ตอนที่ 1. เมื่อแพแตก

1504 Words
ตอนที่ 1. เมื่อแพแตก ควันสีขาวเหนือยอดเมรุลอยสูงขึ้นไปบนท้องฟ้า คริษฐานั่งอยู่ท่าเดิมจนกระทั่งไม่มีควันลอยออกมาจากปล่องนั่นอีกเลย ความรู้สึกสิ้นหวังเคว้งคว้าง เหมือนเวลาหยุดเดินลงดื้อๆ เกิดขึ้นในใจ แววตาของเธอเหม่อลอย หมดอาลัยตายอยากกับการมีชีวิตอยู่ มีคนรู้จักหลายคนเดินเข้ามาพูดปลอบประโลม แต่มันช่วยอะไรเธอไม่ได้เลย ความรู้สึกเศร้ายังฝังลึกอยู่ในใจ          ไม่มีวันพรุ่งนี้สำหรับเธอกับแม่อีกแล้ว          “น่าสงสารนะ จะอยู่ยังไงล่ะทีนี้ เรียนก็ยังเรียนไม่จบ”          เสียงกระซิบดังจากทางด้านหลัง และมันเป็นความจริงที่เธอเถียงไม่ได้เสียด้วย คริษฐายกหลังมือขึ้นปาดน้ำตาที่ค้างอยู่บนใบหน้า คงต้องคิดทบทวนหลังจากนี้ เธออยู่ร่วมชายคากับคนที่เป็นต้นเหตุทำให้มารดาตายไม่ได้ ยิ่งหลังๆ มานี่ เธอเริ่มไม่ไว้ใจแดนไทยสักเท่าไหร่ แววตาแปลกๆ ของเขาสะกิดใจเธอหลายครั้ง          แม้จะพยายามปลอบใจตัวเอง คงแค่คิดมากไป          ชายวัยเกือบห้าสิบปีคนนั้น คงไม่คิดต่ำช้าพรรค์นั้นหรอก          เขากับเธอรู้จักกันมาเกือบสามปี แดนไทยวางตัวเป็นผู้ใหญ่ที่ดีในสายคนรอบข้าง เสียงสรรเสริญนั่น ทำให้คริษฐาแอบเบ้ปากหลายครั้ง ผู้ชายคนนี้สร้างภาพเก่ง แถมยังซุกความระยำจากสายตาคนรอบตัวได้อย่างแนบเนียน          “ยัยริด วันนี้กลับบ้านพร้อมลุงนะ”          เสียงคุ้นหูดังขึ้นข้างตัว คริษฐาสูดลมหายใจลึกๆ ฝืนส่ายหน้าปฏิเสธ          “งานแม่แกก็เสร็จแล้ว คืนนี้วัดคงไม่ยอมให้แกนอนที่นี่หรอก” แดนไทยกล้าวเสียงทุ้ม แอบเลียริมฝีปากล่าง หลังไล่สายตาไปตามเรือนร่างลูกเลี้ยงที่โตเป็นสาวทุกสัดส่วน          “ขอริดอยู่กับแม่อีกสักสองสามวันเถอะค่ะ”          “ได้ไงวะ ลุงปิดร้านมาหลายวันแล้วนะ ขาดรายได้ไปไม่น้อยเลย” แดนไทยบ่นอุบ จารีย์ด่วนตายจากไปดื้อๆ เขาจ่ายไปไม่น้อยเลยกับการส่งจารีย์ไปภพภูมิอื่น          “ริดจะไปช่วยค่ะ แต่ริดขอนอนที่นี่นะคะ”          สัญชาตญาณเตือนกระตุ้นให้คริษฐาหาทางเลี่ยง ใต้ชายคาบ้านหลังนั้นหากเกิดอะไรขึ้น คงไม่มีใครสามารถยื่นมือมาช่วยเธอได้ เวลาก็จวนตัวจน คริษฐาหาทางออกอื่นไม่ทัน          “น่าเกลียดตายเลย ผู้หญิงยิงเรือจะมานอนในวัดในวา พระจะได้ถูกนินทาเอาสิวะ” ฟังๆ ดูเหมือนหวังดีเสียเต็มประดา แต่หากจับสังเกตจริงๆ ความหงุดหงิดที่ปิดไม่มิดนั่น อาจทำให้คนอื่นคิดในแง่ลบได้          พ่อเลี้ยงกับลูกติดเมีย ไม่สมควรอยู่ใต้ชายคาเดียวกัน ในวันที่เมียไม่ได้มีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้แล้ว          “ริดกลับไปนอนที่ร้านก็ได้ค่ะ ช่วงนี้ริดคงไปๆ มาๆ กับที่บ้าน จนกว่าริดจะหาที่อยู่ใหม่ได้”          “แกจะไปอยู่ที่ไหน แกกับแม่แกไม่มีใครแล้วไม่ใช่เรอะ”          คริษฐาก้มหน้าลง พยายามข่มความเสียใจไว้ในอก แล้วก็เงยหน้าฝืนยิ้มให้แดนไทย “ค่ะ ริดคงอยู่ร่วมบ้านกับลุงไม่ได้แล้ว ริดไม่อยากถูกนินทา”          แดนไทยหน้าตึง ทุกอย่างผิดคาดไปหมด เด็กสาวหัวอ่อนอย่าง คริษฐา กลับรู้ทันความคิดของเขาและพยายามตีตัวออกห่าง ซึ่งเขาไม่มีทางยอมให้เป็นเช่นนั้นแน่          “อย่าไปฟังคนนอกนักเลย ลุงกับริดอยู่ด้วยกันมาหลายปีแล้ว ลุงรักริดเหมือนลูกคนหนึ่งนะ”          รอยยิ้มแปลกๆ แต้มมุมปากหญิงตรงหน้า แดนไทยถึงกับสะอึก “อย่าเลยค่ะ ริดไปเองดีกว่า ขอแค่หาบ้านได้แล้ว ริดจะแวะเข้าไปเก็บของค่ะ”          “ทำแบบนั้นไม่ได้สิวะ หากแม่ก็รู้คงไม่ชอบใจนัก” แดนไทยร้อนรน เขารีบอ้างถึงมารดาของคริษฐาที่เสียชีวิตไปแล้ว          “ริดขอบคุณความหวังดีของลุงค่ะ แค่ริดตัดสินใจแล้ว” ไม่มีอะไรดีกว่ากันไว้ก่อน แววตาหมกมุ่นของแดนไทยทำให้คริษฐาไว้ใจไม่ลง เธออาจระแวงไปเองก็ได้ แต่การแก้ปัญหาก่อนที่ปัญหาจะเกิดย่อมดีกว่าการแก้ตามหลังอยู่แล้ว          ทางที่ดี ระยะนี้ เธอควรห่างแดนไทยไว้ก่อน          แดนไทยนิ่งไปหนึ่งอึดใจ เขายอมถอยหนึ่งก้าวเพื่อสร้างความไว้วางใจ แต่ไม่ได้หมายความว่าจะปล่อยให้ลูกเลี้ยงที่เป็นสาวเต็มตัว ตรงหน้าหลุดมือไป เขากล่อมเกลี้ยงเลี้ยงดูคริษฐามาอย่างดี ไม่มีทางปล่อยให้ผู้ชายอื่นเข้ามาชุบมือเปิบง่ายๆ หรอก          ต้องมีสักวันแหละที่คริษฐาจะเพลี่ยงพล้ำ หลังจากนั้นน่ะเหรอ เขาคงเป็นผู้ชายที่โชคดีที่สุดในโลก ที่ได้ทั้งแม่และลูกสาวมาเป็นเมีย          “เอาอย่างนั้นเหรอ ตามใจริดแล้วกัน ติดขัดตรงไหนบอกลุงได้นะ ลุงพร้อมที่จะช่วยเสมอ”          แววตาว้าวุ่นเหมือนไม่ค่อยมั่นใจทำให้แดนไทยยิ้มกริ่ม เขามาถูกทางแล้ว ยอมถอยวันนี้ เพื่ออนาคตที่สดใสกว่า ตอนที่ 2.วิถีการเอาตัวรอดจากปากเหยี่ยวปากกา มีเสื้อผ้าหลายชุดที่คริษฐาเอาติดตัวมาด้วย ตั้งแต่วันที่มารดาสิ้นลม คริษฐาพยายามที่จะอยู่ในที่ลับตาคนน้อยที่สุด เธออาศัยคนหมู่มากเป็นเกราะกำบังจากแดนไทย และวันนี้เป็นวันที่เธอรู้สึกปลอดโปร่งขึ้น เมื่อไม่ได้อยู่ในสายตาอดีตพ่อเลี้ยงคนนั้นอีกแล้ว          “ตามสบายเลยนะริด ห้องฉันอาจจะรกไปหน่อย อยากนอนมุมไหนเลือกเอาได้เลย” เสียงตะโกนดังมาจากห้องน้ำ ณาราคือเพื่อนสนิทคนเดียวที่ คริษฐาไว้ใจที่สุดในตอนนี้ ตอนที่เธออับจนหาทางออกให้ตัวเองไม่เจอ ณาราก็ยื่นข้อเสนอให้ และคริษฐาคิดว่าตัวเองพอใจและสามารถช่วยเพื่อนออกค่าใช้จ่ายได้          “นาไม่ได้ล้างห้องน้ำมานานเท่าไหร่แล้วล่ะ?” คริษฐาตะโกนถาม กลิ่นน้ำยาทำความสะอาดพื้นฉุนขนาดนี้ ณาราคงกำลังล้างคราบสกปรกในห้องน้ำนั่นเอง          “แหม...ฉันอยู่คนเดียวนี่ เลยไม่ค่อยใส่ใจเรื่องความสะอาด ฉันกลัวแกบ่นเรื่องความซกมกของฉันนั่นแหละ”          “ถ้านาลดเรื่องการเล่นเกมนะ นาจะมีเวลาทำอย่างอื่นมากขึ้น”          คริษฐามองอุปกรณ์การเล่นเกมของเพื่อน จัดเต็มขนาดนี้เวลาส่วนใหญ่ของณาราคงอยู่แต่ในโลกออนไลน์นั่นแหละ คริษฐาวางกระเป่าผ้าเก่าๆ บนพื้นว่างๆ ยืนกางขาเพื่อวางแผนคร่าวๆ คงต้องเก็บของใช้ที่วางไม่เป็นระเบียบของเพื่อนให้เข้าที่ก่อน จากนั่นค่อยหาทำเลเหมาะๆ สำหรับทำที่นอนของตัวเอง เธอฉวยไม้กวาดติดมือมา เริ่มเก็บของใช้ที่คาดว่าเจ้าของห้องไม่ใคร่ได้เตะต้องใส่ถุง พลางตะโกนถามเป็นระยะ          ดังนั้นเมื่อณาราเดินออกมาจากห้องน้ำ เลยตกใจกับความเป็นระเบียบเรียบร้อยของห้องตัวเอง          “ฉันเคยตัวเพราะอยู่คนเดียวน่ะ” คำแก้ตัวของคนขี้เกียจมักจะออกมาแนวนี้ คริษฐาขี้เกียจบ่น เธอจำเป็นต้องพึ่งพาเพื่อน เรื่องเล็กน้อยเลยไม่จำเป็นต้องเก็บมาใส่ใจ          “ต่อไปหน้าที่ทำความสะอาดห้อง ริดจะเป็นคนทำเองนะ”          “ฉันให้ริดมาอยู่ด้วย ไม่ใช่เพราะอยากหาคนมาทำความสะอาดห้องให้นะ” ณารารีบแก้ตัว          “ไม่ใช่อย่างนั้น ช่วยๆ กันไง อีกอย่างช่วงนี้ริดว่าง”          “ไม่ไปทำงานที่ร้านของพ่อเลี้ยงแกแล้วเหรอ” คริษฐาส่ายหน้า การอยู่ห่างๆ แดนไทยในช่วงนี้เธอนั่นแหละที่จะปลอดภัย “ดีแล้ว ฉันไม่ไว้ใจตาแก่นั่นเลย สายตาของเขาที่มองแกแปลกๆ ไงไม่รู้”          ไม่ใช่เธอแค่คนเดียวที่ระแวง ขนาดคนนอกอย่างณารายังรู้สึก          “คงต้องรีบหางานพาร์ทไทม์ทำ ริดมีเงินสำรองไม่มาก” อนาคตยังต้องใช้เงินอีกเยอะ ดังนั้นเธอควรวางแผนอนาคตไว้แต่เนิ่นๆ อย่างน้อยก็เพื่อตัวเอง          “ไม่ไหวยังไงก็บอกนะริด ฉันยินดีจะช่วย”          น้ำใจเล็กน้อยที่ทำให้หัวใจของคริษฐาอบอุ่นขึ้น เธอไม่ได้อยู่คนเดียวบนโลกใบนี้หรอกนะ อย่างน้อยตรงหน้าเธอ ก็มีคนที่รักและหวังดีกับเธอจริงๆ อยู่คนหนึ่ง          “อีกเดือนเดียวริดก็เต็มยี่สิบแล้ว เงินที่แม่ทิ้งไว้ให้ คงช่วยริดได้อย่างดี”          จารีย์เหมือนรู้อนาคต นางสะสมเงินจำนวนหนึ่งเพื่อมอบให้คริษฐาในวันที่บุตรสาวเป็นผู้ใหญ่มากพอที่จะดูแลตัวเองได้          “อดทนหน่อยนะริด อีกปีเดียวก็เรียนจบแล้ว”          มันเศร้านิดๆ เมื่อคิดถึงอนาคตที่ไม่มีคนคอยชื่นชมความสำเร็จ แต่ คริษฐาจะพยายามมีชีวิตรอด บางทีพ่อกับแม่อาจจะกำลังมองลงมาจากฟ้า และชื่นชมความสำเรจของเธอ
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD