หลายสัปดาห์ผ่านไป ชีวิตในคฤหาสน์ของภูผายังคงดำเนินไปอย่างคงที่ ฉันปรับตัวให้เข้ากับความเงียบเหงาและการอยู่ลำพังได้อย่างน่าประหลาดใจ การไปเยี่ยมพ่อที่โรงพยาบาลและโทรคุยกับน้องไทม์ คือกิจวัตรประจำวันที่ช่วยหล่อเลี้ยงหัวใจของฉันให้เข้มแข็ง
พ่อของฉันอาการดีขึ้นมากจนคุณหมออนุญาตให้กลับมาพักฟื้นที่บ้านได้ ฉันตัดสินใจพาพ่อกลับมาอยู่ห้องเช่าเดิมของเรา เพื่อไม่ให้เป็นภาระใคร และเพื่อความสบายใจของท่านเอง
“ลินิน… ลูกไม่ต้องเหนื่อยขนาดนี้ก็ได้นะ” พ่อบอกฉันด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ขณะที่ฉันกำลังจัดยาให้ท่าน “พ่อไม่อยากเป็นภาระลูกเลย”
“พ่อพูดอะไรคะ!” ฉันแกล้งทำเสียงดุ “ลินินดูแลพ่อได้อยู่แล้ว พ่อต่างหากที่ต้องพักผ่อนเยอะ ๆ”
แม้จะเหนื่อยล้าจากการแบ่งเวลาดูแลพ่อ และต้องรักษาบทบาทภรรยาในนามที่คฤหาสน์ของภูผา แต่ฉันก็รู้สึกมีความสุขทุกครั้งที่ได้อยู่ใกล้พ่อ อย่างน้อยฉันก็ยังได้ทำหน้าที่ลูกที่ดี
ในวันหนึ่ง ฉันได้รับโทรศัพท์จากแก้ว เพื่อนสนิทของฉัน
“ลินิน! น้องไทม์ไม่สบาย ไข้ขึ้นสูงเลย” เสียงแก้วปลายสายเต็มไปด้วยความร้อนรน
หัวใจฉันหล่นวูบ “ว่าไงนะ! ตอนนี้เขาอยู่ไหน แก้วพาเขาไปโรงพยาบาลหรือยัง!”
“พามาแล้วค่ะ ตอนนี้อยู่โรงพยาบาลกรุงเทพคริสเตียนค่ะ”
ฉันแทบจะวางสายและรีบออกจากคฤหาสน์ทันที โรงพยาบาลกรุงเทพคริสเตียน… นั่นคือโรงพยาบาลเดียวกับที่พ่อของฉันพักฟื้นอยู่ก่อนหน้านี้! ฉันไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้เลย ตอนนั้นในหัวมีเพียงภาพของน้องไทม์ที่กำลังป่วย
ฉันรีบร้อนไปถึงโรงพยาบาลกรุงเทพคริสเตียนโดยเร็วที่สุด ความกังวลถาโถมเข้ามาจนแทบจะควบคุมตัวเองไม่ได้ ฉันตรงไปที่แผนกเด็กทันที และเห็นแก้วกำลังนั่งรออยู่หน้าห้องตรวจด้วยใบหน้าซีดเผือด
“น้องไทม์เป็นยังไงบ้างแก้ว” ฉันถามเสียงสั่น รีบเข้าไปจับมือแก้ว
“หมอกำลังตรวจอยู่ ไข้ขึ้นสูงมาก แต่ยังไม่รู้ว่าเป็นอะไร” แก้วตอบด้วยน้ำเสียงกังวล
ฉันทรุดตัวลงนั่งข้าง ๆ แก้ว พยายามสงบสติอารมณ์ แต่ใจก็ยังเต้นไม่เป็นจังหวะ ฉันได้แต่ภาวนาให้น้องไทม์ปลอดภัย
ไม่นานนัก คุณหมอก็เปิดประตูออกมาพร้อมกับสีหน้าเคร่งเครียด
“คุณแม่น้องไทม์ใช่ไหมครับ” หมอเอ่ยถาม
“ค่ะ” ฉันรีบตอบ
“น้องไทม์มีอาการของไข้หวัดใหญ่ครับ ต้องนอนพักที่โรงพยาบาลเพื่อดูอาการอย่างใกล้ชิด”
ฉันถอนหายใจด้วยความโล่งอกอย่างน้อยก็ไม่ใช่โรคร้ายแรง แต่ก็ยังคงกังวลกับอาการไข้สูงของลูกชาย
ขณะที่ฉันกำลังเดินตามหมอเข้าไปดูน้องไทม์ที่เตียงคนไข้ ฉันก็เดินสวนกับผู้ชายคนหนึ่งที่เพิ่งเดินออกมาจากอีกห้องหนึ่ง…
‘ภูผา!’
เขาเองก็ดูประหลาดใจไม่แพ้กัน เมื่อเห็นฉันเดินอยู่ในแผนกเด็กของโรงพยาบาลแห่งนี้ ใบหน้าคมคายของเขาฉายแววสับสนและสงสัย
ฉันพยายามหลบสายตา แต่ก็ทำไม่ได้ สายตาคมกริบของเขากำลังจ้องมองมาที่ฉันอย่างพิจารณา
“เธอมาทำอะไรที่นี่” ภูผาเอ่ยถามเสียงเรียบ แต่แววตาของเขากลับมีความนัยบางอย่างที่ฉันอ่านไม่ออก
หัวใจของฉันเต้นรัว ฉันไม่คิดว่าจะมาเจอเขาที่นี่ ในตอนนี้ ในสถานการณ์แบบนี้ ฉันจะตอบเขาว่าอะไรดี? ถ้าเขารู้ว่าน้องไทม์อยู่ที่นี่ด้วย…
ความกลัวเข้าครอบงำ ฉันไม่รู้จะตอบอย่างไรดี
“ฉัน… ฉันมาเยี่ยมเพื่อนค่ะ” ฉันตอบตะกุกตะกัก พยายามควบคุมเสียงไม่ให้สั่น
ภูผายังคงจ้องมองฉันอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่เขาจะพยักหน้าเล็กน้อย แล้วเดินจากไปโดยไม่พูดอะไรต่อ
ฉันถอนหายใจด้วยความโล่งอก แต่ก็ยังคงรู้สึกไม่สบายใจ การเผชิญหน้าโดยบังเอิญครั้งนี้ทำให้ฉันรู้สึกเหมือนความลับของฉันกำลังจะถูกเปิดเผยออกมาในไม่ช้า
ฉันเดินเข้าไปในห้องพักฟื้นของน้องไทม์ มองเห็นลูกชายตัวน้อยที่นอนอยู่บนเตียงด้วยใบหน้าซีดเซียว หัวใจของฉันเจ็บปวดเหลือเกิน
‘แม่จะปกป้องหนูเองนะน้องไทม์’ ฉันบอกกับตัวเองในใจ ‘ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น แม่จะไม่มีวันยอมให้ใครรู้ความลับของหนูเด็ดขาด’
ฉันรู้ดีว่านี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของบททดสอบครั้งใหญ่ที่สุดในชีวิตของฉัน และฉันก็ไม่รู้ว่าฉันจะสามารถผ่านมันไปได้หรือไม่