไม่มีเสียงสะอื้น ผมพยายามเช็ดมันออกแต่มันก็ยังคงไหลไม่หยุด
“แยม” ไอ้มินเรียกผมแต่ไม่ได้พูดอะไรต่อ มันแค่วางมือไว้บนบ่าผมก่อนตบเบาๆ สองสามทีอย่างให้กำลังใจ ส่วนไอ้กิจเดินวนไปวนมาอยู่ข้างๆ
“แยม หมอออกมาแล้ว” ไอ้กิจเรียกผมเมื่อเห็นหมออกมาจากห้องฉุกเฉิน ผมเลยรีบเช็ดน้ำตารีบลุกไปถาม
“คุณหมอครับ เพื่อนผมที่ถูกรถชนเป็นอย่างไรบ้างครับ” ผมกลั้นใจถามออกไป หมอหันมาทางผม
“คุณเป็นญาติคนไข้หรือครับ” หมอถามผม ผมจึงตอบรับ
“หมอช่วยเต็มที่แล้ว แต่คนไข้เสียชีวิตก่อนมาถึงมือหมอแล้วครับ หมอเสียใจด้วยนะครับ” หมอก้มหัวให้พวกผมก่อนเดินจากไป แต่ผมเหมือนโดนตีหัวด้วยไม้หน้าสาม หัวใจกระตุกวูบเหมือนมันจะหยุดเต้น
“ธีร์ ทำไม” ผมเข่าทรุดอยู่ตรงนั้นจนไอ้กิจต้องเข้ามาช่วยจับ น้ำตาผมไหลไม่หยุด ได้แต่พูดเรียกชื่อไอ้โหดนั่นซ้ำไปซ้ำมาเหมือนคนเสียสติ ไอ้มินเข้ามาลูบหลังลูบไหล่ปลอบผม แต่มันไม่ได้ช่วยให้ผมรู้สึกดีขึ้นมาเลย
ผมยังติดค้างธีร์อยู่เรื่องนึง ยังไม่ได้บอก ยังไม่ได้สารภาพให้มันรู้ แต่ตอนนี้มันไม่รออยู่ฟังคำนั้นจากผม
ผมยังติดค้าง คำสารภาพรักกับธีร์
ทุกอย่างผิดคาดหมด เป็นเพราะผมยืดเยื้อขอเวลา มัวแต่กลัวโน่นกลัวนี่ จนมันสายเกินไป สายเกินไปจริงๆ ที่ผมจะยอมรับความจริงในใจว่าผมรักธีร์
"ทำไมไม่รอ ทิ้งกูทำไม ฮือ"
ประตูห้องฉุกเฉินเปิดออก บุรุษพยาบาลกำลังเข็นรถนอนออกมา บนเตียงมีร่างกายแต่ไร้วิญญาณร่างนึงนอนสงบนิ่งอยู่ ผมเดินเข้าไปหาใกล้ๆ ไม่กล้าเปิดผ้าคลุมหน้าออก กลัวเหลือเกิน กลัวหัวใจตัวเองจะทนยืนอยู่ตรงนั้นไม่ได้ บีบคั้นหัวใจจนเจ็บในอก เอื้อมไปจับมือที่โผล่พ้นออกมาจากผ้าคลุมด้วยมือที่สั่นเทา
"ทิ้งกูทำไม ฮึก มึงกล้าทิ้งกู ไหนบอกจะไม่ไปไหนไง ฮือ" ผมสะอื้นน้ำตาไหลพราก บุรุษพยาบาลยังรอให้ผมได้รำพันต่อไป
"คำตอบของของกู ทำไมมึงไม่รอฟังตอบกูก่อน" เสียงผมเริ่มสั่่นและแผ่วลง จนผมต้องรวบรวมกำลังที่เหลืออยู่เพื่อจะพูดประโยคนั้นออกมา แม้มันจะสายไปแล้วก็ตาม
"กูรักมึงนะธีร์ แยมรักธีร์นะ ได้ยินไหม" ผมทรุดลงตรงนั้นอย่างคนหมดแรง
"ที่พูด จริงเหรอเปล่า"
"จริงสิ แยมรักธีร์ ฮือ" ผมยังคงพูดไปร้องไห้ไป
"ดีใจที่สุดที่ได้ยิน" เสียงใคร ฟังคุ้นหู ผมหันกลับไปมอง แทบช็อค
"ธีร์ อะไร ฝันเหรอ" ผมพูดเหมือนคนละเมอ ตาฝาดหรือเห็นภาพซ้อน ผมหันกลับมามองที่เตียงอีกครั้งก่อนเอื้อมมือไปเปิดผ้าคลุมหน้าออก
"ไม่ใช่ ไม่ใช่จริงๆ ด้วย" ผมพร่ำพูดกับตัวเองก่อนลุกขึ้นยืนค่อยๆ ก้าวไปหาร่างสูงตรงหน้าช้าๆ เช็ดน้ำตาออกไป กลัวว่าถ้าก้าวไปถึงร่างตรงหน้าจะหายไป
