ราชสำนักต้าหลาง
สายลมยามค่ำคืนพัดแผ่วเบา กลิ่นดอกหลวนฮวาลอยอวลทั่วตำหนักหลวนฮวา เสี่ยวอิง สาวใช้วัยสิบแปดปี นั่งพับเพียบอยู่เบื้องหน้าโต๊ะเครื่องหอม พลางใช้มือเรียวจัดเรียงกำยานให้เรียบร้อย นางเป็นเพียงสาวใช้ธรรมดา หน้าที่ของนางคือดูแลตำหนักแห่งนี้ ซึ่งเป็นที่ประทับขององค์ชายหลี่เฉิน
องค์ชายหลี่เฉิน พระโอรสลำดับที่สามของฮ่องเต้ ได้รับสมญานามว่า “มังกรเย็นชา” พระองค์สูงศักดิ์ สง่างาม ทว่ากลับมิได้เป็นที่โปรดปรานของพระบิดาดังองค์ชายพระองค์อื่น ด้วยพระมารดาสิ้นไปตั้งแต่ยังเยาว์ พระองค์จึงถูกเลี้ยงดูอย่างเย็นชา และฝึกฝนตนเองให้แข็งแกร่งในเงามืดของวังหลวง
เสี่ยวอิงรู้ดีว่าองค์ชายไม่โปรดให้ใครวุ่นวายกับพระองค์มากนัก นางจึงมักอยู่เงียบ ๆ คอยทำงานของตนเอง ไม่เคยปริปากเกินเลย
แต่ค่ำคืนนี้แตกต่างออกไป…
“เจ้าชื่ออะไร?”
เสียงทุ้มเย็นดังขึ้นจากด้านหลัง เสี่ยวอิงสะดุ้งเล็กน้อย นางรีบหมอบลงกับพื้นก่อนจะตอบเสียงแผ่วเบา “หม่อมฉันมีนามว่าเสี่ยวอิงพะยะค่ะ”
องค์ชายหลี่เฉินนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้มะเกลือ ทรงสวมอาภรณ์สีดำปักลายมังกร พาดพระพักตร์ลงกับพระหัตถ์ พลางจ้องมองนางราวกับกำลังประเมินบางสิ่ง
“เจ้าอยู่รับใช้ตำหนักข้ามานานเท่าใดแล้ว?”
“สามปีแล้วพะยะค่ะ”
“สามปีหรือ?” พระองค์เอียงพระพักตร์เล็กน้อย พระเนตรคมกริบฉายแววครุ่นคิด “เหตุใดข้าจึงไม่เคยสังเกตเห็นเจ้ามาก่อน”
เสี่ยวอิงเม้มปากแน่น หัวใจเต้นแรง มิกล้าเงยหน้าขึ้นสบพระเนตรคู่นั้น
“เพราะหม่อมฉันเป็นเพียงสาวใช้ตัวเล็ก ๆ มิอาจอยู่ในสายพระเนตรพะยะค่ะ”
คำตอบของนางเรียกเสียงหัวเราะแผ่วจากองค์ชาย เสียงหัวเราะที่ทั้งเย็นชาและลึกล้ำยากหยั่งถึง “น่าสนใจนัก…” พระองค์ทอดพระเนตรนางอย่างพินิจ ก่อนจะเอ่ยช้า ๆ
“ต่อไปนี้… เจ้าจะเป็นคนปรนนิบัติข้าโดยตรง”
ดวงตาของเสี่ยวอิงเบิกกว้าง นางมิอาจปฏิเสธ ทว่ากลับรู้สึกถึงลางสังหรณ์บางอย่าง
นางมิรู้เลยว่า ตั้งแต่ค่ำคืนนี้เป็นต้นไป… ชะตาของนางจะมิอาจเป็นของตนเองอีกต่อไป!
