...โซลดอนทำหน้าเซ็ง เขาเบื่อหล่อนแล้ว...
“มีธุระอะไรหรือแคนดี้”
“แหม ทักทายกันห่างเหินจังเลยนะคะโซล”
“พูดธุระของคุณมาเถอะ ผมมีงานต้องทำต่อ”
แคนดี้ไม่ตอบในทันที เมื่อหันไปจ้องมองหน้าพนักงานสาวที่หล่อนจำได้ว่า สาวน้อยคนนี้คือคนที่โซลดอนแนะนำกับเธอว่า เด็กสาวคนนี้เป็นเพียงลูกสาวคนรับใช้ แต่ทำไมวันนี้สาวน้อยคนนี้ถึงได้มาเสนอหน้าในห้องทำงานของซีอีโอหนุ่มได้
“นี่มันลูกสาวของคนใช้บ้านของคุณไม่ใช่เหรอคะโซล”
“คุณยังไม่ได้พูดธุระของคุณมาเลยนะแคนดี้ กรุณาอย่านอกเรื่อง” โซลดอนเตือนย้ำด้วยเสียงเข้มต่ำ ทำเอานางแบบสาวหน้าเสีย ภายในใจเดือดปุดๆ แต่ก็พยายามปรับสีหน้าให้เป็นปกติให้ได้มากที่สุด
“คุณพ่ออยากให้ฉันมาฝึกงานกับคุณที่นี่ค่ะโซล ท่านอยากให้ฉันลาออกจากวงการบันเทิง แล้วมาทำงานช่วยที่บริษัท”
“แล้วทำไมถึงไม่ไปฝึกงานที่บริษัทของพ่อคุณ”
“ก็ฉันอยากมาอยู่ใกล้ๆคุณนี่คะ เพราะอีกหน่อยถ้าเราแต่งงานกัน ฉันก็ต้องมาทำงานช่วยคุณที่นี่อยู่แล้ว”
“เรื่องของเรามันจบไปแล้วนะ” เขาบอกเสียงเย็น
“อะไรนะคะโซล! เรื่องของเราจบแล้ว ตอนไหนคะ เราบอกเลิกกันตั้งแต่เมื่อไหร่”
แคนดี้อึ้งจนหู้อื้อตาลายไปหมด
“ตามเงื่อนไขที่เราคบกันก่อนหน้า หากคุณมีคนอื่นหลังจากที่เราคบกัน เป็นอันจบความสัมพันธ์ทันที”
‘ไม่จริง โซลดอนรู้ได้ยังไง ว่าเธอแอบไปมีอะไรกับไซมอน ทั้งที่เรื่องนี้เธอยังไม่เคยเล่าให้ใครฟังเลยสักคน และแน่ใจว่ายังไม่มีใครดมกลิ่นได้’
“คุณเอาอะไรมาพูดคะโซล ฉันไม่มีใครเลยนะคะ นอกจากคุณคนเดียว”
“เมื่อไหร่ที่เกิดการโกหก เมื่อนั้นเราจะไม่เหลือแม้แต่ความเป็นเพื่อน”
โซลดอนพูดเสียงเย็นเช่นเดิม ยิ่งเป็นการตอกย้ำให้รู้ว่าหล่อนได้ทำพลาดไปแล้ว แต่... หล่อนจะยังไม่ยอมออกไปจากห้องนี้ง่ายๆ ถ้ายังมีเรื่องให้คาใจอยู่แบบนี้
“ไหนคุณบอกว่าสาวน้อยคนนี้เป็นแค่ลูกสาวคนใช้ แล้วทำไมแม่นี่ถึงได้มาเสนอหน้าอยู่ในห้องของคุณล่ะคะ”
โซลดอนจ้องหน้าอดีตคู่ขาด้วยประกายตาวาววับไม่ชอบใจ หล่อนจะมาจุ้นจ้านเรื่องของเขามากไปแล้ว ก่อนจะหันไปมองคนที่โดนพาดพิงถึง เอวิตามีสีหน้าเรียบสงบ ดูไม่ทุกข์ร้อนอะไรเลย หญิงสาวเหมือนหุ่นไร้ชีวิตจิตใจ ไม่รู้ว่าภายในใจของหล่อนกำลังคิดอะไรอยู่ เขาเดาไม่ออกเลยจริงๆ
ครั้นจะบอกว่าเป็นคำสั่งของบิดาเขา นางแบบสาวต้องไปฟ้องบิดาของหล่อนแน่ หรือไม่ก็อาจจะไปโวยวายกับบิดาของเขาก็ได้ เพราะสองครอบครัวสนิทสนมกันมานาน ทางเดียวที่แคนดี้จะเลิกยุ่งกับเขา คือจะต้องบอกว่าเขามีคนใหม่แล้ว และต้องมีหลักฐานด้วยหล่อนอาจจะยอมเชื่อ
จู่ๆ เจ้าของร่างสูงสมส่วนดูสง่าน่าเกรงขาม ในชุดสูทสีเทาควันบุหรี่ก็ลุกขึ้นยืนเต็มความสูง แล้วเดินเข้าไปยืนเคียงข้างพนักงานสาวฝึกหัด และเอ่ยแนะนำเอวิตาอย่างเป็นทางการว่า
“นี่คือเอวิตา เลขาส่วนตัวของผม และเธอคือแฟนใหม่ของผมด้วย”
“ไม่จริง! ฉันไม่เชื่อเด็ดขาด!” ยังไงเธอก็ไม่มีวันเชื่อ นางแบบสาวจ้องมองเอวิตาตั้งแต่หัวจรดเท้าอย่างหยามเหยียดเกลียดชัง แต่อีกฝ่ายกลับมีสีหน้าเรียบเฉย
เอวิตาแค่รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยที่โซลดอนแนะนำเธอไปแบบนั้น แต่เมื่อรู้หน้าที่ของตนเอง ว่าเธอจะต้องทำหน้าที่เป็นไม้กันสุนัขให้เขาด้วย เธอจึงยืนสงบไม่ขอออกความเห็นใดๆ แม้ว่าภายในหัวใจจะเต้นแรงผิดจังหวะอยู่บ้าง เพราะไม่คุ้นชินกับตำแหน่งใหม่ของตนเอง
‘แฟนใหม่ของโซลดอน มันไม่ได้มีความหมายอะไรหรอก นอกเสียจากการถูกอ้างให้เป็นไม้กันสุนัขก็เท่านั้น’
“แล้วทำยังไงถึงจะเชื่อ”
“คุณก็แค่เอาหล่อนมาอ้าง”
“แล้วถ้าทำแบบนี้ ยังจะไม่เชื่ออีกไหม”
จบคำซีอีโอหนุ่มมาดเข้มก็รวมร่างพนักงานสาวฝึกหัดเข้ามากอดแล้วจูบเธออย่างดูดดื่ม โดยไม่ให้เอวิตาได้ทันตั้งตัว สาวน้อยรู้สึกช็อกจนชาดิกไปหมดทั้งร่าง ยืนนิ่งอยู่ในอ้อมกอดของคนเจ้าเล่ห์ร้ายกาจเหมือนถูกสาปให้เป็นหุ่นชั่วคราว ยอมให้เขาจูบเอา จูบเอา ตามอำเภอใจเนิ่นนาน
นาทีต่อมาเอวิตาจึงได้รู้สึกร้อนวูบวาบไปทั้งหน้า ก่อนที่หัวใจจะเต้นรัวแรงราวกับดอกไม้บานถูกสายฝนกลางฤดูกระหน่ำลงมากลางช่อจนกลีบดอกสั่นสะท้าน ก้านโอนเอนไปมา จนเขาต้องโอบกอดเธอเอาแนบแน่นป้องกันร่างเล็กจะล้มลงไปกองพื้น
นางแบบสาวกำมือเข้าหากันแน่นด้วยความหึงหวง เมื่อมองโซลดอนกอดจูบผู้หญิงคนใหม่อย่างดูดดื่ม ต่อหน้าต่อตาเธอนานสองนานด้วยความเจ็บแค้นใจสุดๆ! ก่อนจะกระแทกส้นเท้าแรงๆเดินออกไปจากห้องโดยที่ผู้บริหารหนุ่มไม่จำเป็นต้องเอ่ยปากไล่สักคำ
พอลับร่างนางแบบสาวเท่านั้น โซลดอนก็ปล่อยร่างเล็กในอ้อมแขนออกแทบจะทันทีเหมือนชิงชังรังเกียจ ส่งผลให้หญิงสาวเซจนเกือบล้ม แต่เขาก็ยังมีน้ำใจไปรับร่างของเธอเอาไว้ได้ทันพอดี แล้วมองสาวน้อยอย่างล้อเลียน
“อะไรกัน โดนจูบแค่นี้ถึงกับหมดแรงเชียวรึ” หยอกเย้าด้วยรอยยิ้มมุมปาก รอดูว่าหล่อนจะตอบโต้เขายังไง