"ตัวยังอุ่น ยังมีชีวิตอยู่ ไม่ได้หายไปไหนจริงๆ ด้วย" ผมยกมือขึ้นไปจับแก้มของคนตรงหน้าแล้วพูดออกมา คนตรงหน้ายิ้มให้ผมและจับมือผมไว้
"ธีร์" ผมพูดได้แค่นี้ก่อนโถมตัวเข้าไปกอดคนตรงหน้าไว้แน่นและโดนกอดตอบเช่นกัน ฝัน เหมือนฝันร้ายที่พอตื่นขึ้นมาก็หายไป น้ำตาของผมไหลอีกครั้ง แต่ครั้งนี้มันไหลเพราะความดีใจ ผมยิ้มกับอกของมัน โอบกอดให้แน่นที่สุดเท่าที่จะแน่นได้ ไม่กลัวอีกแล้ว ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อจากนี้ ผมจะไม่กลัวอีกแล้ว ขอแค่มีไอ้หน้าโหดคนนี้อยู่ข้างๆ ผมก็พร้อมจะเผชิญทุกเรื่องไม่ว่ายากหรือลำบากแค่ไหน หรือว่าใครจะไม่ยอมรับในตัวพวกผม ผมก็ไม่กลัวอีกแล้ว
“รักที่สุด ที่รักของธีร์” แค่นี้จริงๆ ที่ต้องการ ไอ้หน้าโหดยังอยู่กับผมไม่ไปไหน พร้อมเสียงกระซิบบอกรักข้างๆ หู
“เอ่อ...น้องครับ แล้วศพนี้ใช่ญาติน้องหรือเปล่าครับ ถ้าไม่ใช่พี่จะได้ย้ายไปห้องเก็บศพ” พี่บุรุษพยาบาลถามขึ้น
“ขอโทษครับพี่พวกผมเข้าใจผิดครับ ขอโทษจริงๆ ครับ” ไอ้กิจพูดขึ้นพร้อมกับก้มหัวขอโทษพี่บุรุษพยาบาล พวกผมทั้งหมดจึงกล่าวขอโทษตาม แล้วก็ไม่ลืมที่จะขอขมาศพนั้นด้วย
“เออ ไม่ใช่ก็ดีแล้ว ดูแลกันดีดีล่ะ อย่าเที่ยวซิ่งไปชนเขาเหมือนศพนี้” พี่บุรุษพยาบาลพูดพร้อมกับยกผ้าคลุมหน้าศพไว้ตามเดิมแล้วเข็ญออกไป
“ดีใจด้วยนะไอ้น้อง” ก่อนไปพี่บุรุษพยาบาลหันมาบอกธีร์พร้อมกับตบไหล่เบาๆ ไอ้หน้าโหดก็ยิ้มรับแล้วหันมาโอบไหล่ผมไว้
“ไอ้เวร ทำกูตกใจหมด” พอพ้นพี่บุรุษพยาบาล ไอ้กิจก็เริ่มโวยวาย จนพวกผมต้องลากมันไปยังร้านกาแฟด้านล่างของโรงพยาบาล
“เล่ามาให้หมดเลยมึง เกิดอะไรขึ้น ใครชนมึง จับตัวได้ไหม แล้วนี่ไอ้เชี่ยโจ้หายหัวไปไหนเนี่ย กูจะโบกหัวมันหน่อยโทษฐานทำกูเสียขวัญ” ถึงร้านกาแฟปุ๊บ ไอ้กิจก็เริ่มโวยวายปั๊บ พวกผมได้แต่นั่งอมยิ้ม ไม่ใช่ไม่อยากรู้นะ แต่ถามไม่ทันไอ้กิจมัน
“มึงจะเอาคำถามไหนก่อน กูจะได้ตอบถูก” ธีร์บอกยิ้มๆ
“ตอบกูมาทั้งหมดนั่นแหละ อย่าโอ้เอ้ตอบมา” ไอ้กิจเร่ง
“กูโดนรถเฉี่ยว พอดีหลบทันแต่ไม่พ้น หัวฟาดฟุตบาทนิดหน่อย ได้สำลีแปะหัวมาเนี่ย ส่วนไอ้คนชนขับหนีไปซะก่อน” ธีร์ว่าพร้อมชี้ไปที่หน้าผากตัวเอง เอ่อ...ผมเพิ่งเห็นว่าหัวมันแตกมีผ้าก็อตแปะอยู่
“แล้วมึงไปทำอีท่าไหนให้มันเฉี่ยวมึงวะ” ไอ้มินถาม
“กูก็เดินข้ามถนนไปเอารถของกูอยู่ดีดี มันก็ขับตรงมาหากู ไม่เบรกด้วย กูเลยกระโดดหลบ ส่วนรถมันเสยเอาถังขยะแล้วขับหนีไป ไอ้โจ้เลยพากูมาทำแผล” ธีร์อธิบายยาว จะว่าไปผมยังไม่เห็นไอ้โจ้เลย
“แล้วนี่ไอ้เชี่ยโจ้ไปไหน โทรหากูบอกว่ามึงถูกรถชน ไม่อธิบายอะไรเลยให้กูรีบไปรับไอ้แยม” ไอ้กิจพูดพลางมองหาไอ้โจ้ ส่วนธีร์เอื้อมมือมาจับมือผมไว้ บีบมือผมเบาๆ
