"เพียงแค่นี้มึงก็คิดว่าเขาฆ่าแม่แล้วเหรอ" รพีโพล่งมาอย่างเหลืออด
"กูถึงอยากพิสูจน์ไง บางครั้งกูก็ไม่อยากเชื่อหรอกว่าเขาทำ เขาเลี้ยงเรามาอย่างดีจริงๆ อย่างที่มึงพูด แต่สิ่งนี้มันติดอยู่ในหัวกู กูเอามันออกไม่ได้ จะให้กูทำยังไงวะ มึงไม่เป็นกูนี่" อาจารย์พีระลุกขึ้นยืน เตรียมง้างหมัดมาซัดหน้าน้องชาย แต่กู๊ดห้ามไว้ทัน
"โว้ยยย เอาจริงนะ ผมโครตปวดกบาลกับพี่น้องอย่างพวกคุณเลย ดีนะที่ผมเป็นลูกคนเดียว" กู๊ดส่ายหัว
อาจารย์พีระสูดลมหายใจลึกเพื่อระงับสติอารมณ์ ทิ้งตัวลงนั่ง ก่อนพูดต่อว่า
"และวันนั้นก็ไม่ได้มีแค่แม่ที่เสียชีวิต"
คำพูดของอาจารย์ทำให้กู๊ดอ้าปากค้าง เขาใจจดจ่อรอสิ่งที่กำลังออกจากปากของอาจารย์พีระ
"เด็กผู้หญิงที่เล่นกับเราหลังเลิกเรียนคนนั้น เธอวิ่งเข้าไปในอาคาร ผมไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่พวกเราที่เล่นกันอยู่กลางสนามได้ยินเสียงกรี๊ดดังลั่น พวกคุณครูต่างกรูกันวิ่งเข้าไปในอาคาร เรามารู้ทีหลังจากคำบอกเล่า ว่าเด็กคนนั้นเสียชีวิตใต้เตียงในห้องพยาบาล
พ่อเราทั้งคู่เป็นครูพละที่โรงเรียนนั้นด้วย พ่อเป็นคนอุ้มเธอไปส่งโรงพยาบาล แต่เธอเสียชีวิตระหว่างทาง มารู้ภายหลังว่าเธอมีโรคประจำตัว เป็นโรคหอบ อาการหอบคงจะกำเริบ ตอนที่พ่อพาเด็กคนนั้นไปส่งโรงพยาบาล พ่อยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าแม่ตายแล้ว"
ความทรงจำเกี่ยวกับฝันประหลาดผุดมาในสมองของกู๊ดทันที 'เด็กผู้หญิง ... ตุ๊กตาปูนปั้นรูปเด็กผู้หญิงที่ค่อยๆ หันมาทางเขาด้วยใบหน้าพองอืด ดวงตาหลุดมาข้างแก้ม'
เขาเม้มปากแน่น ไม่อยากจะเชื่อว่าเรื่องราวบ้า ๆ นี่จะเชื่อมโยงกันได้
"ซึ่งอาจารย์เชื่อว่าเด็กคนนั้นได้เห็นเหตุการณ์ตอนแม่อาจารย์เสียชีวิตใช่ไหมครับ"
อาจารย์พีระพยักหน้าช้า ๆ หลับตาแน่นจากความทรงจำอันเจ็บปวด
"แล้วใครเป็นคนพบศพแม่คุณทั้งคู่ครับ" กู๊ดถามอย่างสงสัย
"เราไม่รู้หรอกนะ รู้แต่ว่าพอเราเห็นเด็กคนนั้นถูกอุ้มไป เราทุกคนก็ถูกกันไม่ให้เข้าตัวอาคาร สักพักตำรวจก็มา ผมมารู้อีกทีตอนที่พ่อกลับมาแล้ว และพ่อเป็นคนบอกผม ผมไม่เห็นร่างแม่ เห็นแต่ที่เจ้าหน้าที่เขาคลุมผ้าขาวไว้"
รพีที่นั่งเงียบมานานเป็นคนพูดบ้าง "ส่วนผมตอนนั้นยังเด็กมาก ผมจำเหตุการณ์วันนั้นไม่ได้เลย มารู้เรื่องราวทั้งหมดจากคำบอกเล่าของพี่ และพ่อเลี้ยง ซึ่งก็คือผู้อำนวยการโรงเรียนที่รับอุปการะพวกเรา หลังจากเหตุการณ์วันนั้นทุกคนในโรงเรียนถูกสอบสวน แต่ตำรวจก็สรุปสาเหตุการตายว่าเป็นการฆ่าตัวตาย ซึ่งแน่ล่ะ พี่ผมไม่เชื่อ อย่างที่เขาบอกคุณ และหลังจากนั้นไม่นานโรงเรียนก็ถูกปิด พวกเราก็ต้องย้ายโรงเรียน คำถามต่างๆ มันก็จบลงไปพร้อมกับความคาใจของทุกคนที่เกี่ยวข้อง"
"นี่มันอะไรกันวะเนี่ย" กู๊ดอุทาน
"แล้วคุณต้องการให้ผมช่วยอะไร" คราวนี้กู๊ดหันไปถามอาจารย์พีระ
อาจารย์พีระสูดลมหายใจลึกก่อนเอ่ยว่า
"ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ผมพยายาม พยายามเหลือเกินที่จะสื่อสารกับแม่หรือเด็กคนนั้น แต่ไม่ว่าจะทำอย่างไรทุกครั้งคือไร้ผล จิตของเด็กคนนั้นไม่สื่อมาถึงผมเลย ตอนนี้ดวงวิญญาณของเด็กคนนั้นกับแม่ยังอยู่ที่โรงเรียน ผมแปลกใจเหมือนกันที่จิตของเด็กคนนั้นสื่อกับแม่ของคุณได้ ผมไม่รู้เหมือนกันว่าเพราะสาเหตุอะไร"
กระดาษแผ่นนั้น!!!
"กระดาษแผ่นนั้นครับ กระดาษแผ่นนั้น" กู๊ดเอ่ยด้วยน้ำเสียงตื่นตระหนก
"กระดาษอะไร" พี่น้องสองคนถามขึ้นพร้อมกัน
"ผมเจอมันตอนที่ไปถ่ายคลิป มันเป็นกระดาษสมุด น่าจะเป็นเรียงความส่งคุณครูหรืออะไรสักอย่าง ด้านล่างมันถูกเขียนด้วยชื่อแม่ของผม ตั้งแต่ผมเจอกระดาษแผ่นนั้นเหตุการณ์ประหลาดพวกนี้ก็ตามมา ผมเอากระดาษกลับมาด้วย แต่ตอนแม่ผมหายจากบ้านไป แม่ถือกระดาษแผ่นนั้นไป ตอนที่ผมเจอแม่ในโรงเรียน แม่ทำท่าเล่นตบแปะกับเพื่อนอยู่ครับ ทั้งที่แม่อยู่คนเดียว"
อาจารย์พีระก้มหน้าคิด หลายอย่างกำลังปะติดปะต่อในสมองของเขา
"มีความเป็นไปได้ ที่เด็กคนนั้นอาจมีจิตผูกพันธ์ในกระดาษแผ่นนั้นไม่ว่ากระดาษแผ่นนั้นมันจะเป็นอะไรก็ตาม ซ้ำมันยังมีความเชื่อมโยงไปสู่แม่ของคุณ ทำให้จิตของทั้งคู่เปิดรับกันได้ แล้วกระดาษแผ่นนั้นอยู่ที่ไหน"
ยังไม่ทันที่กู๊ดจะตอบ เสียงโวยวายจากในบ้านก็ดังขึ้น พีระและรพีหันไปทางเสียงนั้นพร้อมกัน
"ลุงผมน่ะครับ แม่น่าจะทำเรื่องอะไรสักอย่าง เอาเป็นว่าวันนี้ผมขอตัวไปดูแลแม่ก่อน ผมยินดีช่วย แล้วผมจะติดต่อกลับไปครับ" และก่อนที่เขาจะเดินเข้าไปในตัวบ้าน
"ขอบคุณคุณตำรวจและอาจารย์อีกครั้งนะครับ" เขาลอบเห็นสีหน้าผิดหวังของอาจารย์พีระก่อนที่จะเดินเข้าบ้านไป