เสี่ยวอิงก้มหน้าต่ำ ขณะค่อย ๆ ยกสำรับน้ำชาเข้าไปยังห้องบรรทมขององค์ชายหลี่เฉิน นางยังไม่เข้าใจเหตุผลที่พระองค์เลือกให้นางมาปรนนิบัติโดยตรง แต่รู้ดีว่า ในวังหลวงแห่งนี้… คำสั่งของเจ้านายคือประกาศิต นางไม่มีสิทธิ์คัดค้าน
ภายในห้องบรรทม เงาแสงจากโคมไฟสะท้อนแผ่วเบาบนม่านผ้าหนา องค์ชายหลี่เฉินประทับนั่งอยู่ข้างโต๊ะเล็ก พระวรกายสูงสง่าแม้ยามไม่ได้ทรงเครื่องเต็มยศ นัยน์ตาคมกริบดุจพยัคฆ์ทอดมองนางอย่างไร้อารมณ์
“เข้ามาใกล้กว่านี้” พระสุรเสียงทุ้มเอ่ยเรียบ ๆ
เสี่ยวอิงก้าวเท้าช้า ๆ มาหยุดตรงหน้าโต๊ะ หัวใจเต้นระรัวขณะยกถาดน้ำชาวางลงอย่างระมัดระวัง
“เจ้าเป็นคนชงเองหรือ?”
“พะยะค่ะ”
องค์ชายทอดพระเนตรถ้วยชาแวบหนึ่ง ก่อนจะเอื้อมพระหัตถ์หยิบขึ้นจิบ พระองค์มิได้ตรัสสิ่งใดเป็นเวลานาน แต่สายพระเนตรยังคงจับจ้องที่นางราวกับกำลังสำรวจบางอย่าง
เสี่ยวอิงพยายามไม่เงยหน้าขึ้นสบพระเนตรคู่นั้น แต่เพียงแค่สัมผัสได้ถึงสายตาของพระองค์ นางก็รู้สึกร้อนผ่าวไปทั้งตัว
“เจ้ากลัวข้าหรือ?”
คำถามเรียบง่ายแต่กลับทำให้นางสะดุ้งเฮือก
“หม่อมฉัน… มิได้กลัวพะยะค่ะ” นางตอบเสียงแผ่ว แม้รู้ดีว่าพระองค์คงทรงจับสังเกตได้ว่า นางกำลังโกหก
องค์ชายคลี่ยิ้มมุมปาก “ดี หากเจ้าไม่กลัว เช่นนั้นจงตอบข้าอย่างตรงไปตรงมา”
เสี่ยวอิงเผลอกำมือแน่น รู้สึกถึงลางสังหรณ์ที่ไม่ค่อยดีนัก
“เจ้าคิดว่าข้าเป็นคนเช่นไร?”
นางเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนตัดสินใจตอบอย่างระมัดระวัง “องค์ชายทรงเฉลียวฉลาด สุขุม และ…” นางหยุดชะงัก เลือกคำให้รอบคอบยิ่งขึ้น “… ทรงสูงส่งเกินกว่าผู้ต่ำต้อยเช่นหม่อมฉันจะเอื้อมถึงพะยะค่ะ”
องค์ชายเลิกพระขนงขึ้นเล็กน้อย พลางไล้พระหัตถ์ไปตามขอบถ้วยชา
“คำตอบช่างราบเรียบ… แต่ดูเหมือนเจ้าจะยังมิได้พูดความจริงทั้งหมด” พระสุรเสียงของพระองค์เจือแววพึงพอใจบางเบา
เสี่ยวอิงเม้มปากแน่น มิกล้าเอื้อนเอ่ยสิ่งใดอีก
องค์ชายทอดพระเนตรนางครู่หนึ่ง ก่อนจะตรัสขึ้นอย่างไม่คาดคิด
“คืนนี้ เจ้าอยู่ที่นี่”
นางเงยหน้าขึ้นมองพระองค์อย่างตกใจ ดวงตากลมโตเบิกกว้าง “พะยะค่ะ?”
“ข้าให้เจ้าอยู่ดูแล ข้ายังมิได้บรรทม และยังต้องการคนอยู่ข้างกาย”
เสี่ยวอิงก้มหน้ารับคำสั่งอย่างจำใจ แม้ภายในใจจะเต้นระรัวไม่เป็นส่ำ นางมิกล้าคิดฝันไปไกลเกินกว่าสถานะของตนเอง แต่สิ่งหนึ่งที่นางรู้ได้แน่ชัดคือ… ตั้งแต่คืนนี้เป็นต้นไป ทุกย่างก้าวของนางจะมิอาจเป็นอิสระอีกแล้ว