“มันไปจ่ายเงินกับรอเอายาให้กู โน่นไง มาแล้ว” ธีร์บุ้ยปากไปทางที่ไอ้โจ้เดินมา
ผลัวะ
“โอ๊ย ไอ้เชี่ย ตบหัวกูทำไม” ไอ้โจ้โดยไอ้กิจตบหัวหน้าแทบคว่ำติดโต๊ะเพราะไม่ทันตั้งตัว
“ข้อหาทำกูเสียขวัญไง ดีนะไอ้ธีร์ไม่เป็นอะไรมาก” ไอ้กิจบอก
“คราวหลังมึงช่วยอธิบายหน่อยนะว่าใครเป็นอะไร ไม่ใช่บอกแค่หัวเรื่องให้พวกกูจินตนาการไปเองอย่างนี้” ไอ้มินใส่ต่อ
“พวกมึงพูดอะไรกัน กูไปจ่ายเงินกับรอเอายาแป๊บเดียว กลับมาใส่กูเป็นชุดเลย” ไอ้โจ้เริ่มมึน ไม่รู้ว่ามึนเพราะเรื่องที่โดนเพื่อนสวด หรือมึนเพราะโดนตบหัวกันแน่
“ก็มึงนั่นแหละเสือกบอกว่าไอ้ธีร์โดนรถชนแต่ไม่บอกอาการพวกกู ทำเอาพวกกูเกือบหัวใจวาย โดยเฉพาะไอ้แยม” ไอ้กิจบอกก่อนหันมาทางผม
“ก็กูรีบ อธิบายให้เสียเวลาทำไม แล้วอีกอย่างมันก็แค่หัวแตกนิดหน่อยยังไม่ได้ตาย” ไอ้โจ้อธิบายพร้อมชี้ไปที่หัวธีร์
“นี่พวกมึงคิดว่ามันตาย?” ไอ้โจ้ถามต่อ
“ใช่” พร้อมเพรียงครับ ไม่เว้นแม้แต่ไอ้หน้าโหด
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า มันจะตายได้ไงวะ ไอ้นี่มันทนสิบล้อชนยังไม่ตายเลย ฮ่า ฮ่า ฮ่า” ไอ้โจ้พูดไปหัวเราะจนตัวงอ พวกผมมองมันอยากจะตบหัวมันอีกรอบ
ผลัวะ
ไม่ทันแล้วครับ ไอ้มินจัดไปหนึ่งดอก
“ไอ้เชี่ย หัวกูแทบหลุด” ไอ้โจ้เงยหน้ามาโวย มือก็ลูบหัวตัวเองป้อยๆ
“สมน้ำหน้า” ผมเองครับ หลังจากที่เงียบมานาน
“แยมตาแดงเชียวนะมึง อย่าบอกนะว่ามึงร้องไห้เพราะคิดว่ามันตาย” ไอ้โจ้หันมาถามผม แต่หน้ามันกวนมากน่าโดนตบอีกที
“เพราะมึงคนเดียวเลย ไม่ต้องมาถามมาก” อายสิครับ รู้สึกหน้าร้อนๆ เหมือนจะไหม้ ดันปล่อยไก่ทั้งเล้าเลยนี่ครับ
“ขำว่ะ ไงไอ้ประธานเกือบตายแล้วนะมึง ฮ่า ฮ่า ฮ่า” ไอ้โจ้ยังหัวเราะต่อ ธีร์หันมามองผมยิ้มๆ ก่อนจับมือผมชูให้ไอ้โจ้ดู เขินอีกแล้ว
“เฮ้ย อย่าบอกว่าสารภาพรักหน้าศพน่ะ เจ๋งว่ะ ฮ่า ฮ่า ฮ่า” ไอ้โจ้พูดเหมือนอยู่ในเหตุการณ์ แต่มึงจะหัวเราะต่อทำไม สงสารคนเขินหน่อยหน้าจะไหม้แล้ว
“ฉลองเว้ย อย่างนี้ต้องฉลอง” ไอ้กิจพูดขึ้น ไอ้มินกับไอ้โจ้ก็เฮตาม ธีร์นั่งยิ้มๆ ส่วนผมเขินต่อไป
นี่แหละนะที่เขาบอกว่าอย่ารอให้มันสายเกินไป ผมยังโชคดีที่คนที่ผมรักไม่ใช่คนที่นอนอยู่บนเตียงนั้น คิดแล้วก็อดใจหายไม่ได้ ถ้าเกิดว่ามันเป็นจริงขึ้นมาผมจะอยู่อย่างไร ในเมื่อหัวใจของผมไปอยู่กับมันซะแล้ว แต่ตอนนี้สิ่งเดียวที่ผมคิดคือ รักมันให้มากที่สุดก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป แค่มีมันอยู่ข้างๆ จับมือเดินไปพร้อมกัน ผมก็สุขใจแล้ว