เช้าวันที่สองในคฤหาสน์ของภูผา ฉันตื่นขึ้นมาพร้อมกับเสียงนกกระจอกที่ร้องเจื้อยแจ้วอยู่นอกหน้าต่าง แสงแดดยามเช้าลอดผ่านม่านโปร่งเข้ามาในห้อง ทำให้บรรยากาศดูอบอุ่นกว่าเมื่อคืน แต่ความรู้สึกภายในใจของฉันยังคงเย็นยะเยือก
หลังจากจัดการตัวเองเรียบร้อย ฉันเดินลงมาที่ห้องอาหารอีกครั้ง ภูผานั่งรออยู่แล้วพร้อมกับหนังสือพิมพ์ในมือเหมือนเมื่อวาน สายตาคมกริบของเขาเหลือบมองฉันแวบหนึ่ง ก่อนจะกลับไปให้ความสนใจกับตัวอักษรตรงหน้า
“วันนี้ฉันต้องออกไปทำงาน” เขาพูดขึ้นโดยไม่เงยหน้า “แม่บ้านจะคอยอำนวยความสะดวกให้ ถ้ามีอะไรฉุกเฉินให้โทรหาเลขาฉัน”
ฉันพยักหน้ารับคำ แม้จะรู้สึกว่าตัวเองเป็นเพียงส่วนเกินในบ้านหลังนี้ แต่ก็พยายามไม่แสดงออก
“เธอว่างก็ไปเยี่ยมพ่อได้” เขาเสริมขึ้นมา ทำให้ฉันรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยที่เขายังคงใส่ใจเรื่องนี้ “แต่ต้องกลับมาก่อนหกโมงเย็น”
ฉันมองเขาด้วยความสงสัย ทำไมเขาถึงต้องกำหนดเวลาด้วย ทั้งที่เราก็ไม่ได้เป็นสามีภรรยากันจริง ๆ แต่ก็ไม่ได้ถามอะไรออกไป เพราะรู้ดีว่าคงไม่ได้คำตอบที่น่าพอใจ
“ค่ะ” ฉันตอบสั้น ๆ
ตลอดทั้งวันที่ภูผาออกไปทำงาน ฉันใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการสำรวจคฤหาสน์หลังนี้ที่เรียกได้ว่าเป็น "บ้าน" ของฉันไปแล้ว แม้จะกว้างขวางใหญ่โต แต่ก็ดูเงียบเหงาเกินไปสำหรับคนคนเดียว
ฉันลองเดินไปยังห้องสมุดที่อยู่ชั้นล่างสุด ภายในเต็มไปด้วยหนังสือมากมายหลายประเภท บ่งบอกถึงความรู้และความสนใจของภูผา ฉันเดินสำรวจไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งสายตาไปสะดุดเข้ากับรูปภาพครอบครัวที่วางอยู่บนชั้นหนังสือเก่า ๆ ภาพนั้นเป็นภาพของภูผาในวัยเด็ก ยืนอยู่ข้างผู้หญิงคนหนึ่งที่ดูใจดีและอ่อนโยน ฉันเดาว่าน่าจะเป็นแม่ของเขา และอีกคนคือผู้ชายในชุดทหาร ใบหน้าของเขาดูเข้มงวดและมีรอยยิ้มบาง ๆ ที่มุมปาก
ฉันพยายามมองหาความสัมพันธ์ของภูผากับครอบครัวในอดีต แต่ก็ดูเหมือนว่าเขาไม่ได้แสดงออกถึงความผูกพันอะไรกับรูปเหล่านั้นมากนัก
เวลาส่วนใหญ่ในวันนี้ ฉันเลือกที่จะไปเยี่ยมพ่อที่โรงพยาบาล พ่อเริ่มมีอาการดีขึ้นตามลำดับ หลังจากได้รับการผ่าตัดและดูแลอย่างใกล้ชิด ฉันโล่งใจที่เห็นท่านมีสีหน้าสดใสขึ้น แม้จะยังคงอ่อนเพลียอยู่มากก็ตาม
“ลินิน… ลูกไม่ต้องมาเฝ้าพ่อทุกวันก็ได้นะ” พ่อเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นฉันนั่งเฝ้าอยู่ไม่ห่าง “ลูกต้องดูแลตัวเองด้วยนะ”
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะพ่อ ลินินอยากอยู่กับพ่อ” ฉันจับมือพ่อเบา ๆ พลางนึกถึงน้องไทม์ที่อยู่กับแก้ว ฉันอยากพาลูกมาหาพ่อใจจะขาด แต่ก็ทำไม่ได้
ในช่วงบ่าย ฉันโทรหาแก้วอีกครั้งเพื่อเช็คข่าวคราวของน้องไทม์
“น้องไทม์กินข้าวเก่งมากเลยนะลินิน ไม่ต้องห่วง” เสียงแก้วตอบกลับมาอย่างร่าเริง “เมื่อกี้เพิ่งเล่นซนจนเสื้อเปื้อนไปทั้งตัวเลย”
ฉันยิ้มให้กับความซุกซนของลูกชาย ความคิดถึงเขาถาโถมเข้ามาอีกครั้ง ฉันอยากจะโผเข้าไปกอดร่างเล็ก ๆ นั้นเหลือเกิน
เมื่อกลับมาถึงคฤหาสน์ก่อนหกโมงเย็นตามที่ภูผากำหนด ฉันเห็นรถของเขากำลังเลี้ยวเข้ามาพอดี เขาลงจากรถด้วยสีหน้าเรียบเฉยเหมือนเช่นเคย
“กลับมาแล้วเหรอ” เขาเอ่ยทักเสียงเรียบ
“ค่ะ” ฉันตอบสั้น ๆ ก่อนจะเดินผ่านเขาไป
ระหว่างมื้อเย็น บรรยากาศยังคงเงียบสงบเหมือนเดิม ภูผาไม่พูดอะไรมากนัก ฉันก็ไม่รู้จะพูดอะไรดี การใช้ชีวิตร่วมกับเขาเป็นไปตามสัญญาที่ไร้ความรู้สึกโดยแท้จริง
ค่ำคืนนี้ ฉันยังคงคิดถึงน้องไทม์อยู่ตลอดเวลา ฉันเปิดดูรูปภาพของเขาในโทรศัพท์ ยิ้มให้กับความสดใสของลูกชาย
'แม่จะเข้มแข็งนะน้องไทม์ เพื่อหนู' ฉันบอกกับตัวเอง
ฉันพยายามปรับตัวให้เข้ากับชีวิตในคฤหาสน์หลังใหญ่แห่งนี้ ชีวิตที่ดูเหมือนจะหรูหราสะดวกสบาย แต่กลับเต็มไปด้วยความรู้สึกอ้างว้างและโดดเดี่ยว ฉันรู้ดีว่านี่คือจุดเริ่มต้นของการดำเนินชีวิตตามสัญญาที่ฉันต้องรักษาไว้ให้ครบหนึ่งปี… หนึ่งปีแห่งการเป็นภรรยาในนามที่ไร้หัวใจ และการปกปิดความลับอันยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตของฉัน