CHAPTER 1
CHAPTER 1
ภายในห้องมืดสลัวแต่ปกคลุมไปด้วยความเย็นเฉียบอุณหภูมิต่ำต้นเหตุเนื่องมาจากเครื่องปรับอากาศที่กำลังทำงานอยู่นั่นเอง แสงจากดวงจันทร์สอดส่องเข้ามาเล็กน้อยกระทบตรงเสี้ยวใบหน้าสวยได้รูปที่กำลังจดจดจ้องออกไปมองแสงไฟจากตึกอาคารต่างๆ ด้านนอกจากคอนโดสูงกว่ายี่สิบชั้น
ความมืดสามารถทำให้เห็นว่าแสงสว่างจากด้านหน้ามันสวยงามมากแค่ไหนทว่านัยน์อันว่างเปล่าคู่นี้กับเฉยชาต่อสิ่งที่กำลังได้เห็นไม่แสดงความรู้สึกใดๆ ออกมาทั้งนั้นนอกจากนิ่ง
เหมือนไร้ความรู้สึก?
สักพักดวงตาครู่นั้นก็หันมามองสิ่งที่อยู่ในมือซ้าย
นัยน์ตาสีน้ำตามองมันก่อนยกรอยยิ้มเหยียดแสดงขึ้น
ไพ่สองใบในมือยาวเรียวขยับตามแรงเคลื่อนไหวสลับกระทบเสียดสีกันไปมาหลายครั้งก่อนหยุดชะงักลงอย่างกะทันหันไม่ใช้เวลานานไปกว่านั้นเพราะสุดท้ายไพ่พวกนั้นมันก็ถูกเหวี่ยงออกไปจากวงโคจรทางสายตาอย่างไม่ใยดีนัก
รู้สึกเหมือนเกลียดขยะแขยงแต่จากนี้ก็ต้องเข้าไปใกล้
รู้สึกเหมือนอยากเข้าไปแล้วจุดไฟเผาแต่ต้องรอ
รู้สึกอยากไปให้ไกลแต่ก็ทำไม่ได้
แล้วควรทำยังไงดีล่ะ?
ในชีวิตคนเรามันมีไม่กี่อย่างหรอกที่สมปรารถนาและก็มีอีกหลายอย่างที่ต้องผิดหวังไม่ได้ดั่งใจปรารถนา เรื่องเลวร้ายไม่มีใครอยากให้เกิดกับตัวเองแต่ก็ไม่สามารถกำหนดได้ใช่ไหม
แต่ก็ไม่เสมอไปหรอก...
ถึงกำหนดไม่ได้แต่ถ้าเลือกใช้หนทางอื่นๆ แน่นอนว่ามันย่อมมีเสมอ
วงเวียนการใช้ชีวิตเมื่อก่อนต้องอดทนอดกลั้นมากเพียงไหนทำไมจะไม่รู้ ทุกความผิดหวังมันพลอยทำให้เป็นข้อบกพร่องของตัวเองเรื่อยๆ การย้ำคิดย้ำทำจะลงมืออะไร
ตอนนี้คำเดียวที่มีอยู่ในหัวคือ ‘เอาคืน’ เท่านั้น
ทุกอย่างเกิดขึ้นตรงไหนที่ใดต้องเดือดร้อนสักกี่คน การตีกลับไปมันต้องรุนแรงกว่าหลายเท่าตัว
“มาถึงแล้วสินะ” ริมฝีปากสวยพึมพำก่อนลุกขึ้นยืนเต็มความสูงกว่าร้อยเจ็ดสิบกว่า เสื้อสีแดงตัวใหญ่เคลื่อนไหวลงมาปกคลุมขาเรียวสวยโผล่พ้นออกมาทั้งที่เจ้าตัวไม่สนใจกับเดินไปใกล้บานเคลื่อนทรงสูงจ้องมองแสงสีภายนอกอีกครั้งและมันก็ชัดเจนขึ้นหลายเท่าตัวในขนาดที่ก่อนหน้ามองไกลไปหน่อย เนิ่นนานเท้าเล็กก็ตั้งใจขยับเท้าเหยียบไพ่สองใบนั่นเต็มๆ “จะเหยียบให้จมเดิน...”
ประโยคราบเรียบแฝงไปด้วยความเลือดเย็นอันแสนเฉยชาเกิดขึ้นกับตัวเอง
คืนนี้เป็นคืนแรกที่ฉันมานอนที่นี่คอนโดใจกลางเมืองที่อยู่ของนักศึกษาผู้สูงส่งทั้งหลาย ผู้ดีในคราบนักศึกษาเบ่งอวดความร่ำรวยตั้งแต่หัวจรดปลายตีนไม่สนใจว่าคนข้างหลังส่งเรียนต้องปากกัดตีนถีบมากเพียงไหน
วงวารความเน่าเฟะ
วงวารความโอ้อวดว่ารวย
วงวารขายควายส่งควายเรียน
นึกแล้วน่าสมเพชสิ้นดีแต่มันก็ไม่ใช่จุดหมายของตัวเองที่จะมานั่งดูคนพวกนี้ การย้ายมหาลัยครั้งนี้มันต้องมีเหตุผลมากกว่านั้นและมันก็ต้องสามารถทำประโยชน์ให้ตัวเองพอสมควรโดยปราศจากคำว่าน้อย การเปิดฉากมาใหญ่ทุกอย่างมันต้องใหญ่ตามจากนั้นก็จะต้องใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ
ฉันชื่อ ‘แฟน’ รู้เท่านี้พอ
ปีสามชีวิตมหาลัย ชีวิตใครจะบรรลัยมาดูกัน...
@Kingston University (มอคิงส์ตัน /KU)
“แฟนกินอะไรเปล่า?”
“...”
แค่ส่ายหน้าไร้เสียงพูดทุกคนก็รู้คำตอบดี
การเป็นแบบนี้ของฉันถือว่าเป็นกิจวัตรตลอดสองอาทิตย์ที่ผ่านมาอย่างรวดเร็วในมหาลัยใหม่กับเพื่อนใหม่รวมไปถึงสิ่งแวดล้อมรอบตัวใหม่ รู้ไหมว่ามันมีข้อดีคือไม่มีใครกล้าเซ้าซี้ขยายความถามต่อเพื่อให้ต่อมอยากรู้อยากเห็นของใครหลายคนทำงาน
โดยเฉพาะในกลุ่มนี้
กลุ่มที่ฉันเลือกเข้ามาอยู่
“งั้นไปซื้อขนมแป๊บ”
ว่าแล้วก็ลุกออกจากโต๊ะไป
ร้านค้าอยู่ใกล้โต๊ะม้าหินอ่อนที่นั่งมาแค่เพียงเล็กน้อยพอหันไปก็เจอร่างเล็กของเพื่อนใหม่ยืนกอบโกยขนมเต็มไม้เต็มมือ ร้านนี้เป็นร้านเดียวตั้งอยู่ระหว่างอาคารใหญ่ของคณะมนุษยฯ กับคณะวิศวกรรมศาสตร์ นักศึกษาส่วนใหญ่เวลาเกือบบ่ายไม่ค่อยมานั่งกันหรอก
คนข้างบนนี้ชื่อน้ำหวานที่เอ่ยถามฉัน ความร้ายความแรงการโจมตีเรียกได้ว่าอยู่สกิลระดับศูนย์ถึงติดลบ นิสัยออกไปทางบ้าๆ บอๆ ไม่ค่อยสู้คนด้วยแล้วคงมองโลกในแง่ดีมากทุกอย่างเหมือนเป็นสีชมพูทั้งที่ความจริงอาจไม่ใช่แบบที่เธอคิดด้วยซ้ำไป คนเดียวที่ถือว่าผ่านหนึ่งในสาม
“อย่าประหยัดนักสิ ตัวผอมแห้งขนาดนี้ควรกินบ้าง”
หล่อนคนนี้ชื่อหนามเตย ความร้ายความแรง (เฉพาะคำพูด) เหน็บแนมจัดอยู่ในสกิลให้แปดสิบส่วนร้อย ยังไม่เคยดูเรี่ยวแรงการใช้กำลังว่าจะเหมือนกับที่ปากง้างออกมาหรือเปล่า อีคนนี้คบไม่ได้หรอก
“ไม่หิวจริงๆ” ฉันเลือกส่งรอยยิ้มให้หลังพูดจากนั้นก็ดันแว่นตาขึ้นหน่อยทำเหมือนดูเกรงใจหล่อน นิสัยมนุษย์ส่วนมากชอบชะล่าใจด้วยท่าทางและคำพูดยกยอ ผู้หญิงคนนี้ก็เช่นกันคิดว่าตัวเองจัดอยู่บนห่วงโซ่อาหารหรอ “ไม่เหมือนเตยหรอกทั้งสวย ทั้งน่ารักแถมทั้งรวยหนุ่มๆ ชอบ”
ได้ยินแค่นี้หล่อนก็แสระยิ้ม
ได้ยินแค่นี้ใบหน้าก็บานเป็นจานข้าวหมา
จะรู้ไหมว่าดูแล้วโง่แค่ไหน กะอีแค่ประโยคตอแหลจากฉัน
“ระดับดาวอย่างเตยก็ต้องเป็นแบบนั้นอยู่แล้ว” และคนสุดท้ายชื่อเปลว ไม่มีความร้ายแรงอะไรในสมองวันๆ เอาแต่เป็นหมาตามรับใช้หนามเตย จงรักภักดีทุกอย่างเรียกง่ายที่สุดก็คือ สมองกลวง สกิลการโจมตีไม่มีถ้าไม่ได้รับคำสั่ง อีนี่ก็คบไม่ได้เช่นกัน “เตยดูนั่น...”
“ขอตัวไปห้องน้ำก่อนนะ” ฉันลุกขึ้นกำลังจะขยับเท้าเดินแต่ต้องชะงัก
“อย่าให้ได้รอ ทั้งกลุ่มจะซวยเพราะถูกเช็คชื่อขาด”
“จริงสิ ถ้าช้าขึ้นไปก่อนได้ไม่ต้องรอนะ ฝากบอกน้ำหวานด้วย”
การแยกออกมามันเป็นแค่ความตั้งใจล้วนๆ ไม่ได้อยากเข้าห้องนงห้องน้ำอะไรหรอกเพียงแค่เห็นอะไรบางอย่างเข้ามาเตะสายตาต่างหาก สายตาของฉันจ้องมองไปยังกลุ่มผู้ชายกลุ่มนั้นประมาณห้าหกคนเดินมาก็สามารถเรียกสายตาของพวกผู้หญิงได้เป็นอย่างดี
ก็ที่เปลวหล่อนบอกให้หนามเตยดูนั่นแหละ
เปิดฉากขึ้นแล้วสินะ...
พวกนั้นเดินเข้ามานั่งม้าหินอ่อนถัดจากที่ฉันไปเว้นระยะห่างแค่หนึ่งโต๊ะ ความโดดเด่นแต่ละคนไม่แพ้กันคงมีแค่ฉันเท่านั้นที่จับจุดมองไปจุดเดียว
ชายคนนั้นนั่งบนที่พิงเอาเท้าใหญ่เหยียบเก้าอี้หนึ่งข้างอีกข้างกับเหยียดตรง เรือนผมสีเทาเน้นใบหน้าเรียวให้ดูขาวสว่าง เขาอยู่ในชุดนักศึกษาไม่เรียบร้อยใดๆ ทั้งสิ้นโดยปลดกระดุมลงมาสองเม็ดโชว์แผงอก ชายเสื้อนักศึกษาแขนสั้นออกนอกกางเกงยีนเผยรอยยิ้มเสียงหัวเราะกับเพื่อน
มีความสุขเหลือเกิน
หึ...
พอฉันละสายตามองโต๊ะที่จากมามันก็ว่างเปล่าไร้คนนั่งมีแค่น้ำเปล่าหนึ่งขวดตั้งอยู่พร้อมแก้วพลาสติกส่วนกระเป๋าน้ำหวานคงเอาไปให้แล้ว
ไม่ว่าจะวันไหนการเผชิญหน้าต้องเกิดขึ้นอยู่ดีแล้วทำไมฉันต้องหลบอีก การเท้าก้าวออกมาเดินอ้อมไปอีกด้านมานั่งลงม้าหินอ่อนตัวเดิมประจวบเหมาะที่เดิมของฉันหันหลังให้พวกนั่นอยู่แล้ว
“เบอร์ดาวนิติ อยู่ในมือกูแล้วเว้ย”
“ไรกันวะ ไหนเมื่อวานมึงบอกอยากได้ไลน์ดาวแพทย์”
หัวข้อก็ไม่พ้นเรื่องผู้หญิง เสียงหัวเราะดังขึ้นเรื่อยๆ ไม่มีทีท่าหยุดยั้งใดๆ ทั้งสิ้นมีแต่จะเสียงดังขึ้นเรื่อยๆ ตามประสาแต่สำหรับฉันมันขัดตา
“มึงต้องถามไอ้ห่าอาร์ต มันเอามาให้กู”
หึ... คราวนี้เป็นฉันเองที่เหยียดยิ้มสมเพชกับสิ่งที่ตัวเองได้ยิน
“เหี้ยแล้วมึงดูรอยยิ้มมันดิ ดูดิวะ เหยด... บ่งบอกมากว่ามันมีความสุขแค่ไหน ห่ารากคนเป็นเพื่อนอิจฉาครับ”
ฝ่ามือฉันกำเข้าหากันแน่น บีบรัดเกร็งจนกระทั่งมันสั่นน่าแปลกที่ความเจ็บปวดไม่แล่นเข้ามาให้รู้สึกแต่อย่างใดทว่ามันมีความอัดอั้นเต็มไปหมด
คนหนึ่งมีแต่น้ำตา อีกคนกับมีรอยยิ้ม
คนหนึ่งชีวิตนี้คงปราศจากเสียงหัวเราะ อีกคนกับไม่สำนึก
“ก็แค่... มีความสุขไม่ได้หรอวะ?”
ปัง!
ทุกอย่างรอบตัวเงียบเฉียบ
ไม่มีเสียงเปล่าอะไรออกมาสักแอ๊ะ
เสียงมาจากฉันเองโดยการใช้ฝ่ามือทั้งสองข้างตบลงโต๊ะไม้ข้างกายไปอีกนิดความรุนแรงไม่ต้องถาม มันแรงมาก
แรงเพราะอยากให้มันดัง
ไม่ละเวลาให้มันล่วงเลยฉันเลือกยืนเต็มความสูงค่อยๆ หันใบหน้าไปมองกลุ่มผู้ชายพวกนั้นไม่สนสายตาคู่ไหนเว้นแค่นัยน์ตาสีดำคู่นั้น คู่ที่ฉันต้องการให้ชีวิตนี้มันมีแต่ความฉิบหายไม่สามารถแสดงความสุขออกมาให้เห็นได้อีก
แว่นตาถูกถอดออกทิ้งลงพื้นไม่คิดใยดีมัน
แกร็ก...
พร้อมกับคว้าน้ำมาในมือ น้ำขวดนั้นถูกเปิดออกก่อนยื่นออกมาเทตรงหน้า สายน้ำเล็กๆ หยดลงสู่พื้นอิฐตัวหนอนกระเด็นกระทบปลายรองเท้าหยดแล้วหยดเล่าแต่ฉันก็ไม่คิดสนใจเพราะจ้องมองไปยังผู้ชายคนนั้น พอน้ำหมดขวดรอยยิ้มเหยียดของตัวเองก็แสดงให้เห็นกึ่งท้าทายกึ่งสมเพช
“มีซะให้พอ ก่อนที่เจ้ากรรมนายเวรมาตามเก็บ!”