เศษกระดาษกระจัดกระจายเต็มบ้าน มันถูกแม่รื้อค้นและฉีกกระจุยกระจาย ลุงชัยยืนโวยวายกระทืบเท้าอยู่ข้าง ๆ
"กลับมาก็หางานให้กูเลยมึงนี่ มึงจะฉีกกระดาษหาพระแสงอะไรอีใจ" ลุงโวยวายลั่น กู๊ดไม่สนปฏิกิริยาของลุง ถึงแกจะบ่น แต่แกก็เป็นคนเก็บกวาดอยู่ดี กู๊ดยืนมองอาการแม่สักพัก แม่รื้อค้นกระดาษเหมือนหาอะไรสักอย่าง มันเป็นพวกกระดาษหนังสือพิมพ์ นิตยสารเก่าๆ
ในมือข้างขวาของแม่กำปากกาแน่น ปากพึมพำบางอย่างที่ฟังไม่ได้ศัพย์ กล้ามเนื้อบนใบหน้าของกู๊ดหดเกร็งเหมือนรู้คำตอบบางอย่าง
เขาวิ่งตรงขึ้นไปชั้นบน เปิดลิ้นชักโต๊ะควานหากระดาษเปล่า ๆ ที่ไม่มีลายเส้น ไม่มีรอยพิมพ์ เขาเจอกระดาษ A4 ขาวสะอาดอยู่ 2-3 แผ่น เขารีบนำมันมาให้แม่
กู๊ดยื่นกระดาษให้แม่โดยไม่พูดอะไร ทันทีที่เห็นกระดาษ รอยยิ้มปรากฎบนใบหน้าของแม่ แม่ยิ้มเหมือนเด็กน้อย เหมือนเด็กเห็นของเล่น ยิ้มจนเห็นฟันเรียงเป็นระเบียบ เป็นรอยยิ้มที่สวยที่สุด
แม่เลิกรื้อกองกระดาษทันที มือข้างที่ถือปากกาเริ่มเขียนอะไรบางอย่าง
ฉันทีความสุกทีสุดตอนอยุ่กะบเพื่น
ตัวอักษรที่ถูกเขียนอย่างไม่แตกฉาน ผิดๆ ถูกๆ ปรากฏบนกระดาษโล่ง มันอ่านได้ว่า
'ฉันมีความสุขที่สุดตอนอยู่กับเพื่อน' กู๊ดขนลุกไปทั้งตัว เพื่อนคนไหนของแม่ หรือจะเป็น ....
แม่หันมายิ้มให้กู๊ด น้อยครั้งนักที่เขาจะเห็นรอยยิ้มเช่นนี้ แม้กระทั่งลุงที่นั่งยองๆ ก้มลงหยิบเศษกระดาษ ยังหยุดบ่นและจ้องแม่ตาไม่กระพริบ บรรยากาศจึงเงียบลงชั่วขณะ
"ส่งครู" จู่ๆ แม่ก็พูดคำนี้ออกมา
"ครูชื่ออะไรครับแม่" กู๊ดเค้นถาม
"ส่งครู ... ส่งครู" แม่ยังคงพูดวนไปวนมาอยู่คำเดิม กู๊ดถอนหายใจ วันนี้คงไม่ได้ข้อมูลอะไรจากแม่ไปมากกว่านี้ เขาเดินไปที่ตู้และหยิบยาที่แม่กินประจำมาพร้อมขวดน้ำ ลุงยังบ่นพึมพำในลำคอ ถึงปากจะบ่นแต่มือก็เก็บกวาด กู๊ดอมยิ้มเล็กน้อย กับภาพที่เห็น สิ่งนี้แหละคือทุกอย่างในชีวิตเขา
ฟ้ามืดสนิทแล้ว วันนี้ฟ้าโปร่งไม่มีเมฆมาบังดวงจันทร์ จันทร์บนฟ้าเว้าแหว่งไม่เต็มดวง แต่สวยงามนัก ผืนฟ้าดำสนิทประดับด้วยหมู่ดาว กู๊ดพ่นควันบุหรี่สีขาวให้ลอยเป็นสายในอากาศ เขาอยากปล่อยสิ่งที่อยู่ในหัวไปพร้อมกับควัน ให้มันล่องลอยและสลายไปในที่สุด แต่ในความเป็นจริงคงทำเช่นนั้นไม่ได้
เรื่องราวแปลกประหลาดต่าง ๆ ยังสาละวนอยู่ในความคิด ทั้งเรื่องคนและผี
ทำไมเขาต้องช่วยพี่น้องสองคนนั้นด้วย แค่มองก็รู้แล้วว่ามันไม่กินเส้นกัน ก็ปล่อยให้มันต่อยกันให้ตายไปข้างให้รู้แล้วรู้รอดดีกว่า เรื่องอะไรเขาจะต้องเอาแม่ไปเสี่ยงด้วย ในเมื่อเขาเจอแม่แล้ว แต่ในใจลึกๆ เขารู้ว่ามันต้องเกี่ยวข้องกับกระดาษแผ่นนั้น และคำพูดของแม่เมื่อเย็นอย่างแน่นอน
ไม่มีอะไรทำให้เขามั่นใจได้เลยว่าแม่จะไม่หวนกลับไปโรงเรียนผีสิงนั่นอีก
เสียงแม่ดังมาจากชั้นล่าง "ส่งครู ... ส่งครู" พร้อมกับเสียงถีบประตู
"มึงจะส่งห่าอะไร มึงไม่ใช่เด็กนักเรียนแล้ว" เสียงลุงเช่นเคย กู๊ดแน่ใจว่าขณะนี้ลุงกำลังยื้อยุดอยู่กับแม่ที่พยายามดิ้นรนจะออกจากบ้านไปให้ได้
กู๊ดถอนหายใจเฮือกใหญ่ เขาไม่น่าจะเหลือทางเลือกแล้ว
"เอาก็เอาวะ"
ฮอนด้าซีวิคเคลื่อนตัวมาจอดหน้าประตูรั้วทึบทำให้มองไม่เห็นด้านในตัวบ้าน ไฟสีเหลืองนวลส่องสว่างไปยังกริ่งประตู แมลงกลางคืนกำลังบินล้อเล่นไฟ มันเป็นทั้งสวรรค์และสุสานสำหรับเหล่าแมลง
"กลับไปขึ้นเวรต่อเหรอ" อาจารย์พีระถามผู้เป็นน้อง
"อืม" รพีตอบสั้นๆ เท่านี้ ก่อนที่พี่ชายจะลงจากรถ เขาขับรถออกไปตามถนนพร้อมกับมวลความคิดก้อนใหญ่ที่ฝังในเนื้อสมอง มันกลับมาอีกครั้งหลังจากที่เขาคิดว่าสลัดมันทิ้งออกไปได้แล้ว
แท้จริงแล้วเขารู้ว่าพี่ชายต้องการคำตอบอะไร
สิ่งที่พี่ชายเขาทำนอกจากเป็นการพิสูจน์ปมค้างใจแล้ว ยังเป็นการช่วยเหลือชายชราคนหนึ่งให้หลุดพ้นจากความผิดบาปในใจ
พ่อเลี้ยงเขาจมอยู่กับความรู้สึกผิดนี้มานานแสนนาน พ่อต้องสูญเสียผู้หญิงอันเป็นที่รัก แม้เขาจะได้เธอมาด้วยวิธีการที่ผิด พ่อเข้าใจมาโดยตลอดว่าเธอผูกคอตายเพราะตนเอง ... ไหนจะลูกในท้องอีก
หากพิสูจน์ได้ว่าไม่ใช่การฆ่าตัวตาย แล้วใครล่ะที่เป็นฆาตกร!!! เด็กผู้หญิงผมสั้นหน้าม้าคนนั้นเห็นเหตุการณ์จริงหรือเปล่า แม่ของกู๊ดจะเชื่อมโยงได้จริงไหม คำถามนี้เวียนไปมาในระบบความคิดของเขาก่อนที่จะระบายลมหายใจเฮือกใหญ่
"ช่างแม่งเว้ย อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด" รพีพูดคนเดียวก่อนที่จะเร่งความเร็ว บนถนนโล่งยามค่ำคืน
*********************************
ขอบคุณรี้ดทุกคนนะคะ ที่เดินทางกันมาถึงตอนที่ 12 แล้ว อ่านแล้วชอบมั้ย คอมเม้นท์บอกกันบ้างนะคะ ยินดีรับคำติชมค่ะ
by guidingstar