ตอนที่ ๑
ตอนที่ ๑
‘ขณะนี้ทางบริษัทXXX ได้นำพาทุกท่านเดินทางมาถึงสถานีขนส่งจังหวัดยโสธรแล้วนะคะ หากท่านใดมีสัมภาระใต้ท้องรถโปรดเตรียมตั๋วแจ้งกับเจ้าหน้าที่เพื่อขอรับกระเป๋าสัมภาระ ขอขอบคุณลูกค้าทุกท่านเป็นอย่างสูงที่ให้ความไว้วางใจให้เราได้ดูแลท่านตลอดการเดินทาง บริษัทหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะได้รับใช้ท่านในโอกาสต่อไป ขอบคุณค่ะ’
เสียงหวานดังก้องไปทั่วคันรถทำให้ภาริชที่เอนเบาะนอนมาตลอดทางกรุงเทพ-ยโสธร ด้วยรถโดยสารวีไอพีที่เพื่อนสนิทของตนนั้นได้จองตั๋วเอาไว้ให้
เขาลุกนั่งแล้วบิดขี้เกียจด้วยความเมื่อยล้าทั้งที่ไม่ได้ขับรถเองและนอนมาตลอดทางก็ไม่ได้ทำให้เขารู้สึกสบายตัว เสียงประกาศสงบลงเพียงไม่นาน
รถโดยสารคันใหญ่สีฟ้าขาวก็เข้าจอดเทียบที่ชานชาลาของขนส่งจังหวัดยโสธร เป็นครั้งแรกที่เดินทางเพียงลำพังในพื้นที่ภาคอีสาน ทั้งตื่นเต้นและดีใจที่จะได้พบเจอกับเพื่อนสนิทที่โตมาด้วยกันตั้งแต่เล็ก
ภาริชนำตั๋วไปยื่นให้กับพนักงานก่อนที่เขาจะได้รับกระเป๋าสัมภาระใบใหญ่ที่นำติดตัวมา พร้อมกับเสียงโทรศัพท์ที่ดังไม่ยอมหยุด เขาจึงเอามือที่ว่างล้วงลึกลงในกระเป๋ากางเกงยีนตัวแพง
(มึงถึงไหนแล้ว กูเลี้ยวเข้ามาในขนส่งแล้ว) เสียงของเทวาดังไล่มาตามสาย
“กูถึงแล้ว มึงอยู่ไหน” ภาริชสอดส่องสายตาของตัวเองมองหารถยนต์ของเพื่อน
สถานีขนส่งจังหวัดยโสธรไม่ได้กว้างขวางมากนัก ในเวลาเช้าตรู่เช่นนี้รถยนต์ไม่กี่คันที่จอดรอรับผู้ที่เดินทางมาไกล แสงไฟที่ตีกะพริบจากรถยนต์สี่ประตูของกระบะยกสูงสีขาว
(เห็นยังกูตีไฟใส่มึงแล้ว รีบมาเร็ว) เทวาเร่งให้เพื่อนมาขึ้นรถก่อนกดตัดสาย เพราะตรงที่จอดรถไม่สามารถจอดได้นาน
ภาริชหย่อนโทรศัพท์ลงในกระเป๋ากางเกงเช่นเดิมแล้วเร่งฝีเท้าเดินเร็วไปยังรถยนต์ที่จอดรออยู่ เขาเอากระเป๋าเดินทางวางใส่ที่ท้ายรถยนต์แล้วจึงเดินขึ้นมาบนรถของเทวา
“ไง หลับสบายไหม” คำแรกที่เทวาทักทายพร้อมกับเสียงหัวเราะ ทำให้ภาริชหัวเราะตามเช่นเดียวกัน
“ก็ไม่ได้แย่ แต่ครั้งเดียวพอ” เขาตอบกลับพร้อมเสียงหัวเราะ นั่งเครื่องสบายกว่าถ้าเป็นครั้งหน้าขอเดินทางทางอากาศดีกว่า
ด้านหน้าเขียนว่ารีสอร์ตบ้านนาบรรยากาศอยู่ติดกับทุ่งนาสมชื่อ มันสามารถดึงดูดความสนใจให้กับคนเมืองอย่างเขาได้เป็นอย่างดี
เทวานำภาริชมายังร้านข้าวต้มตอนเช้า ที่หน้าตลาดสดในเมือง ที่พักอยู่ไม่ห่างจากในเมืองมากนัก ที่นี่ไม่เหมือนกรุงเทพทุกอย่างทำให้ภาริชดูสนใจ ไม่ว่าจะเป็นภาษาหรืออาหารที่แปลกตา
“มึงไม่ต้องสนใจมาก วันนี้กูให้มึงกินอาหารสบายๆ ก่อนแล้วกัน วันหน้ากูจัดเต็มให้มึงแน่” เทวามองตามสายตาของเพื่อน
ในตลาดที่ต้องเดินผ่าน มีขายของป่าพื้นบ้านหลายอย่าง ภาริชคงไม่รู้ว่ามันคืออะไร บางอย่างหน้าตาแปลกแต่พอนำมาแปรรูปแล้วกลับอร่อยจนอยากกินอีก
“ป้าขอข้าวต้มกระดูกอ่อนสองครับ เอาน้ำเต้าหู้หวานน้อยกับปาท่องโก๋มาสองชุดด้วยครับ” เทวาสั่งอาหารอย่างกระฉับกระเฉงและคุ้นเคย
เสียงตอบรับจากเจ้าของร้านดังขึ้น เสียงผู้คนพูดคุยกันดังอยู่ไม่ขาด เพราะเป็นบริเวณตลาดสด หากไม่เป็นที่แห่งนี้เทวาก็คิดไม่ออกว่าจะพาเพื่อนไปทานอาหารเช้าร้านไหน
ที่อื่นอาจจะมีแต่ไม่รู้ว่าจะอร่อยเท่าร้านนี้หรือเปล่า ร้านอาหารอาจดูไม่เจริญตาแต่รสชาติไม่เป็นสองรองใครแน่นอน เพราะร้านข้าวต้มป้าเพ็ญเปิดมานานเป็นสิบปี
“มื้อนี้ผู้กองพาหมู่มานำ ป้าเพิ่มพิเศษให้ใส่ไข่พร้อม” ป้าเพ็ญยิ้มหวานส่งมาให้ชายหนุ่มหน้าตาดีทั้งสองคน
คนหนึ่งคมเข้ม อีกคนช่างขาวผ่องเหมือนกลับผิวไม่เคยได้ต้องแสงแดดตอนกลางวัน
“หมู่ผมหล่อแม่นบ่ครับ” เทวาเอ่ยแซวเมื่อแม่ค้าจ้องไม่ยอมหันหนี
“หล่อๆ ถ้าป้ามีลูกสาวคงสิดี” ป้าเพ็ญยิ้มกว้างอีกครั้ง ก่อนที่จะหันหลังเดินจากไป ทิ้งให้สองหนุ่มหล่อได้พูดคุยกัน
“ร้านนี้กูกินประจำ ป้าแกมีแต่ลูกชายลูกสาวไม่มี” เทวายิ้มอีกครั้ง
“คนเยอะดี คงอร่อย” ภาริชนำอาหารเข้าปากก่อนที่ศีรษะจะขยับขึ้นลงเป็นการบอกว่าอาหารร้านนี้อร่อยเหมือนอย่างที่เพื่อนแนะนำจริงๆ “เรื่องที่ให้ช่วยคงไม่มีปัญหาหรอกใช่ไหม”
“ที่ให้หาก็ไม่ติดอะไรนะ แต่มึงต้องไปคุยเองว่าจะติดปัญหาไหม วันนี้กูว่างเดี๋ยวพาไปพอดีกูพอจะรู้จักกับเจ้าของที่พอดี”
“ราคาที่ไม่ค่อยแพงมากนัก กูศึกษาดูแล้วที่ดินไม่แพงเหมือนในกรุงเทพ แต่กูหมายตาเอาไว้แล้วหวังว่าจะได้”
“งั้นไปขอพรเอาฤกษ์เอาชัยก่อนดีไหม” เขายกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดูเวลา ตอนนี้เวลาเพียงหกโมงเช้าเท่านั้น สิ่งที่ทำได้คงมีเพียงตักบาตรเช้าแล้ว
เมื่อทานอาหารเสร็จเทวาจึงเดินนำมาซื้อของเพื่อใส่บาตรพระที่เดินผ่านทาง ภาริชเองก็เริ่มปรับตัวให้กลมกลืนไปกับแวดล้อมโดยรอบ เห็นทีวันนี้เขาคงต้องซื้อเสื้อผ้าชุดใหม่หลายชุด
เพราะจากที่ดูแล้วผู้คนที่นี่แต่งตัวสบายกันเหลือเกิน เทียบกับเสื้อผ้าที่นำติดตัวมาแล้วช่างแตกต่างกันนัก
“กูนัดเจ้าของที่เอาไว้ สิบโมงตอนนี้พึ่งสองโมงเดี๋ยวกูพามึงไปแวะเที่ยวเล่นแถวๆ นี้รอเวลาก่อนแล้วกัน”
“ไปรอเลยไม่ได้เหรอ” ภาริชไม่อยากไปที่ใด ใจของเขานั้นจดจ่ออยู่กับธุระของตนเองเพียงเท่านั้น
“เขาไม่ว่างจริงๆ ไปรอก็ไม่ได้อะไร ไปทำสิ่งที่ได้อะไรดีกว่า เชื่อกูเถอะวันนี้ทำบุญแล้วคงมีแต่เรื่องดีๆ เข้ามานั่นแหละ หรือมึงอยากให้ผลบุญสูงมากขึ้นกูมีที่ให้มึงไปขอพร”
เทวาเดินตรงมาที่รถยนต์ของตนเอง เขาขับรถไปตามซอยแคบแล้วมาทะลุออกตรงลานกว้างที่เป็นสถานที่ท่องเที่ยวหรือแลนมาร์คของจังหวัดยโสธร “วิมานพญาแถน”
ภาริชเดินลงจากรถยนต์อย่างงงๆ แล้วมองสถานที่ตรงหน้าด้วยความตื่นตา นั้นมันรูปปั้นอะไร? แล้วนี่คืออะไรที่ยาวๆ เหมือนงู แต่สีสันช่างงดงามยิ่งนัก
เทวาเดินนำมายังด้านในที่เป็นสำนักงานเป็นที่ซื้อบัตรเข้าชม ภาริชยื่นบัตรประชาชนให้กับเทวาเมื่อเขาขอเพราะต้องแลกบัตรเสียค่าเข้าชม
หากเป็นคนในพื้นที่จังหวัดยโสธรต้องเสียค่าเข้าชมคนล่ะยี่สิบบาทเด็กเข้าชมฟรี หากเป็นคนจังหวัดอื่นเสียค่าเข้าชมคนล่ะสี่สิบบาทเด็กยี่สิบบาท การเก็บค่าเข้าชมนั้นเป็นการนำเงินส่วนนี้เพื่อไปบำรุงรักษาพิพิธภัณฑ์ที่จะเข้าชมทั้งสองแห่ง